ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีพื้นที่มากมายบนโลกที่ยังคงเต็มไปด้วยเส้นทางออฟโรด และผู้คนในอดีตส่วนใหญ่มีความผูกพันอย่างแน่นแฟ้นกับรถกระบะ โดยเฉพาะ Toyota HiLux ในไทยที่ค่อยๆขยับจากผู้ตามจนกลายมาเป็นผู้นำในที่สุด และถึงแม้ว่าในออสเตรเลีย ต้นกำเนิดการพัฒนา Hilux GR นั้น กระบะ Ford Ranger ได้ขโมยตำแหน่งยอดขายไปในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ Hilux ก็อยู่บนถนนในออสเตรเลียมาตั้งแต่ปี 1968 นับตั้งแต่นั้นมา กระบะสามห่วงก็มียอดขายมากกว่า 1.2 ล้านคันในออสเตรเลีย นี่ยังไม่ได้พูดถึงประเทศไทยที่ HiLux ตั้งแต่อดีตจนรุ่นปัจจุบันเป็นรถกระบะที่เข้าไปครองใจผู้ใช้งานจำนวนมาก Hilux ได้รับความนิมยมไม่ต่างจากออสเตรเลีย เมื่อสามปีก่อน แผนก R&D ของ Toyota ในออสเตรเลีย กำลังยุ่งอยู่กับการปรับแต่งเพื่อยกระดับให้ Hilux มีประสิทธิภาพดีขึ้น และ Toyota HiLux GR Sport ปี 2024 - 2025 ก็ถือเป็นรถกระบะรุ่นที่ดีที่สุดของ Toyota ที่มีขายในเอเชีย โอเชียเนีย แม้ว่าจะไม่สุดเท่าไดโนเสาร์นักล่า Raptor แต่ความอึดของกระบะพี่โตนั้นขึ้นชื่อว่าไม่เป็นสองรองใคร

...





Toyota Hilux REVO GR กระบะรุ่นพิเศษที่เน้นความแข็งแกร่ง ความสวยงามดุดัน มาพร้อมฟิลลิ่งหลังพวงมาลัยที่เหนือกว่า Hilux ทุกรุ่นที่มีขายในไทย จุดกำเนิดของรถรุ่นนี้ เริ่มต้นขึ้นเมื่อ Toyota ลงทำการแข่งขันแรลลี่ชิงแชมป์โลก WRC ด้วยรถ GR Yaris สมรรถนะของรถแข่ง ถูกนำมาดัดแปลงใช้งานในรถกระบะที่ผลิตออกขายในประเทศไทย ทีม R&Dในออสเตรเลียได้ลงมือปรับแต่ง Toyota Hilux REVO GR Sport 4x4 6AT โดยติดตั้งชุดแต่ง GR Sport ยกความสูงเพิ่มขึ้น 15 มิลลิเมตร ขยายความกว้างของแทร็กให้เพิ่มขึ้นอีก 135 มิลลิเมตร ที่ด้านหน้า และ 155 มิลลิเมตร ที่ด้านหลัง เครื่องยนต์ 1GD-FTV ปรับจูนใหม่ เป็นเครื่องยนต์แถวเรียงสี่สูบ ดีเซลเทอร์โบ อินเตอรคูลเลอร์ กำลังมีมาให้เหลือเฟือที่ 224 แรงม้า แรงบิด 550 นิวตันเมตร เป็นระบบส่งกำลังรุ่นเดียวกับ Toyota Fortuner GR Sport 2023 ส่วนราคาของ Hilux GR Sport นั้นอยู่ที่ 1,499,000 บาท
...
Ford Ranger Raptor Diesel 2.0 Bi-Turbo 10AT 1,699,000 บาท
Mitsubishi Triton Athlete 2.4 6AT 4×4 : 1,298,000 บาท
Isuzu D-Max V-Cross Double Cab 3.0 6AT 4×4 : 1,277,000 บาท
Nissan Navara (MY2024) Pro-4X 1,175,000 บาท



...



...

