"มาริโอ้ เมาเร่อ" หอบเอกสารหลักฐานการซื้อ-ขายรถเบนซ์ G300 ให้ปากคำตำรวจไซเบอร์ ปมเอี่ยวโยงแก๊งสวมทะเบียน มั่นใจบริสุทธิ์ ไม่มีเจตนาซื้อรถผิดกฎหมาย คิดว่าตนเองและรุ่นพี่ก็โดนหลอกเช่นกัน ขณะที่เจ้าหน้าที่ยัน ต้องพิสูจน์ทราบให้ได้ "มาริโอ้" ไม่มีเจตนาจงใจซื้อรถเถื่อน แต่หากภายหลังพบว่ามีเจตนา ถือว่ามีความผิด

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 9 สิงหาคม 2566 ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เมืองทองธานี อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี "มาริโอ้ เมาเร่อ" หรือ นายณัฐวุฒิ สุวรรณรัตน์ อายุ 34 ปี นักแสดงหนุ่มชื่อดัง เดินทางเข้าพบกับพนักงานสอบสวนเพื่อให้ปากคำในคดีที่มีกลุ่มขบวนการแก๊งคนร้ายที่แอบใช้รหัสยูสเซอร์เนม-พาสเวิร์ดของเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบก เข้าไปเจาะข้อมูลเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อมูลรถยนต์ให้ตรงกับข้อมูลใหม่ที่ต้องการ จากนั้นจะไปแจ้งหาย เพื่อยื่นเรื่องขอทำสมุดคู่มือทะเบียนเล่มใหม่ ก่อนนำไปจำนำหรือขายให้กับผู้ที่ชื่นชอบและนักสะสมรถเก่า โดยเฉพาะบางรุ่นเป็นรถที่หายากในเมืองไทย จึงเป็นที่ต้องการของกลุ่มนักสะสม สร้างความเสียหายกว่า 77 ล้านบาท โดยทางตำรวจไซเบอร์เปิดปฏิบัติการจับกุมไปแล้วก่อนหน้านี้ 2 คน คือนายเสถียร เรืองสมุทร อายุ 38 ปี และนายศริสร สุทธิเจต อายุ 44 ปี เป็นตัวการสำคัญใหญ่ในคดี

...

ทั้งนี้ มาริโอ้เข้าไปเกี่ยวข้องในกรณีที่ปรากฏชื่อเป็นผู้ครอบครองรถยนต์ยี่ห้อ เบนซ์ สีขาว รุ่น G300 อีกทั้งยังเป็นบุคคลที่มีความชื่นชอบสะสมรถในแนวคลาสสิก ที่มีการซื้อสมุดรายการจดทะเบียนรถยนต์คันกล่าว ที่แก๊งคนร้ายรายนี้ แอบลักลอบสวมทะเบียนให้รถถูกต้องตามกฎหมาย ก่อนนำออกมาขาย กระทั่งเป็นผู้ครอบครอง โดยมี พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.สพฐ. ปฏิบัติราชการ บช.สอท. พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.สอท.2  พ.ต.อ.สุวัฒชัย ศรีทองสุข ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.2  ร่วมสอบปากคำในเรื่องนี้อย่างละเอียดว่าเข้ามาเกี่ยวข้องในส่วนไหนหรือไม่กับกลุ่มขบวนการนี้ นานกว่า 2 ชม. โดยนักแสดงหนุ่มได้เขึ้นลิฟต์จากชั้นใต้ดินของอาคารที่ทำการ บช.สอท. ไปยังห้องสอบปากคำชั้น 3 ทันที เพื่อหลบเลี่ยงสื่อมวลชนที่มาสังเกตการณ์ทำข่าว

โดยมาริโอ้นำเอกสารการซื้อ-ขายรถ และหลักฐานบางส่วนมามอบให้เจ้าหน้าที่เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ หลังสอบปากคำเสร็จสิ้น นักแสดงหนุ่มพร้อมทนายความได้เดินออกจากห้องสอบปากคำ โดยปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ ซึ่งระหว่างทางได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวสั้นๆ ว่า "ไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร มั่นใจในความบริสุทธิ์ของตนเอง ได้ให้ข้อมูลและหลักฐานกับทางพนักงานสอบสวนไปหมดแล้ว ในรายละเอียดไม่สามารถบอกได้เนื่องจากอยู่ในสำนวนและให้ข้อมูลไปหมดแล้ว" ก่อนที่ทางมาริโอ้จะเดินทางกลับทันที

