แม่ลูกอ่อนวัย 17 ปี ชาวขอนแก่น หางานออนไลน์ทำที่บ้าน กลับกลายเป็นคนโกง หลังถูกมิจฉาชีพหลอกให้ใช้บัญชีส่วนตัวรับโอนเงินขายของแล้วเบี้ยว ซ้ำร้าย เอาบัญชีแม่ไปใช้ เลยดึงแม่เข้าร่วมขบวนการไปด้วย
เมื่อวันที่ 13 พ.ค.2563 น.ส.ชิติกา พร้อมพรั่ง อายุ 42 ปี เจ้าของคลินิกฝังเข็มแห่งหนึ่งใน จ.ขอนแก่น ร้องเรียนสื่อมวลชน ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่เพื่อน อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่และกรุงเทพมหานคร ซื้อ เจลล้างมือ หน้ากากอนามัยและแอลกอฮอล์ กับเฟซบุ๊กชื่อ “ไปให้สุดแล้วหยุดที่คำว่าพอ” และมีการจ่ายเงินผ่านบัญชีธนาคารที่ขึ้นปรากฎในเฟซบุ๊กดังกล่าว แต่ปรากฏว่าเพื่อนรายแรก โอนเงินค่าสินค้าจำนวน 88,000บาท รายที่สองโอนค่าสินค้าจำนวน 44,000บาท จนป่านนี้ยังไม่ได้สินค้า
ต่อมาสืบทราบว่า ทราบว่าเจ้าของบัญชีที่เพื่อนทั้งสองคนโอนเงินเข้านั้น เป็นชาวจังหวัดขอนแก่นชื่ออุมาพร ขันคำ จึงขอให้สื่อมวลชน ตรวจสอบบุคคลดังกล่าวให้ด้วย เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นแก๊งมิจฉาชีพ หลอกลวงขายสินค้า แต่ไม่มีสินค้าตามที่โพสขายในเฟซบุ๊ก
ในวันเดียวกันผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปพบกับ นางสาวอุมาพร ขันคำ อายุ 17 ปี ต.บริบูรณ์ อ.สีชมพู จ.ขอนแก่น โดยก็พบว่า น้องครีมเลี้ยงลูกชายวัย 3 เดือนอยู่ภายในบ้านกับนางสมยศ ขันคำ อายุ 41 ปี มารดา
น้องครีม กล่าวว่า สามีรับจ้างทั่วไป พ่อแม่ ทำไร่อ้อย ตัวเองอยู่บ้านเลี้ยงลูก ไม่มีรายได้ จึงต้องการหางานทำ จนพบการรับสมัครงานในกลุ่มหางานออนไลน์ฟรี โดยมีผู้ใช้เฟสบุ๊กชื่อ “ไปให้สุดแล้วหยุดที่คำว่าพอ” โพสต์ในกลุ่มว่า “ใครมีบัญชีธนาคารATM บัญชี wallet/paypal รายได้200-1200/วัน สนใจปักหมุด” จึงได้เข้าไปพูดคุยและสอบถามรายละเอียด เพราะต้องการอยากได้งานทำที่บ้าน จากการพูดทราบว่า ผู้รับสมัครงาน เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้านานาชนิด รวมถึงขายเจลล้างมือ หน้ากากอนามัยและแอลกอฮอล์ และต้องการคนที่มีบัญชีธนาคารที่พร้อมทำงานตลอด 24 ชม. เนื่องจากจะมีลูกค้า โอนเงินเข้าบัญชีตลอดเวลา
...
