นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยหลังการประชุมวอร์รูมด้านการส่งออก ร่วมกับผู้แทนสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และภาคเอกชน เพื่อเร่งรัดการส่งมอบสินค้าที่ได้มีการจัดทำบันทึกความตกลง (เอ็มโอยู) สินค้าที่มีการเจรจาจับคู่ธุรกิจ และการผลักดันการส่งออกสินค้ากลุ่มที่สามารถเร่งรัดให้มีการส่งมอบได้เร็วขึ้น ว่าจากการตรวจสอบมีสินค้าที่ไทยได้ลงนามเอ็มโอยูกับคู่ค้าต่างชาติ จำนวน 35 ฉบับ มียอดขาย 44,722 ล้านบาท และการเจรจาจับคู่ธุรกิจ 26,244 ล้านบาท รวม 70,966 ล้านบาท โดยเร่งรัดให้ส่งมอบสินค้าให้เร็วขึ้น ในเดือน ธ.ค.นี้ และต่อเนื่องถึงต้นปี 2563
“สภาหอการค้าไทย และ ส.อ.ท.ได้รับที่จะไปประชุมร่วมกับสมาชิกรายสำคัญๆ เพื่อเร่งรัดการส่งมอบสินค้า ภาคเอกชน ที่ได้เดินทางไปเปิดตลาดร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และมีการลงนามเอ็มโอยู การซื้อขาย รวมถึงเอกชนที่เข้าร่วมเวทีเจรจาธุรกิจและมีการจับคู่ธุรกิจตกลงซื้อขายกันได้ ก็จะไปดูว่าจะเร่งรัดการส่งมอบในเดือน ธ.ค.นี้ได้เท่าไร และต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกปีหน้า ว่าตัวเลขเป็นอย่างไร ถือเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ที่ช่วยกันเร่งทำรายได้เข้าประเทศในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว”
สำหรับสินค้าที่จะมีการส่งมอบได้เร็วขึ้น เช่น ยางพารา ที่เคยไปขายให้อินเดียและตุรกี จะเร่งส่งออกจากที่ส่งมอบ 2,800 ตัน เพิ่มเป็น 3,500 ตัน ขณะที่ การยางแห่งประเทศไทย เร่งส่งมอบ 5,000 ตัน ภายในสัปดาห์ที่ 3 หรือ 4 ของเดือน ธ.ค.นี้ บริษัท ดีสโตน จำกัด จะเร่งส่งออกยางรถยนต์ 1,200 ตู้คอนเทนเนอร์ในเดือน ธ.ค. และเดือน ม.ค.-มี.ค.2563 จะส่งออกเพิ่มเป็น 1,700 ตู้ต่อเดือนเป็นต้น ส่วนสินค้าอุตสาหกรรม เช่น อิเล็กทรอนิกส์ได้รับที่จะไปเร่งรัดการส่งออก รถยนต์ เช่น โตโยต้า แจ้งว่าเดือน ธ.ค. จะส่งออกเพิ่มจากปกติอีก 1,000 คัน ฮอนด้าแจ้งว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้นในต้นปีหน้า และน้ำมัน โดยบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) แจ้งว่าจะส่งออกได้เพิ่มขึ้น ตัวเลขจะชัดเจนในปีหน้า เพราะขณะนี้รัฐบาลส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ทำให้มีน้ำมันเหลือส่งออกมากขึ้น.