ขนส่ง "แฟลช เอ็กซ์เพรส" เผยยอดส่งพัสดุปี 63 ทะลุ 300 ล้านชิ้น เติบโตขึ้นกว่า 500% หากเทียบกับปี 62 และวิ่งส่งทั่วไทยรวมระยะทางกว่า 230 ล้านกิโลเมตร
คมสันต์ ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แฟลช เอ็กซ์เพรส หรือ Flash Express เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมขนส่งในช่วงปี 63 ที่ผ่านมาถือว่ายังเติบโตได้ค่อนข้างน่าพอใจ แม้ว่าจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลทำให้สภาพเศรษฐกิจทั่วโลกต้องเผชิญกับภาวะถดถอย
โดยในฟากของตลาด E-commerce ผู้ให้บริการทุกรายต่างต้องงัดกลยุทธ์ทั้งด้านราคา และบริการจากปริมาณการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยในปี 2563 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มียอดส่งรวมทั้งปีมากกว่า 300 ล้านชิ้น หรือเติบโตขึ้นกว่า 500% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า บวกกับรายได้เฉลี่ยต่อเดือน มากกว่า 6,000 ล้านบาท
"เราอยากขอบคุณคนไทยทุกคนที่ให้ความไว้วางใจ และสนับสนุนบริการของ แฟลช เอ็กซ์เพรส ซึ่งสามารถผลักดันให้บริการของเราได้ก้าวขึ้นมาอยู่ใน TOP 3 ของตลาดขนส่ง ซึ่งในปี 63 เราได้นำส่งพัสดุให้กับลูกค้าทั่วประเทศรวมระยะทางกว่า 230 ล้านกิโลเมตร รวมจำนวนพัสดุมากกว่า 300 ล้านชิ้น และในปีนี้เราจะยังคงเดินหน้ามุ่งมั่นทำบริการที่ดีเพื่อส่งมอบความคุ้มค่าแก่คนไทยทุกคนต่อไป"
สำหรับปี 2564 นี้ Flash Express ได้คาดการณ์ว่ารายได้ต่อเดือนจะเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 ล้านบาท และมีจำนวนพัสดุเฉลี่ยต่อวันประมาณ 2 ล้านชิ้น ซึ่งเติบโตเกินกว่า 2 เท่าจากเดิมที่มียอดส่งพัสดุเฉลี่ยอยู่ 1.3 ล้านชิ้นต่อวัน
ทั้งนี้บริษัทฯ ยังมองว่าภาคธุรกิจขนส่งพัสดุของปี 2564 ตลาดโลจิสติกส์ และตลาด E-commerce ยังคงเติบโตต่อไปได้อย่างมหาศาล แม้ว่าประเทศไทยยังคงต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิด อยู่ก็ตาม
"ตลาดขนส่งพัสดุในปีนี้ยังจะมีการแข่งขันกันใน 3 เรื่องหลัก คือ ราคา, คุณภาพและความคุ้มค่าในการให้บริการ ซึ่งน่าจะเป็น 3 เรื่องหลักที่ผู้เล่นทุกรายในตลาดยังคงต้องโฟกัส รวมไปถึงเรื่องความรวดเร็วในการจัดส่งสินค้าซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ใช้บริการต้องการมากที่สุด"
อย่างไรก็ตาม ในปี 64 นี้ Flash Express เพิ่มเม็ดเงินลงทุนอีกประมาณ 10,000 ล้านบาท ทั้งในด้าน Infrastructure เช่น การขยายจุดกระจายสินค้า โดยจะเน้นไปในพื้นที่ต่างจังหวัดมากขึ้น การเพิ่มคลังคัดแยกพัสดุ และศูนย์กระจายพัสดุ รวมไปถึงการเพิ่มจุด Drop Off รับส่งพัสดุทั่วประเทศที่ได้มีการจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในหลายอุตสาหกรรม แลเพิ่มการลงทุนด้านบุคลากรเพื่อสรรหาคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถเข้ามาร่วมในธุรกิจ
นอกจากนี้ ที่สำคัญคือ การลงทุน และพัฒนาด้าน Digital Platform เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สอดรับกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และ E-commerce ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้อย่างไม่มีสะดุด พร้อมกันนี้ยังเร่งวางแผนทิศทางในด้านการให้บริการ Same day และ Next day และแผนการขยายบริการไปยังกลุ่มต่างประเทศ
โดยแบ่งเป็น 3 เฟส ภายใน 5 ปี โดยเฟสแรกเริ่มไตรมาส 1/2021 เป็นต้นไป จะรุกตลาด CLMV จากนั้นในเฟสที่ 2 จะรุกต่อไปยังกลุ่ม ASEAN โดยเฉพาะ สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย และสุดท้ายที่สำคัญ คือ การขยายธุรกิจไปยัง SEA ให้สมกับการเป็นผู้ให้บริการด้านขนส่งพัสดุสัญชาติไทย และผู้ให้บริการด้าน E-commerce แบบครบวงจร