ยันถังไม่แตก-ไม่ขึ้นภาษีหาเงิน
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้จัดเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเสร็จเรียบร้อยแล้ว และหลังจากที่นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง เข้าทำงานอย่างเป็นการทางการแล้วจะรีบเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเร็วที่สุด โดยรายละเอียดของมาตรการดังกล่าวแบ่งออก 2 ส่วนคือ มาตรกาด้านการคลัง และ 2.มาตรการสนับสนุนสินเชื่อและเงินช่วยเหลือกรณีพิเศษจากธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ 3 แห่งคือ ธนาคารออมสิน ซึ่งจะดูแลประชาชนที่อยู่ในเมือง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะดูแลเกษตรกร โดยล่าสุดได้สั่งช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากฝนทิ้งช่วงและน้ำท่วม และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์ เร่งให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)
“สถานการณ์ของเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกไม่ค่อยดี โดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ระบุว่า ไตรมาสแรกของปีนี้ เศรษฐกิจไทยเติบโต 2.8% ซึ่งเป็นการขยายตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปีที่แล้ว โดยส่วนตัวแล้ว ยังมองว่าจีดีพีไตรมาส 2 จะขยายตัวได้ในระดับเดียวกับไตรมารแรก ประมาณ 2.8-2.9% ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรก (6 เดือน) ขยายตัวไม่ถึง 3% อย่างแน่นอน”
นายสมคิด กล่าวต่อว่า สิ่งที่รัฐบาลต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนคือ การผลักดันมาตรการต่างๆของรัฐบาลชุดที่แล้วให้ดำเนินการต่อเนื่อง โดยเฉพาะการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติมองไทยเป็นฐานการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีเก่า ซึ่งหากปล่อยเช่นนี้ต่อไป สินค้าส่งออกหลักที่ทำรายได้สูงๆ เช่น รถยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ฯ จะไม่ใช่สินค้าที่มีมูลค่าสูงอีกต่อไป ส่วนสิ่งที่รัฐบาลต้องการมากที่สุดคือ เรื่องการเพิ่มรายได้ “สิ่งที่ท้าทายของรัฐบาลคือ การเพิ่มรายได้จากแหล่งใหม่ๆ เนื่องจากรายได้ของงบประมาณมาจากไม่กี่แหล่งเช่น รายได้จากภาษี การกู้เงินหรือออกพันธบัตร เงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจและโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ซึ่งหากมีข้อเสนอจากหน่วยงานไหนว่า จะเพิ่มรายได้จากแหล่งใหม่ๆ ได้ รัฐบาลก็พร้อมรับฟัง โดยขอยืนยันว่า รัฐบาลไม่ถังแตกอย่างแน่นอน และขอสบายใจได้ว่า รัฐบาลไม่มีนโยบายขึ้นภาษีอย่างแน่นอน โดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) เพราะการขึ้นภาษีในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวเท่ากับซ้ำเติมประชาชน”.