หน้าตานั้นคุ้นเคยกันมา 1 ปีแล้ว กระจังหน้าสีดำเงา พร้อมอักษร Toyota และสัญลักษณ์ GR เป็นอีกจุดที่ทำให้ด้านหน้าของ Hilux รุ่นพิเศษนี้มีความน่ามองมากกว่าเดิม กันชนหน้าพร้อมชุดแต่ง กันชนหลังสีดำเมทัลลิก ความแตกต่างจาก REVO Rocco ก็คือ กันชนของ GR Sport ที่บึกบึนมากกว่าเดิม ซุ้มล้อพลาสติกสีดำด้าน มุมด้านข้างของกันชนหน้าทั้งซ้ายและขวา ติดตั้งไฟตัดหมอก LED เพื่อเพิ่มความชัดเจนด้านมุมมองขณะขับท่ามกลางสภาพอากาศไม่ดี กระบะหลังติดตั้งสปอร์ตบาร์




ชุดแต่งซุ้มล้อพลาสติกสีดำ โป่งแก้มข้าง ทำให้ซุ้มล้อขนาดใหญ่ของ Hilux GR Sport หุ้มด้วยชิ้นงานตกแต่งที่คล้ายกับ Rocco แต่ไม่มีการพ่นสี สติกเกอร์สีดำ แดง ขาว ด้านข้างตัวถังและฝากระบะท้าย กาบบันไดด้านข้างกุญแจรีโมต Smart Key ดีไซน์เฉพาะรุ่น GR Sport




โช้คอัพโมโนทิวบ์แบบท่อเดี่ยว มาพร้อมแรงหน่วงที่ตึงมากกว่าเดิมกับความสามารถในการระบายความร้อนของน้ำมันในกระบอกโช้คที่ดีขึ้น คอยล์สปริงปรับให้แข็งขึ้น สอดรับกับจุดยึดโยงของระบบกันสะเทือนหน้า-หลังที่ปรับแต่งจนมีความสมดุลอย่างเหมาะสม เพื่อทำให้การควบคุมดีขึ้นไปอีก (ของเดิมใน GR Hulux ที่ขายในไทยก็ถือว่าทำออกมาดีแล้ว) เพิ่มความเสถียรผ่านมุมการหมุนที่ลดลง และให้การตอบสนองของพวงมาลัยที่แม่นยำ การปรับแต่งใหม่หมดเพื่อเน้นสมรรถนะ ช่วยให้ผู้ขับขี่เพลิดเพลินไปกับกระบะ GR Sport โดยไม่กระทบต่อความสะดวกสบายของการขับขี่ในชีวิตประจำวัน










กันชนหน้าออกแบบใหม่ กรอบไฟตัดหมอกใหม่ คิ้วสีเงินอยู่เหนือแผ่นกันกระแทก กรอบไฟตัดหมอกไหลเข้าสู่บังโคลนสีดำ ท่ออากาศบนซุ้มล้อหน้าเพื่อลดความปั่นป่วน กระจังหน้าสีดำเงา พร้อมอักษร Toyota และสัญลักษณ์ GR เป็นอีกจุดที่ทำให้ด้านหน้าของ Hilux รุ่นพิเศษนี้มีความน่ามองมากกว่าเดิม กันชนหน้าพร้อมชุดแต่ง กันชนหลังสีดำเมทัลลิก ความแตกต่างก็คือ กันชนใหม่ของ GR Hilux ที่บึกบึนมากกว่าเดิม ซุ้มล้อพลาสติกสีดำด้าน มุมด้านข้างของกันชนหน้าทั้งซ้ายและขวา ติดตั้งไฟตัดหมอก LED เพื่อเพิ่มความชัดเจนด้านมุมมองขณะขับท่ามกลางสภาพอากาศไม่ดี ด้านข้างของ GR Hilux มีโป่งซุ้มล้อทำจากพลาสติกสีดำ ล้ออัลลอยสไตล์ดาการ์ขอบ 17 นิ้ว หุ้มด้วยยาง BF GOODRICH All-Terrain TA KO2 ขนาด 265/65 R17 เบรกหน้า ติดตั้งชุดคาลิปเปอร์สี่ลูกสูบ จานดิสเบรกหน้า ขนาด 338 มม. x 28 มม. เบรกหลังยัด คาลิปเปอร์ลูกสูบเดี่ยว จานดิสก์หลังขนาด 312 มม. x 18 มม.
ความยาวรวม: 5,320 มม.
ความกว้างโดยรวม : 2,020 มม.
ความสูงโดยรวม : 1,880 มม.
ระยะฐานล้อ : 3,085 มม.
ระยะหน้า : 1,675 มม.
ระยะหลัง : 1,705 มม.
มุมเข้าใกล้: 30 องศา
มุมจาก : 26 องศา
















