นางวิมลกานต์ โกสุมาศ รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยผลกระทบทางตรงเกิดขึ้นกับกลไกสำคัญของธุรกิจการท่องเที่ยว ต่อเนื่องไปถึงธุรกิจรายย่อยทั้งหมด ส่วนผลกระทบทางอ้อมมาจากผู้บริโภคระมัดระวัง ลดการจับจ่ายใช้สอยและหันไปซื้อสินค้าผ่านออนไลน์แทน
จากการสำรวจของ สสว. พบว่า เอสเอ็มอีในภาคบริการที่มีสัดส่วน 44% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ประกอบด้วยธุรกิจโฮมสเตย์ ที่พักนักท่องเที่ยวขนาดเล็ก ธุรกิจการขนส่งคน และอสังหาริมทรัพย์ โดยธุรกิจเหล่านี้ได้รับผลกระทบจากมาตรการปิดสถานบริการ ร้านอาหาร และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ และประชาชนขาดความมั่นใจ ลดการใช้จ่ายในด้านบริการ รองลงมาเป็นภาคการค้าปลีก ที่มีสัดส่วน 31.4% ของจีดีพีเอสเอ็มอี และภาคการผลิต ซึ่งคิดเป็น 24.6% ของจีดีพีเอสเอ็มอี
นอกจากนี้ ยังพบว่าภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบของโควิด-19 สูงสุดคือ ภาคตะวันออกซึ่งประกอบด้วย ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี สระแก้ว เนื่องจากมีธุรกิจท่องเที่ยว และการผลิตเพื่อส่งออกหนาแน่นที่สุด ส่วนภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบของโควิด-19 น้อยที่สุดคือภาคอีสานซึ่งมีสัดส่วนธุรกิจท่องเที่ยวน้อยกว่าภาคอื่น
จากการประเมินของ สสว.ยังพบว่า จากวิกฤติโควิด-19 ในครั้งนี้จะมีเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบทางลบรวม 1,333 ล้านราย คิดเป็น 44% ของธุรกิจเอสเอ็มอีทั้งหมด แยกเป็นธุรกิจค้าปลีก 873,360 ราย ร้านอาหาร เครื่องดื่ม 330,875 ราย ที่พัก โรงแรม บริการการท่องเที่ยว 45,430 ราย บริการขนส่ง 64,885 ราย กีฬา สันทนาการ 18,355 ราย ซึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบทั้งหมดนี้ มีการจ้างงาน 4,088,002 คน คิดเป็น 25% ของแรงงานทั้งหมด
“ที่สำคัญแรงงานที่ถูกปลดและกลับไปทำงานในภาคเกษตรก็จะเจอกับปัญหาภัยแล้ง งานหายไปจากพื้นที่ เงินหายไปจากมือ และจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจ และ สสว.ก็กำลังเร่งออกมาตรการให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง เช่น เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ การเสริมความรู้อบรมเพื่อเพิ่มทักษะเสริมอาชีพ เป็นต้น”ทั้งนี้ หากปัญหาการระบาดของไวรัสตัวนี้ยุติได้ในเดือน เม.ย.คาดว่า ความสูญเสียจะอยู่ที่ 120,000 ล้านบาท หรือ 0.7% ของจีดีพี แต่ถ้ายืดยาวออกไปจะสูญรายได้ถึง 350,000 ล้านบาท คิดเป็น2%ของจีดีพี”.