คดีดาราสาวไต้หวัน ตำรวจยังไม่พบหลักฐานว่ามีการเรียกรับเงินตามที่ถูกกล่าวอ้าง ส่วนกรณีบุหรี่ไฟฟ้า โฆษก บช.น.ส่ายหน้า ยืนยันไม่มียัดแต่อย่างใด ฝากชาวโซเชียลติดตามข้อมูลข่าวสารจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้น ย้ำไม่ได้ปกป้องหรือทำลายพยานหลักฐาน

จากกรณี น.ส.อัน หยู ฉิง หรือชาร์ลีน อัน ดาราสาวและเน็ตไอดอลชาวไต้หวัน อ้างว่าถูกตำรวจตั้งด่านตรวจแล้วไถเงิน 27,000 บาท จนสร้างกระแสในโลกโซเชียลและสังคมส่วนใหญ่ ก่อนที่ทางตำรวจจะมีการเรียกคนขับรถโดยสารที่ดาราสาวนั่งในคืนเกิดเหตุมาให้ปากคำแล้ว 2 คน นั้น

เมื่อช่วงเย็นวันที่ 29 มกราคม 2566 พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ในฐานะโฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยหลังการประชุม ยืนยันว่าขณะนี้ สอบปากคำพยานไปแล้ว กว่า 10 คน เบื้องต้นยังไม่พบหลักฐานว่ามีการเรียกรับเงินตามถูกกล่าวอ้าง

ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบวัตถุพยาน ทั้งกล้องวงจรปิดตามจุดต่างๆ กล้องหน้ารถของคนขับแกร็บ และกล้องคอมแบตคาเมร่าที่ติดตัวของตำรวจ ทั้งหมดถูกส่งให้กองพิสูจน์หลักฐานแล้ว

เบื้องต้นยืนยันแล้วว่า กล้องหน้ารถของคนขับแกร็บ ไม่สามารถกู้ไฟล์ภาพวิดีโอได้ถึงวันที่เกิดเหตุ เนื่องจากระยะเวลาผ่านเลยมานานกว่า 20 วัน แต่ในส่วนอื่นๆ ขณะที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบเพิ่มเติม ซึ่งขณะนี้ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 สั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กับตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในวันดังกล่าว และการตรวจค้นพบบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย ยืนยันสามารถดำเนินคดีได้ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร ยืนยันว่าไม่มีใครยื่นบุหรี่ไฟฟ้าให้ดาราสาวชาวไต้หวันตามที่กล่าวอ้าง

ในส่วนของเพื่อนชาย ทั้ง 3 คน ที่เดินทางมาด้วยกันในวันเกิด เหตุขณะนี้ พบว่าทั้ง 3 คน เดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 5 และวันที่ 9 มกราคมที่ผ่านมา โดยเดินทางตามสาวชาวไต้หวันคนดังกล่าว ซึ่งปลายทางไม่ใช่ที่เดียวกัน

...

โดยขั้นตอนหลังจากนี้ จะให้กองบังคับการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประสานไปยังกระทรวงต่างประเทศ เพื่อประสานไปยัง สำนักงานเศรษฐกิจและการไต้หวัน เพื่อให้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจไต้หวัน เข้าไปสอบปากคำหญิงสาวคนดังกล่าว

ทั้งนี้ หากตำรวจไต้หวัน ต้องการให้ตำรวจไทยร่วมสอบปากคำด้วย ก็พร้อมจะส่งเจ้าหน้าที่ไปสอบทันที

ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้น ยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทบถึงความเชื่อมั่นการท่องเที่ยวในประเทศไทย จึงต้องการให้สาวชาวไต้หวันพยานเข้ามาชี้แจงข้อเท็จจริงกับตำรวจเพื่อให้กระจ่างมากขึ้น

และขอให้สังคมออนไลน์ ติดตามข้อมูลต่างๆ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้น ยืนยันว่าไม่ได้ปกป้องหรือทำลายพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดกล่าว ทั้งนี้หากพบว่ามีการรีดทรัพย์สาวชาวไต้หวันจริง ก็จะดำเนินการโดยไม่ละเว้นทางวินัยและอาญา