ห้องโดยสาร แม้จะมีความคล้ายคลึงกันอยู่บ้างกับ Hilux 4x4 รุ่นอื่น แต่งานตกแต่งภายในของ Hilux GR Sport นั้นเน้นความสุดมากกว่า เบาะคนขับปรับไฟฟ้า หุ้มหนังสังเคราะห์แบบไมโครไฟเบอร์ คล้ายกับหนังกลับ Alcantara เบาะสีเทา-ดำ เย็บเดินตะเข็บด้วยด้ายสีแดง หนังสังเคราะห์ไมโครไฟเบอร์เจาะรูพรุนทั้งพนักพิงหลังและในส่วนของเบาะรองนั่ง เพื่อลดความอับชื้นด้วยการระบายอากาศที่ดีกว่า ส่วนเบาะผู้โดยสารตอนหน้ายังใช้การปรับด้วยมือเหมือนเดิม เบาะหลังหุ้มด้วยวัสดุหนังสังเคราะห์เช่นเดียวกับเบาะหน้า พนักเท้าแขนพับเก็บได้ ออกแบบสำหรับวางแก้วเครื่องดื่มได้สองตำแหน่งช่วยเพิ่มความสะดวกในการเดินทางไกล พื้นที่ของเบาะหลังมีพอเพียงสำหรับผู้โดยสารสองคน พื้นที่วางเท้าและพื้นที่เหนือศีรษะมีพอสมควร โดยไม่สร้างความรู้สึกอึดอัดคับแคบ แต่ถ้านั่งหลังเต็มๆ สามคนก็อาจเกิดความอึดอัดคับแคบเมื่อเดินทางไกล










มาตรวัดอ่านค่าได้ง่ายและสวยงาม ดูดีและน่าจะมีอายุการใช้งานทนกว่ามาตรวัดจอภาพแน่ๆ กึ่งกลางของมาตรวัดรอบและวัดความเร็วเป็นจอภาพแสดงผล MID multi function display แจ้งข้อมูลการทำงานในระบบต่างๆ ผ่านจอขนาดเล็ก เช่น อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ทริปมิเตอร์ ตำแหน่งเกียร์ อุณหภูมิภายนอก ความเร็วแบบตัวเลขดิจิตอล แสดงผลการเลือกเล่นฟังก์ชันต่างๆ ในระบบอินโฟเทนเมนต์ แจ้งเตือนค่าปรับตั้งในระบบช่วยขับและระบบความปลอดภัย ส่วนชุดควบคุมอุณหภูมิแบบแยกโซนที่อยู่ต่ำลงมาจากจอภาพมอนิเตอร์กลาง ปรับตั้งค่าอุณหภูมิภายในห้องโดยสารได้ง่ายจากปุ่มกดต่างๆ รวมถึงปุ่มหมุน ช่องเสียบ USB และช่องเสียบไฟขนาด 12V ปุ่มควบคุมระบบ DAC ปุ่มแทรคชั่นคอนโทรล สวิตช์หมุนเพื่อปรับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ มีให้เลือกทั้ง 4H 4Low และ 2WD (RWD)






พวงมาลัย GR Sport หุ้มด้วยหนังแท้อย่างดีจับแล้วให้ความรู้สึกที่กระชับ หนังที่หุ้มรอบวงพวงมาลัยเย็บเดินตะเข็บด้วยด้ายสีแดง ก้านวงพวงมาลัยติดตั้งสวิตช์มัลติฟังก์ชันสำหรับการปรับตั้งค่าต่างๆ โดยเฉพาะระบบอินโฟเทนเมนท์ ด้านซ้ายเป็นสวิตช์สั่งงานด้วยเสียง ปุ่มควบคุมความดังของลำโพง ปุ่มเลือกฟังก์ชันการเล่นเพลง ปุ่มสั่งงานด้วยเสียงและปุ่มรับหรือวางสายโทรศัพท์บลูทูธ ด้านขวาก้านพวงมาลัย เป็นปุ่มเลือกกดูข้อมูลบนจอภาพ MID บริเวณกึ่งกลางของมาตรวัดทั้งสองข้าง ปุ่มควบคุมระบบความปลอดภัย ส่วนระบบปรับตั้งความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control เป็นก้านสวิตช์ด้านขวามือที่ใช้งานได้ง่าย พวงมาลัยปรับสี่ทิศทาง ขึ้น-ลง หรือใกล้-ไกล หลังวงพวงมาลัยมีแป้นเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ Paddle Shift คล้ายกับของ Fortuner ความฉูดฉาดของโทนสี Motor Sport ยังลามไปถึงแผงประตูหุ้มหนังสังเคราะห์สีเทา-ดำ พนักเท้าแขนบริเวณแผงประตูเย็บเดินตะเข็บด้วยด้ายสีแดง ชายล่างของบานประตูด้านในมีหลอดไฟสีแดง ช่วยเพิ่มความปลอดภัยเมื่อเปิดประตูในที่มืดโดยเฉพาะรถสีเข้มแบบนี้


