ประธานศาลฎีกา เรียกประชุมอธิบดีศาลในส่วนคดีอาญา หลังเกิดปัญหาศาลตัดสินคดีไม่สวมหน้ากากอนามัยขัดกัน ได้ข้อยุติ ผู้ว่าฯ มีอำนาจห้ามคนออกนอกบ้าน หากไม่ใส่หน้ากากอนามัย กำชับใช้ดุลพินิจโดยคำนึงถึงสภาพแห่งข้อหา โอกาสทางเศรษฐกิจ สังคมของจำเลย ควบคู่มาตรการป้องกันโควิด-19

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 17 เม.ย. นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ประธานศาลฎีกา ได้เรียกประชุมหารือข้อราชการทางไกลผ่านจอภาพกับอธิบดีผู้พิพากษาภาค และอธิบดีผู้พิพากษาศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาความผิดในคดีฝ่าฝืนคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัด ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 (หน้ากากอนามัย หรือหน้ากากป้องกัน) เพื่อพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายต่างๆ

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากกรณี เมื่อวันที่ 16 เม.ย.ที่ผ่านมา หลังสื่อมวลชนมีการนำเสนอข่าวศาลจังหวัดสมุทรสาคร ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ ม.34(6) กรณีไม่สวมหน้ากากเมื่อออกมาในที่สาธารณะ ตามประกาศของผู้ว่าราชการจังหวัด แต่ขณะเดียวกันศาลจังหวัดกันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เห็นว่าการไม่สวมหน้ากากไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ ม.34(6) โดยเห็นว่าผู้ว่าราชการจังหวัดไม่มีอำนาจสั่งให้ประชาชนสวมหน้ากากเมื่อออกจากบ้าน ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้น 2 ศาลตัดสินข้อกฎหมายไม่เหมือนกัน

ได้ข้อสรุปว่า "ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจในการออกคำสั่งห้ามบุคคลออกจากเคหสถานโดยไม่สวมหน้ากากอนามัย และพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการกำหนดโทษ เพื่อประกอบการพิจารณาและใช้ดุลพินิจแก่ศาลทั่วประเทศ"

นอกจากนี้ที่ประชุมยังมีความเห็นว่า ในการใช้ดุลพินิจของศาล พึงต้องใช้ดุลพินิจเป็นรายคดี โดยคำนึงถึงสภาพแห่งข้อหาและการกระทำความผิด ตลอดจนโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมของจำเลย ควบคู่ไปกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19.

...