หนุ่มบุรีรัมย์วัย 42 บอกญาติว่าเมียเป็นฮีตสโตรกตาย ตร.รับแจ้งไปตรวจสอบพบศพฟันร่วงหมดปากกับรอยช้ำทั้งร่าง ตำรวจเลยรวบตัว คาดว่าเมาแล้วซ้อมเมีย แม่ผู้ตายเผย ซ้อมเมียประจำ แต่ครั้งนี้หนักจนถึงตาย
เมื่อวันที่ 14 เม.ย. 66 ร.ต.ท.อนุชิต เพ็งวิชัย รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.เมืองบุรีรัมย์ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ รับแจ้งมีเหตุพบศพนอนเสียชีวิตอยู่ภายในบ้าน จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมกู้ชีพ อบต.บ้านยาง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ที่เกิดเหตุเป็นบ้านปูนชั้นเดียว ภายในห้องนอนพบศพ นางสุณีย์ หรือณี บุญศีลธรรม อายุ 47 ปี ชาวบ้านหมู่ที่ 17 ต.กระสัง อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ สภาพปากแตก ฟันร่วงหลายซี่ ตามใบหน้าและลำตัวมีร่องรอยฟกช้ำเขียวทั่วร่าง คาดว่าเสียชีวิตมาไม่น้อยกว่า 6 ชม. เบื้องต้นตำรวจสอบถาม นายสุนทร หรือโต้ง คะเรรัมย์ อายุ 42 ปี ชาวบ้าน ม.11 ต.บ้านยาง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ สามีผู้เสียชีวิตบอกว่า ไม่ทราบถึงสาเหตุของการเสียชีวิตของภรรยา
สอบถาม นางนุ่น อายุ 54 ปี ญาติฝ่ายหญิง เล่าว่า ปกติฝ่ายหญิงจะไปอยู่บ้านผู้ชายที่ ต.บ้านยาง ห่างกันประมาณ 15 กม. ที่ผ่านมาเวลาผู้ตายกลับบ้านมักจะเห็นรอยเขียวช้ำ และยอมรับว่าโดนสามีทำร้าย แต่ก็ยังรักเหมือนเดิม เวลาสามีมาตามก็จะกลับบ้าน จนชาวบ้านพูดกันว่า “จะปล่อยให้ผัวซ้อมจนตายหรือ” ครั้งนี้ฝ่ายชายโทรศัพท์มาที่บ้านแม่ของฝ่ายหญิง บอกว่าภรรยานอนตาย คาดว่าน่าจะเป็นฮีตสโตรก ญาติๆ จึงพากันไปดู เมื่อเห็นสภาพศพแล้วไม่น่าจะใช่ เพราะฟันหัก ปากแตก และมีรอยเขียวช้ำทั่วร่าง คาดว่าโดนซ้อมอย่างแน่นอน ก่อนจะไปแจ้งตำรวจให้มาตรวจสอบ
...
ด้าน นางหนึ่ง บุญศีลธรรม อายุ 78 ปี แม่ผู้เสียชีวิต กล่าวว่า ลูกสาวเป็นคนขยัน ทำงานหาเงินให้สามีใช้ ขณะที่สามีชอบดื่มเหล้าและทำร้ายภรรยาเป็นประจำ หลายครั้งที่บอกให้ลูกสาวเลิก แต่ลูกสาวไม่ยอมเลิก ครั้งนี้ถือว่าทำรุนแรงเกินไป อยากให้ตำรวจดำเนินคดีจนถึงที่สุด
ขณะที่ นางเขียง คะเรรัมย์ อายุ 73 ปี แม่นายโต้ง ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยฆ่าภรรยาตัวเอง กล่าวว่า ทั้งสองคนมาอยู่ที่บ้านประมาณ 3 ปี ที่ผ่านมาฝ่ายหญิงจะดื่มเหล้าหนักกว่าฝ่ายชาย คืนเกิดเหตุไม่ได้ยินเสียงทะเลาะกัน และไม่รู้ว่าลูกสะใภ้ตายได้อย่างไร หรืออาจจะเป็นเพราะอากาศร้อน
อย่างไรก็ตามเบื้องต้นตำรวจนำตัว นายโต้ง ไปสอบสวนและยังคงให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ทำร้ายภรรยาเสียชีวิต ซึ่งตำรวจจะเร่งหาพยานหลักฐานเพิ่มเพื่อเอาผิด นายโต้ง เนื่องจากเริ่มพบหลักฐานเพิ่มขึ้นว่าน่าจะเป็นคนก่อเหตุ.