จ่อลงทุนในไทยเย้ยโควิด เผยผลสำรวจความเชื่อมั่นนักธุรกิจจีน

Business & Marketing

Marketing

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

จ่อลงทุนในไทยเย้ยโควิด เผยผลสำรวจความเชื่อมั่นนักธุรกิจจีน

Date Time: 7 ม.ค. 2564 07:43 น.

Summary

  • แบงก์ไทยพาณิชย์ แย้มผลสำรวจนักธุรกิจจีน มีถึง 60% สนใจยกทัพเข้ามาลงทุนในไทยหลังโควิด–19 ยันเชื่อมั่นศักยภาพ ปักฐานใช้เป็นศูนย์กลางขยายตลาดสู่อาเซียน ธุรกิจขนาดเล็กเล็งลงทุนภาคอุตสาหกรรม

Latest

เปิดอินไซต์ คนไทย #ติดแกลม เมื่อคนต่างเจน มองคำว่า "หรูหรา" ไม่เหมือนกัน ?

แบงก์ไทยพาณิชย์ แย้มผลสำรวจนักธุรกิจจีน มีถึง 60% สนใจยกทัพเข้ามาลงทุนในไทยหลังโควิด-19 ยันเชื่อมั่นศักยภาพ ปักฐานใช้เป็นศูนย์กลางขยายตลาดสู่อาเซียน ธุรกิจขนาดเล็กเล็งลงทุนภาคอุตสาหกรรมบริการ และเทคโนโลยี

นายมาณพ เสงี่ยมบุตร รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือเอสซีบี เปิดเผยว่า ธนาคารได้ทำการสำรวจทิศทางการลงทุนของนักลงทุนจีนในประเทศไทยภายหลังโควิด-19 โดยจัดทำแบบสอบถามและสัมภาษณ์ผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทจีนขนาดกลางและขนาดใหญ่ ทั้งที่อยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีนและในประเทศไทยจำนวน 170 ราย ถึงแผนการลงทุนขยายธุรกิจในประเทศไทย พบว่า นักลงทุนจีนมากกว่า 2 ใน 3 มีความสนใจที่จะขยายการลงทุนมายังไทยภายในระยะเวลา 1-2 ปีข้างหน้า ที่น่าสนใจคือราว 60% เป็นกลุ่มที่ไม่เคยลงทุนหรือทำธุรกิจในประเทศไทยมาก่อน ประเมินไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพ อีกทั้งมีความพร้อมและอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่จะสามารถก้าวเป็นศูนย์กลางแห่งอาเซียน เพื่อเชื่อมโยงตลาดสู่ประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างกว้างขวาง ซึ่งแตกต่างจากมุมมองในอดีตที่มองว่าประเทศไทยเป็นเพียงฐานการผลิตเพื่อส่งออกเท่านั้น นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถาม 66% ได้วางแผนที่จะเพิ่มการลงทุนในประเทศไทย

“หลังจากโควิด-19 เม็ดเงินลงทุนจากจีนลงทุนในไทยมากเกินความคาดหมาย มีทั้งเงินลงทุนใหม่ และเม็ดเงินลงทุนที่อั้นไม่ได้เข้ามาลงทุนในปีที่แล้ว เนื่องจากติดปัญหาการแพร่ระบาดทำให้นักลงทุนจีนไม่สามารถเดินทางเข้ามาเพื่อสำรวจพื้นที่ที่เข้ามาลงทุนได้”

นอกจากนี้ การศึกษาครั้งนี้ยังพบว่าโครงสร้างการลงทุนของนักลงทุนจีนในไทยมีทิศทางเปลี่ยนไป จากที่มุ่งเน้นการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมที่ใช้เงินลงทุนสูง เช่น อุตสาหกรรมยางล้อรถยนต์ และแผงพลังงานแสงอาทิตย์ มาสู่การลงทุนขนาดเล็กลง จากผลสำรวจพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 57% สนใจจะเข้ามาลงทุนในไทย โดยใช้เม็ดเงินลงทุนต่ำกว่า 500 ล้านบาทต่อโครงการในระยะ 1-2 ปีจากนี้ ซึ่งแตกต่างจากโครงสร้างและขนาดของการลงทุนในอดีตที่เป็นการลงทุนที่มักจะต้องใช้เม็ดเงินลงทุนมากกว่า 1,000 ล้านบาท ทั้งนี้ เป็นเพราะบริษัทจีนในกลุ่มเอสเอ็มอีต้องการย้ายฐานการผลิตออกนอกประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้า อีกทั้งต่อยอดห่วงโซ่อุปทานของสายการผลิตให้กับอุตสาหกรรมหลัก ซึ่งจะใช้เงินลงทุนในช่วงแรกน้อยลงเพื่อเรียนรู้ตลาดก่อนขยายธุรกิจในอนาคตตามโอกาสและทิศทางการเติบโต โดยภาคธุรกิจบริการและเทคโนโลยี เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของนักธุรกิจจีนที่มีแนวโน้มจะขยายการลงทุนในประเทศไทยต่อไป

นายยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (อีไอซี) ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า แม้วิกฤติโควิด-19 จะทำให้การลงทุนโดยตรงระหว่างประเทศของโลก รวมถึงไทยชะลอตัวลง แต่เชื่อว่าหลังจากสถานการณ์คลี่คลายลงไทยจะยังคงเป็นจุดหมายของการลงทุนที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆของนักลงทุนต่างชาติ รวมทั้งนักลงทุนชาวจีน ซึ่งมียอดรวมของมูลค่าการยื่นขอส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ มากเป็นอันดับที่ 2 ในช่วงปี 2560-2562

ทั้งนี้ ปัจจัยสนับสนุนจากการย้ายฐานการผลิต จากจีนอันเป็นผลจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีน และสหรัฐฯ และจากกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพิงแหล่งผลิตจากจีนเพียงแหล่งเดียว รวมถึง ปัจจัยสนับสนุนพื้นฐานของไทย ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ตั้งของประเทศที่อยู่ในศูนย์กลางของอาเซียน โครงสร้างพื้นฐานที่มีการพัฒนาต่อเนื่อง นโยบายส่งเสริมการลงทุนทั้งด้านมาตรการภาษี และการผลักดันการเจรจาทางการค้าระหว่างประเทศของรัฐบาลไทย เช่น การลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภูมิภาค (RCEP) ที่เกิดขึ้นล่าสุดโดยมีเป้าหมายในการลดกำแพงภาษีทางการค้าและเปิดตลาดผู้บริโภคระหว่างประเทศสมาชิก RCEP กว่า 2,300 ล้านคน.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