พร้อมเพย์ทะลุ 40 ล้านบัญชี

Personal Finance

Banking & Bond

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

พร้อมเพย์ทะลุ 40 ล้านบัญชี

Date Time: 19 เม.ย. 2561 09:18 น.

Summary

  • ธปท.แจง พ.ร.บ.ชำระเงินฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ 16 เม.ย.ที่ผ่านมา จ่อเรียกผู้ประกอบการเดิมกว่า 100 รายขอใบอนุญาตใหม่ภายใน 120 วัน ลดทุนจดทะเบียนขั้นต่ำผู้ให้บริการ e–money

Latest

ปลดล็อกเรื่องภาษี!

กระแสสังคมไร้เงินสดในไทยสุดฮอต!

ธปท.แจง พ.ร.บ.ชำระเงินฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ 16 เม.ย.ที่ผ่านมา จ่อเรียกผู้ประกอบการเดิมกว่า 100 รายขอใบอนุญาตใหม่ภายใน 120 วัน ลดทุนจดทะเบียนขั้นต่ำผู้ให้บริการ e–money ลงครึ่งหนึ่งเหลือ 100 ล้านบาท ขณะที่มองอนาคตสังคมไร้เงินสดในไทยเริ่มตั้งไข่ได้ ชี้คนใช้พร้อมเพย์ทะลุ 40 ล้านบัญชี ขณะที่ยอดโอนเงินต่อรายลดลงเหลือ 3,000 ต่อรายการ

น.ส.สิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สายระบบการชำระเงิน และเทคโนโลยีทางการเงิน กล่าวว่า ในวันที่ 16 เม.ย.ที่ผ่านมา พ.ร.บ.ระบบการชำระเงิน พ.ศ.2560 เริ่มมีผลบังคับใช้ และในวันที่ 17 เม.ย.ที่ผ่านมา กระทรวงการคลัง และ ธปท.ได้มีการออกประกาศหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องภายใต้ พ.ร.บ.หรือกฎหมายลูกทั้งสิ้นจำนวน 16 ฉบับ โดยมีการกำหนดผู้ให้บริการที่จะต้องขึ้นทะเบียน และขอใบอนุญาตจาก ธปท.เพื่อธุรกิจให้บริการโอนเงิน และรับชำระเงิน

โดยธุรกิจที่จะต้องขออนุญาต ประกอบด้วย 4 ประเภท คือ 1.บัตรเครดิต บัตรเดบิต และบัตรเอทีเอ็ม 2.การให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-money 3.ธุรกิจการโอนเงิน และ 4.ธุรกิจการรับชำระเงิน ประกอบด้วย 1.การรับชำระเงินทั่วไป 2.การรับชำระค่าสาธารณูปโภค และ 3.การรับชำระเงินแทน ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ให้บริการที่มีอยู่ในระบบขณะนี้จำนวนกว่า 100 ราย จะต้องมาขึ้นทะเบียน หรือขอใบอนุญาตใหม่ภายใน 120 วัน นับจากวันบังคับใช้ หรือภายในวันที่ 14 ส.ค.61 โดยในช่วงนี้ ธปท.จะผ่อนผันให้ผู้ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.เดิมดำเนินการได้ต่อเนื่อง แต่หลังจากครบกำหนดการขออนุญาตใหม่ หากไม่มีการขออนุญาตจะต้องขอให้หยุดดำเนินการ

ทั้งนี้ ใน พ.ร.บ.ฉบับใหม่นี้ยังมีการปรับเปลี่ยน จำนวนทุนจดทะเบียนขั้นต่ำที่กำหนดให้ต้องมีในส่วนของธุรกิจที่จะให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ โดย ปรับลดทุนจดทะเบียนจากเดิมขั้นต่ำจาก 200 ล้านบาท เหลือ 100 ล้านบาท เพื่อให้รายเล็กสามารถที่จะเข้าสู่การให้บริการดังกล่าวได้ และช่วยให้ประชาชนมีทางเลือกช่องทางการจ่ายเงินที่มากขึ้น นอกจากนั้น ยังเพิ่มความเข้มงวดในกรณีของการคุ้มครองผู้บริโภค โดยในส่วนของการรักษาความลับส่วนบุคคลของผู้ให้บริการ โดยหากพบว่ามีบริษัทใดนำข้อมูลลูกค้าไปใช้ในทางธุรกิจ กำหนดปรับสูงสุดไม่เกิน 2 ล้านบาท

น.ส.สิริธิดา กล่าวต่อว่า ในปีที่ผ่านมา ประชาชนได้เริ่มให้ความสนใจในการโอนเงิน และชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น โดยล่าสุด ผลสำรวจการโอนเงิน และชำระเงินผ่านบริการพร้อมเพย์ พบว่าทำลายสถิติในทุกเดือน โดยล่าสุดวันที่ 6 เม.ย.ที่ผ่านมา ยอดผู้ใช้บริการพร้อมเพย์ทะลุ 40 ล้านบัญชี โดยผูกกับหมายเลขบัตรประ
ชาชน 27 ล้านบัญชี และผูกกับหมายเลขโทรศัพท์ 13 ล้านบัญชี และขณะที่มูลค่าการโอนเงินผ่านระบบพร้อมเพย์สะสมตั้งแต่เริ่มให้บริการอยู่ที่ 173 ล้านรายการ มูลค่าการโอนเงิน 700,000 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าของการโอนเงินผ่านการให้บริการ e-money และผู้ให้บริการชำระเงินอื่นๆ ในปี 2560 ที่ผ่านมา มีทั้งสิ้น 4,000 ล้านรายการ
เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อน 30% ใน ขณะที่มีมูลค่าการโอนเงิน 300 ล้านล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 3-4%

“จากการพิจารณาการโอนเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ พบว่า จำนวนเงินเฉลี่ยที่ประชาชนโอนน้อยลงเรื่อยๆ ล่าสุดเฉลี่ยที่ 3,000 กว่าบาทต่อรายการ ลดลงครึ่งหนึ่งจากช่วงต้นของการให้บริการเฉลี่ย 7,000-8,000 บาทต่อรายการ และมีประชาชนมากขึ้นที่โอนเงินไม่ถึง 100 บาท เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการผ่านคิวอาร์โค้ด ซึ่งเป็นการโอนเงินเพื่อชีวิตประจำวันมากขึ้น แสดงให้เห็นการเติบโตของสังคมไร้เงินสด และ พ.ร.บ.ฉบับใหม่นี้จะช่วยเอื้อในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานของระบบการชำระเงินเพื่อสร้างฐานในการเกิดสังคมไร้เงินสดในประเทศไทย”.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