ต่อมา พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท. เผยว่า ในวันนี้มีการสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 3 ราย ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายรถเบนซ์ G300 ประกอบไปด้วย นักแสดงหนุ่ม, นายก้อง และพี่ชายของนายก้อง ซึ่งนายก้องเป็นรุ่นพี่ที่ขายรถให้กับมาริโอ้ โดยทั้งหมดได้ถูกแยกสอบปากคำกับคนละห้อง โดยความสัมพันธ์นักแสดงหนุ่มได้ระบุว่า ก่อนหน้าเคยซื้อเฟอร์นิเจอร์สไตล์วินเทจจากนายก้อง จนมีความสนิทสนมและไว้ใจกัน รู้จักกันมา 2 ปี แต่ไม่เคยซื้อขายรถกันมาก่อน 

โดยนายก้องได้เสนอขายรถ Benz G300 ให้กลับมาริโอ้ ในราคา 1,500,000 บาท เมื่อเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา โดยที่ตัวนักแสดงหนุ่มยังไม่ได้เห็นรถตัวจริง และมีการทำสัญญาวางมัดจำไว้ 500,000 บาทก่อน โดยมีกำหนดภายใน 60 วัน จะต้องส่งมอบรถ ระหว่างนั้นได้มีการโอนชื่อในเล่มรถ แต่เมื่อถึงกำหนดก็ยังไม่ได้รถ ทางนายก้องจึงคืนเงินมัดจำให้กับมาริโอ้ แต่ยังไม่ได้มีการเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองคืน

จากการสอบสวนเบื้องต้นเชื่อว่า มาริโอ้น่าจะไม่ได้จงใจซื้อรถสวมทะเบียน แต่พนักงานสอบสวนก็จะต้องพิสูจน์ทราบให้ได้ว่ามาริโอ้ไม่ได้มีเจตนาจงใจที่จะซื้อรถเถื่อน แต่หากภายหลังพบว่ามีเจตนา ก็ถือว่ามีความผิด ซึ่งจากการที่พบว่าเล่มทะเบียนรถคันดังกล่าวมีชื่อของมาริโอ้เป็นผู้ครอบครองคนสุดท้าย ทางกรมการขนส่งทางบกจึงยังไม่อนุญาตให้มีการเปลี่ยนแปลงโอนทะเบียน เพราะต้องตรวจสอบย้อนหลังที่มาว่ามีใครเคยเป็นผู้ครอบครองบ้าง

...

โดยระหว่างการให้ปากคำ นักแสดงหนุ่มได้แสดงความบริสุทธิ์ใจ และให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน ซึ่งมีบางช่วงเวลาที่มีความกังวล เนื่องจากเจ้าตัวไม่ได้มีเจตนาซื้อรถผิดกฎหมาย และคิดว่าตนเองและรุ่นพี่ก็โดนหลอกเช่นกัน เบื้องต้น ทราบเพียงว่าเป็นการปลอมแปลงข้อมูลรถมาจากต้นขั้ว ซึ่งตนไม่ทราบรายละเอียดมากนัก เมื่อไม่ได้รถ รุ่นพี่ก็คืนเงินให้ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับตน ก่อนซื้อรถทุกครั้งจะตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อไม่ให้มีปัญหา โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ 2 เดือนก่อน ซื้อรถราคาล้านกว่าบาท เห็นว่ามีเอกสารถูกต้องก็ไม่คิดว่ารถจะมีปัญหาอะไร ทำให้หลังจากนี้จะต้องระมัดระวังให้มากขึ้นกว่าเดิม รอง ผบช.สอท. กล่าว

ในส่วนของการขยายผล ทางพนักงานสอบสวนได้มีการออกหมายเรียกผู้ครอบครองรถต้องสงสัยทั้ง 65 รายมาให้ข้อมูล ซึ่งเบื้องต้นได้ทยอยเดินทางมาให้ปากคำกับทางพนักงานสอบสวน เหลือเพียงสองถึงสามรายที่ยังอยู่ระหว่างการเดินทางเข้าพบเนื่องจากอยู่ที่ต่างประเทศ นอกจากนี้ ชุดทำงานอยู่ระหว่างรอผลสอบสวนวินัยของทางคณะกรรมการสอบสวนที่อธิบดีกรมขนส่งทางบกตั้งขึ้น รวมทั้งผลตรวจรถของกลาง จากเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน เพื่อนำมาประกอบสำนวน อย่างไรก็ตาม คดีนี้ตรวจสอบพบแล้วว่า ขบวนการดังกล่าวได้เจาะข้อมูลสวมทะเบียนรถไป จำนวน 65 คัน โดยในจำนวนดังกล่าวจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ รถที่มีตัวตนจริงและทะเบียนพร้อม และอีกกลุ่มคือ มีแต่ทะเบียนรถ แต่ไม่มีตัวรถ ซึ่งขณะนี้ตำรวจยึดรถมาได้แล้ว 16 คัน

...