สาวขอนแก่นวัย 17 ปี กล่าวต่อว่า งานนี้ คนทำงานต้องส่งสมุดบัญชี พร้อมเอทีเอ็มและสำเนาบัตรประชาชนไปให้ โดยงานนี้จะมีรายได้ในการรับโอนเงินจากลูกค้า5% คือ ยอดโอน 1,000 บาท จะได้ส่วนแบ่ง 50 บาท และหากลูกค้าโอนเงินเข้าบัญชีแล้วให้หักเปอร์เซ็นส่วนที่ได้ จากนั้นให้รีบโอนไปยังบัญชีที่ 3 ที่เป็นเป็นบัญชีที่ใช้ชื่อว่าโกดังใหญ่ เมื่อได้รู้ถึงรูปแบบงานจึง ตัดสินใจรับทำงานดังกล่าวเมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพราะตัวเองมีบัญชาธนาคารออมสิน และกรุงไทย และคิดว่าการรับโอนเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ หรือการโอนเงินออนไลน์รับการแบ่งเปอร์เซ็น จะมีรายได้มาจุนเจือครอบครัว
น้องครีม กล่าวอีกว่า จากนั้นยังทางผู้ขายสินค้ายังให้หาบัญชีมาเพิ่ม จึงได้เอาบัญชีมารดา ซึ่งเป็นของธนาคาร ธกส.มาร่วมในการรับโอนเงินด้วย โดยที่ทั้งหมดไม่ได้บอกให้มารดา และคนในครอบครัวรู้ ตั้งแต่เริ่มทำก็มีเงินโอนเข้ามาในบัญชีจำนวนมาก วันละหลายๆรอบ กระทั่งปลายเดือนเมษายนก็เริ่มเห็นโซเชียล แชร์รูปหน้าตัวเองพร้อมหมายเรียก ทั้งยังมีการกล่าวถึงมารดา และถูกกล่าวหาว่าโกงเงินค่าสินค้า จากนั้นไม่นานก็มีหมายเรียกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจ ปลายบาง จ.นนทบุรี ส่งถึงมารดา เพื่อให้ไปพบและให้ปากคำ ในวันที่ 22 พ.ค.2563 นี้ ส่วนตัวเองก็มีหมายเรียกจากสถานีตำรวจบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ส่งมาที่บ้านให้ไปพบพนักงานสอบสวน เมื่อวันที่ 31 มีนาคม ที่ผ่านมาแต่ไม่ได้ไป เนื่องจากประสานไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตามหมายเลขในหมายเรียก ทราบว่าผู้เสียหายถอนแจ้งความแล้ว จึงไม่ได้เดินทางไปให้ปากคำ
ด้าน นางสมยศ ขันคำ อายุ 41 ปี มารดาของน้องครีม กล่าวว่า ทราบเรื่องราวทั้งหมด ในตอนที่เห็นหมายเรียก จึงถามลูกสาว จึงได้รู้ความจริงว่า ลูกสาวเอาบัญชี ธกส.ของแม่ไปทำงานรับจ้างโอนเงิน เพื่อจะหารายได้มาจุนเจือครอบครัว แต่สุดท้ายกลายเป็นแพะรับบาป เสี่ยงติดคุกอีกด้วย
“แม่โกรธลูกตัวเอง แต่ไม่รู้จะว่ายังงัย ตอนนี้แม่ไม่มีทางออก และไม่มีปัญญาที่จะเดินทางไปให้ปากคำกับตำรวจ เพราะไม่มีเงินค่ารถ ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกสาวกับครอบครัวในขณะนี้ จนต้องถูกจับติดคุก แม่ก็ยอมติดคุก เพราะไม่มีเงินที่จะจ่ายคืน แต่อยากเรียกร้อง เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบกระบวนการโกงเหล่านี้ด้วยเพราะเชื่อว่าลูกสาวเป็นเหยื่อเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะจนต้องการหาเงินมาจุนเจือครอบครัว และไม่มีทางที่เอาเงินมาใช้คืนกับคนที่ถูกโกง เพราะเงินที่โอนเข้าบัญชีลูกสาว ก็โอนต่อไปยังบัญชีที่ 3 หมดแล้ว” มารดาของน้องครีม กล่าว
ขณะที่ เอเจนต์เค (นามสมมุติ) แหล่งข่าวระดับความสำคัญสูง ในกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้น รายนี้ไม่ใช่รายแรก แต่ยังมีผู้เสียหายอีกจำนวนมาก ที่ถูกโกงในลักษณะเช่นนี้ ฉะนั้นใครที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องในส่วนของบัญชีที่รับโอนเงิน หรือคนที่รับโพสต์ขายสินค้าผ่านโซเชียล เมื่อมีหมายเรียกมาที่บ้าน ก็ควรจะไปพบพนักงานสอบสวนพร้อมหลักฐานต่างๆที่มี เพื่อให้ปากคำตามความจริง เพราะไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นคนที่มีความผิดในการสมรู้ร่วมคิด.