พล.ต.ต.วิบูลย์ วงศ์ก้อม ผบก.ภ.จว.เลย ปฏิเสธข่าวจับกุม “เพนกวิน” หรือออกหมายจับข้อหาหมิ่นสถาบัน ตาม ป.อาญา มาตรา 112 ระบุแค่เป็นการรับแจ้งความตามขั้นตอน มีคนนำเอกสารไปเผยแพร่ ทำสังคมสับสน
เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 13 ส.ค.63 ที่ห้องประชุมชั้นสอง สภ.เมืองเลย พล.ต.ต.วิบูลย์ วงศ์ก้อม ผบก.ภ.จว.เลย พร้อมด้วย พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย ผกก.สภ.เมืองเลย พ.ต.อ.ยุทธนา งามชัด ผกก.(สอบสวน) แถลงข่าวกรณี สืบเนื่องจากโลกโซเชียลมีการแชร์ข่าว เมื่อวันที่ 12 ส.ค.63 เวลา 10.30 น. นายสุขสันต์ เวียงจันทร์ อายุ 59 ปี เป็นช่างตัดผมอยู่ที่สถานีขนส่ง จ.เลย เข้าร้องทุกข์กับ พงส.สภ.เมืองเลย ให้ดำเนินคดีนายพริษฐ์ หรือเพนกวิน ชิวารักษ์ ในความผิดตามมาตรา 112 หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และมีการออกหมายจับ และมีการแชร์บันทึกประจำวันลงในโลกโซเชียลนั้น ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด พงส.สภ.เมืองเลย อยู่ระหว่างสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน
พล.ต.ต.วิบูลย์ วงศ์ก้อม ผบก.ภ.จว.เลย เปิดเผยว่า เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น มีผู้แจ้งมาแจ้งความในความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ตั้งแต่เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ สภ.เมืองเลย และเจ้าหน้าที่ ภ.จว.เลย ไปประกอบงานราชพิธีและจิตอาสา โดยระบุว่ามีคนก้าวล่วงสถาบัน ทางพนักงานสอบสวนเป็นผู้หญิง พยายามชี้แจงขั้นตอนของการแจ้งความ ขั้นตอนในการสอบสวนของคดี ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่ผู้แจ้งได้แสดงกิริยา ในเชิงกดดัน บอกพนักงานสอบสวนว่า ต้องรับแจ้งความเขา ในเรื่องที่เขามาแจ้ง พนักงานสอบสวนจึงได้สอบถามถึงพยานหลักฐานที่เขามีอยู่ แต่ผู้แจ้งบอกว่าเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ต้องไปแสวงหาหลักฐานเอง แต่ในวันนี้ต้องรับแจ้งเขาให้ได้ ถ้าไม่รับแจ้งก็จะเป็นเรื่องเป็นราว พนักงานสอบสวนจึงได้รับแจ้งไว้ ทำการสอบสวน
...
ซึ่งในการสอบสวนนั้น ยังไม่มีการรับเป็นเลขคดี เนื่องจากว่าต้องทำการสอบสวนอย่างละเอียด ว่าการกระทำดังกล่าว มีการกระทำเกิดขึ้นหรือไม่ ถ้ามีการกระทำเกิดขึ้น มันเป็นขั้นตอนที่ทางพนักงานสอบสวน จะต้องไปรวบรวมพยานหลักฐาน และรายงานผู้บังคับบัญชาตามขั้นตอน ซึ่งคดีอย่างนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้วางการสอบสวน ขั้นตอนในการสอบสวนไว้แล้ว อย่างไรในเบื้องต้นพนักงานสอบสวน สภ.เมืองเลย ได้มีการรับแจ้งไว้สอบสวน สรุปรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง หลายอย่าง มาประกอบและเสนอผู้บังคับบัญชา ปรากฏว่า ผู้แจ้งแทนที่แจ้งความแล้วจะช่วยพนักงานสอบสวน แสวงหาพยานหลักฐาน แต่กลับเอาเอกสารไปเผยแพร่ จนเกิดความสับสนในสังคม ว่าแจ้งความแล้วจะต้องมีการออกหมายจับ ทำให้ผู้ที่ถูกกล่าวอ้างถึง ตกใจและเกิดความกังวล ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้รับแจ้ง และทำการสอบสวนเท่านั้นเอง ว่าการกระทำนั้นเกิดขึ้นจริงหรือไม่
"ถ้ามีการกระทำเกิดขึ้นจริง เป็นความผิดอาญาหรือไม่ ซึ่งมีหลายขั้นตอน ในการสอบสวน ซึ่งยังไม่มีการออกหมายจับ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อมีผู้มาแจ้งความพนักงานสอบสวนก็ต้องรับแจ้ง มีขั้นตอนการปฏิบัติอย่างชัดเจน ซึ่งผู้แจ้งได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ซึ่งทางผู้แจ้งไม่ได้เห็นกับตัวเอง แต่คิดว่าน่าจะกระทบถึงได้มาแจ้งความ ซึ่งตอนนี้พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานและยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาหรือออกหมายจับแต่อย่างไร"