ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมิน โควิดระบาดระลอกใหม่อาจส่งผลเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมไทยสูญเสียถึง 45,000 ล้านบาท ในกรอบเวลา 1 เดือน
เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 63 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า จากการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รอบใหม่ ซึ่งเริ่มต้นจากตลาดกุ้งในสมุทรสาคร เมื่อต้นเดือน ธ.ค.63 จนกระทั่งนำมาสู่การล็อกดาวน์ชั่วคราวจังหวัดสมุทรสาคร ตั้งแต่ 19 ธ.ค.63- 3 ม.ค.64
ขณะเดียวกันก็ยังพบจำนวนผู้ติดเชื้อที่กระจายตัวไปยังพื้นที่ต่างๆ ในหลายจังหวัดของประเทศไทย ในเบื้องต้น ภายใต้กรณีที่ไม่พบคลัสเตอร์ของจำนวนผู้ติดเชื้อในจังหวัดอื่นหรือเหตุการณ์ไม่ลุกลามจนนำมาสู่การล็อกดาวน์เป็นวงกว้าง
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยอาจได้รับความสูญเสียจากการระบาดรอบใหม่ของโควิด-19 คิดเป็นมูลค่าราวๆ 45,000 ล้านบาทในกรอบเวลา 1 เดือน โดยจำแนกผลกระทบได้ ดังนี้
- ความสูญเสียที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าประมงและอาหารทะเล ที่อาจมีมูลค่ารวมกันราว 13,000 ล้านบาท จากความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดการชะลอการบริโภคสินค้าประมงและอาหารทะเลในระยะสั้น นอกจากนี้ การส่งออกสินค้ากลุ่มดังกล่าวในระยะถัดไปก็อาจจะได้รับผลกระทบบ้างโดยเฉพาะในด้านขั้นตอนการตรวจสอบและกระบวนการต่างๆ ที่คู่ค้าอาจหยิบยกให้ผู้ประกอบการไทยมีการดำเนินการเพิ่มเติม ถึงแม้ขณะนี้จะยังไม่มีการยกเลิกคำสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าก็ตาม
ทั้งนี้ สมุทรสาคร นับเป็นแหล่งวัตถุดิบหลักในธุรกิจการประมงและการแปรรูปสัตว์น้ำ โดยปริมาณสัตว์น้ำสดที่ใช้ในธุรกิจการประมงและการแปรรูปสัตว์น้ำเค็ม มีสัดส่วนเกือบ 40% ของทั้งประเทศ (ไม่รวมวัตถุดิบนำเข้า) การล็อกดาวน์ จึงส่งผลกระทบต่อกิจกรรมการค้าและการผลิตหมวดนี้ไม่น้อย
อย่างไรก็ดี การสร้างความเชื่อมั่นต่อความปลอดภัยของสินค้าและกระบวนการผลิตโดยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน คงจะช่วยบรรเทาผลกระทบได้ นอกจากนี้ ผลกระทบดังกล่าวยังนับว่าอยู่ในขอบเขตที่ค่อนข้างจำกัด จากการที่ผู้บริโภคและผู้ใช้วัตถุดิบยังมีทางเลือกในการซื้อและจัดหาสินค้าจากแหล่งอื่น อีกทั้งมีประเภทอาหารที่หลากหลายและเพียงพอ ขณะที่โดยปกติประชาชนส่วนใหญ่ก็นิยมบริโภคสินค้าประมงและอาหารทะเลในสัดส่วนที่น้อยกว่าเนื้อสัตว์อย่างหมูและไก่อยู่แล้ว
- ความสูญเสียจากการที่ประชาชนชะลอการทำกิจกรรมในช่วงเฉลิมฉลองปีใหม่ โดยเฉพาะคนที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท ได้แก่ การเลี้ยงสังสรรค์ การจัดกิจกรรมต่างๆ การลดความถี่ในการใช้จ่ายที่ร้านค้าปลีก เป็นต้น ซึ่งไม่รวมการเดินทางท่องเที่ยว
ขณะเดียวกันประชาชนอาจมีการจัดหาหรือสำรองสินค้าจำเป็น เช่น หน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ อาหารพร้อมปรุง/พร้อมทาน เป็นต้น เพิ่มเติมจากช่วงก่อนหน้านี้บ้าง รวมทั้งคงจะหันไปทำกิจกรรมผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้นแทนการออกมาทำกิจกรรมนอกบ้าน
- ความสูญเสียจากการชะลอการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ คิดเป็นเม็ดเงินที่หายไปประมาณ 17,000 ล้านบาท หรือราว 30% ของรายได้ท่องเที่ยวในช่วงเวลา 1 เดือน ภายใต้กรณีที่ยังไม่ได้มีประกาศห้ามการเดินทางข้ามจังหวัด โดยพื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ ได้แก่ จังหวัดในภาคตะวันตก และภาคกลาง รวมกรุงเทพฯ ตลอดจนจังหวัดรอยต่อชายแดนระหว่างไทยและเมียนมา
อย่างไรก็ดี ประชาชนบางส่วนที่ยังต้องการเดินทางท่องเที่ยวในระยะเวลาใกล้ๆ นี้ อาจจะมีการปรับเปลี่ยนจุดหมายปลายทางไปยังพื้นที่หรือจังหวัดที่ไม่พบจำนวนผู้ติดเชื้อทดแทนได้เช่นกัน
- สถานการณ์ COVID-19 รอบใหม่นี้ ยังอาจสร้างผลกระทบด้านอื่นๆ ที่ไม่สามารถประเมินมูลค่าได้อย่างชัดเจนด้วย อาทิ ผลกระทบต่อรายได้ของผู้ประกอบการที่ค้าขายสินค้าอื่นๆ ในตลาด จากการที่ผู้คนหลีกเลี่ยงการสัญจร โดยเฉพาะการสัญจรไปในพื้นที่ที่มีการระบาดหรือพบผู้ติดเชื้อ เป็นต้น
ทั้งนี้ ผลกระทบจากการระบาดรอบใหม่ของ COVID-19 ที่สร้างความสูญเสียต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมข้างต้น เป็นกรอบการประเมินเบื้องต้นจนถึง ณ ขณะนี้เท่านั้น ซึ่งคงจะต้องมีการทบทวน และปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
ขณะที่ ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องคงจะต้องร่วมมือกันในการดูแลและจำกัดผลกระทบทั้งในมิติด้านสาธารณสุขและด้านเศรษฐกิจ เพื่อให้เหตุการณ์ค่อยๆ คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น
โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า หากการระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ สามารถควบคุมได้ และภาครัฐมีมาตรการที่สร้างความมั่นใจให้กลับมาได้อย่างรวดเร็ว ก็มีโอกาสที่มูลค่าความสูญเสียจะต่ำกว่าตัวเลขที่ประเมินไว้