กมธ. CPTPP จี้ถามกรมวิชาการเกษตร หลังพบความผิดปกติในเว็บไซต์ UPOV ระบุให้ประเทศไทยเป็นผู้สังเกตการณ์อย่างเป็นทางการ ทั้งที่ไม่เคยแสดงเจตจำนง หวั่นรัฐบาลแอบยื่นเรื่องขอเข้าเป็นสมาชิก UPOV 1991
เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 63 คณะกรรมาธิการพิจารณาศึกษาผลกระทบจากการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) สภาผู้แทนราษฎร ได้รับทราบรายงานจากคณะอนุกรรมาธิการด้านการเกษตร ที่ขอคำชี้แจงจากสำนักเลขาอนุสัญญาคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ (UPOV 1991) ในประเด็นข้อกฎหมายในการป้องกันผลกระทบซึ่งจะเกิดกับเกษตรกร
โดย รศ.สุรวิช วรรณไกรโรจน์ อนุกรรมาธิการเกษตร แจ้งต่อคณะกรรมาธิการว่า พบความผิดปกติในเว็บไซต์ UPOV ในสถานะของประเทศไทยที่ระบุว่า เป็นประเทศผู้สังเกตการณ์อย่างเป็นทางการที่อยู่ระหว่างการขอให้ทางสำนักเลขาธิการ UPOV ช่วยพัฒนากฎหมาย และยังได้รับสิทธิ์ให้เข้าร่วม 4 การประชุมสำคัญอนุสัญญา ซึ่งในเว็บไซต์ของทาง UPOV ระบุอย่างชัดเจนว่า การได้รับสถานะดังกล่าว ประเทศนั้นได้ยื่นหนังสืออย่างเป็นทางการ แสดงความสนใจเข้าร่วมเป็นสมาชิก UPOV แล้ว โดยยังได้ตอบอีเมลระบุว่า เจ้าหน้าที่ในกรมวิชาการเกษตรคนหนึ่ง เป็นผู้ประสานงานหลัก
นายนิกร จำนง รองประธานอนุ กมธ.เกษตร กล่าวเสริมว่า ทางอนุ กมธ.มีความกังวลว่า รัฐบาลไปยื่นเรื่องขอเข้าเป็นสมาชิก UPOV 1991 แล้วหรือไม่ ต้องให้ได้ความกระจ่างในเรื่องนี้
นางสาวกรรณิการ์ กิจติเวชกุล กมธ. มองว่า เป็นความผิดปกติอย่างยิ่ง เพราะแม้แต่กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง จะขอเข้าเป็นผู้สังเกตการณ์ความตกลงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐขององค์การการค้าโลก ยังต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี แต่กรณีนี้ไม่เคยมีมติ ครม.เรื่องนี้เลย
ด้านนางสาวธิดากุญ แสงอุดม ผอ.กลุ่มวิจัยการคุ้มครองพันธุ์พืช กรมวิชาการเกษตร ชี้แจงว่า ประเทศไทยยังไม่เคยแสดงเจตจำนงอย่างเป็นทางการ นี่เป็นสถานะที่ทาง UPOV ให้เอง
นายเกียรติ สิทธีอมร กมธ. ชี้ว่า นี่เป็นสาระสำคัญ เพราะองค์กรระหว่างประเทศเช่นนี้ มีกติกาหรือ Charter ที่ชัดเจนในการให้สถานะประเทศใด ถ้าไทยไม่เคยส่งหนังสือแสดงเจตจำนงอย่างเป็นทางการ ทางกระทรวงเกษตรฯ ต้องทำหนังสือไปยัง UPOV ให้แก้ไขสถานะไทยให้ถูกต้อง แล้วนำมารายงานคณะ กมธ. "สำหรับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็ต้องกลับไปคิดและปฏิบัติให้ถูกต้อง อย่าใช้วิธีแบบนี้ เพราะในที่สุดจะมีผลกระทบในสถานะของประเทศไทย"
- พืชอ่อนไหวที่ปลูกมากกว่า 65 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่เกษตรกรรมทั้งประเทศ (ซึ่ง กมธ.ตั้งใจหมายถึงข้าว) จะขอยกเว้นเป็นกรณีพิเศษจากพันธุ์พืชใหม่ที่จะได้รับความคุ้มครองกลังจากเป็นภาคีอนุสัญญาฯเกิน 10 ปี
ทาง UPOV ตอบว่า ยกเว้นไม่ได้ หลังจากเป็นภาคี 10 ปี กฎหมายจะต้องบังคับใช้กับพืชทุกสกุลและทุกชนิด
- การปฏิบัติพิเศษกับเกษตรกรรายย่อย เช่น การเก็บพันธุ์ไว้ปลูกต่อ
ทาง UPOV ตอบโดยอ้างอิงข้อแนะนำจากที่ประชุมการทูต ปี 2017 ซึ่งมีเงื่อนไขมากมาย ต้องมีการจำกัดอย่างสมเหตุสมผลและปกป้องประโยชน์ตามกฎหมายของนักปรับปรุงพันธุ์
- การให้แจ้งแหล่งที่มาของพันธุ์ใหม่ที่ต้องการขึ้นทะเบียน
ทาง UPOV ตอบว่า ไม่ได้ เพราะการให้สิทธิ์นักปรับปรุงพันธุ์จะต้องไม่มีเงื่อนไขเพิ่มเหนือแตกต่างจากที่ UPOV1991 กำหนดคือให้พิจารณาจาก แค่ 4 เงื่อนไข ความใหม่ ความแตกต่าง ความสม่ำเสมอ ความคงตัว
- สิทธิ์ของประเทศไทยในการปฏิเสธการคุ้มครองพันธุ์พืชที่ห้ามปลูกเชิงการค้าภายในประเทศ (กมธ.ตั้งใจให้หมายถึงพืชจีเอ็มโอ)
ทาง UPOV ตอบว่า การควบคุมการตลาดไม่ได้เป็นหน้าที่ของ UPOV หากจะมีมาตรการควบคุม ต้องไม่กระทบต่อการบังคับใช้ข้อกำหนดของ UPOV โดยไม่สามารถกำหนดเงื่อนไขการขึ้นทะเบียนคุ้มครองที่นอกเหนือจาก 4 เงื่อนไขข้างต้นได้
นอกจากนี้ การเป็นภาคีอนุสัญญา UPOV1991 จะต้องส่งร่างกฎหมายของไทยให้ทางสภา UPOV ตรวจดูความสอดคล้องกับอนุสัญญาฯ ก่อน ทำให้นายเกียรติ สิทธีอมร กมธ. แสดงความกังวลว่าอาจจะเป็นการแทรกแซงการออกกฎหมายของประเทศ หรือเกษตรกรที่แลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์กันอาจไม่ได้คิดเรื่องการค้า แต่ UPOV อาจมองว่าเป็นเรื่องการค้า และที่น่าห่วงคือเรื่องพืชจีเอ็มโอที่เป็นเรื่องใหญ่มาก
ทางด้านนายนิกร จำนง กมธ. สรุปว่า การตอบเช่นนี้แปลว่า กันข้าวออกไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องอ่อนไหวมาก และจะส่งผลกระทบต่อรัฐบาลได้.