คันเกียร์แบบร่องหยัก Gate-Type ผลักคันเกียร์ไปทางด้านซ้ายแทนเพื่อปลดล็อกจากตำแหน่ง P หรือตำแหน่งจอดไปยังเกียร์ต่างๆ มีหลักการคล้ายกับแป้นเกียร์อัตโนมัติแบบตรง เช่น P ไป R, R ไป P หรือ D ไป R ข้อดีของเกียร์แบบขั้นบันได ก็คือ หากมือเผลอไปโดนหรือกระแทกแรงๆ จะไม่สามารถผลักตำแหน่งเกียร์เลื่อนไปตำแหน่งอื่นได้ หากเกิดการเลื่อนเปลี่ยนเกียร์จาก D ไปที่ R ขณะขับรถ เกียร์ถอยหลังจะไม่ทำงาน เนื่องจาก ECU จะไม่สั่งให้โซลินอยด์วาล์วที่ควบคุมในการเลื่อนเปลี่ยนเฟืองเกียร์ทำงาน เกียร์ออโต้ 6 สปีด ใน Hilux REVO GR Sport มีตำแหน่ง +/- เพื่อเปิดโอกาสให้คนขับได้ชิฟเกียร์ขึ้น-ลงด้วยตัวเองบนเส้นทางภูเขาสูงชันที่ต้องมีการลด หรือเพิ่มเกียร์อยู่ตลอดเวลา
เมื่อผลักคันเกียร์มาทางขวาก็จะเข้าสู่โหมดเกียร์ธรรมดา สามารถชิฟเกียร์ด้วยการโยกคันเกียร์ขึ้นลง หรือชิฟผ่านแป้นเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย ข้างคันเกียร์มีสวิตช์ปรับโหมดมาให้สองรูปแบบ คือ ECO โหมดประหยัดที่ใช้ขับในเมืองหรือการขับที่ไม่รีบเร่ง กับโหมด Power หรือ Sport Mode โหมดขับเคลื่อนที่รถจะตอบสนองได้ดีขึ้นในด้านการเร่งความเร็ว การขับที่ต้องการพลังและแรงบิดอย่างต่อเนื่อง

เครื่อง 1GD-FTV i-ART จูนกำลังเท่ากับ Toyota Fortuner GR ดิสก์เบรก 4 ล้อ ช่วงล่างปรับจูนใหม่ กระบอกโช้คอัพแบบโมโนทูป เน้นประสิทธิภาพทางออฟโรดมากขึ้น ย้ายตำแหน่งกระบอกโช้คอัพไว้นอกแชสซี ความกว้างของช่างล่างกว้างขึ้น พร้อมโป่งซุ้มล้ออย่างโหด ยกสูง 20 มิลลิเมตร กว้างขึ้น 140 มิลลิเมตร จัดดิสก์เบรก 4 ล้อ ล้ออัลลอยสีดำ ขอบ17 นิ้ว ยาง BF Goodrich ko2 AT 265/70/17

เครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร GD Super Power 1GD-FTV (High) เป็นเครื่องยนต์ดีเซลแบบ 4 สูบ แถวเรียง 4 วาล์วต่อสูบ (16 วาล์ว) DOHC VN Turbo ชุดลดอุณหภูมิไอดี Intercooler มีปริมาตรความจุกระบอกสูบ 2,755 ซีซี ความกว้างกระบอกสูบ 92.0 มิลลิเมตร ระยะชัก 103.6 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 15.6 : 1 ให้กำลังสูงสุด 224 แรงม้า ที่ 3,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 550 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,800 รอบต่อนาที ระบบจ่ายเชื้อเพลิง ติดตั้งหัวฉีดไดเร็คอินเจ็คชั่นแบบคอมมอนเรล (i-ART) ความจุถังน้ำมัน 80 ลิตร เครื่องยนต์ GD Super Power 1GD-FTV (High) มีกำลังสูง แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร การอัปเกรดเครื่องยนต์ในปี 2566 ทำให้ Hilux GR มีศักยภาพในการวิ่งทางฝุ่นด้วยความเร็วสูงดีขึ้นมาก เครื่องรุ่นนี้ยังประจำการอยู่ใน Fortuner Legender GR Sport ระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จเจอร์มีการเปลี่ยนเทอร์โบให้ใหญ่ขึ้น แกนเทอร์โบใส่ตลับลูกปืน Ball Bearing เพื่อลดแรงเสียดทาน เพิ่มประสิทธิภาพด้านการบูสต์ได้เร็วกว่าเดิม ลูกสูบเคลือบสาร Diamond-liked บริเวณแหวนรองลูกสูบเพื่อลดแรงเสียดทาน หัวฉีดเชื้อเพลิงคอมมอลเรลไดเรคอินเจ็คชั่น i-ART เพิ่มประสิทธิภาพในการฉีดจ่ายเชื้อเพลิง ทั้งหมดทั้งปวงเป็นที่มาของแรงบิดอันน่าประทับใจของ Hilux GR




กระบะแนวฮาร์ดคอร์ GR Hilux ถือว่าเป็นปิคอัพประกอบไทยรุ่นที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมาของพี่โต อาจเทียบไม่ได้กับเครื่องเบนซิน V6 ของ Ranger Raptor ซึ่งเบ่งความเร็วรอบได้จิ้ดกว่าแต่ก็รับประทานน้ำมันมากกว่าเยอะ กำลังที่เพิ่มขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์ จาก 204 แรงม้า มาเป็น 224 แรงม้า แรงบิด จาก 500 นิวตันเมตร เพิ่มเป็น 550 นิวตันเมตร เกิดจากพลังการบูสต์ของเทอร์โบชาร์จเจอร์และหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ เมื่อผสมผสานกับการปรับแต่งอัตราทดของเกียร์อัตโนมัติแบบสปอร์ต GR Hilux รุ่นใหม่ที่มีการปรับแต่งในแดนจิงโจ้ ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเร่งความเร็วเพื่อแซงในทุกสภาวะ เสริมด้วยการควบคุมที่เหมาะสมที่สุดผ่านแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift บนพวงมาลัย มีการขยายระยะห่างล้อหน้าออกไป 140 มิลลิเมตร และ 155 มิลลิเมตร ที่ล้อหลัง พร้อมปีกนกที่ออกแบบใหม่ เพลาล้อหลังเสริมแรงเพื่อรองรับสภาพการขับขี่บนพื้นที่ทุรกันดาร










หลังจากช่วงปลายปี 67 Toyota Motor Thailand เชิญสื่อไปขับทดสอบทางไกลที่เมืองอาดิเลซ ประเทศออสเตรเลีย ดินแดนที่เป็นจุดกำเนิดของ Hilux GR Sport ต้องรอหลายเดือนกว่าที่จะมีโอกาสยืมรถทดสอบมาขับในไทยดูบ้าง ผมมุ่งหน้าไปยังรอยต่อระหว่างอำเภอปราณบุรีและกุยบุรีแถวทิศตะวันตกที่มีเส้นทางขึ้นลงภูเขา โช้คอัพโมโนทิวบ์แบบท่อเดี่ยว มาพร้อมแรงหน่วงที่ตึงมากกว่าเดิมกับความสามารถในการระบายความร้อนของน้ำมันในกระบอกโช้คที่ดีขึ้น คอยล์สปริงปรับให้แข็งขึ้น สอดรับกับจุดยึดโยงของระบบกันสะเทือนหน้า-หลังที่ปรับแต่งจนมีความสมดุลอย่างเหมาะสม เพื่อทำให้การควบคุมดีขึ้นไปอีก เพิ่มความเสถียรผ่านมุมการหมุนที่ลดลง และให้การตอบสนองของพวงมาลัยที่แม่นยำ การปรับแต่งเพื่อเน้นสมรรถนะ ช่วยให้เพลิดเพลินไปกับการเดินทางในกระบะ GR Sport โดยไม่กระทบต่อความสะดวกสบายของการขับขี่ในชีวิตประจำวัน แรงบิดเหลือเฟือ เร่งแซงได้ดั่งใจไม่ต้องมานั่งลุ้น แรงดึงไม่หนักเท่า เบนซิน V6 เครื่องสหกรของ Ford ที่อยู่ใน Raptor รุ่นท็อป แต่ได้เรื่องกินน้ำมันประมาณ 10 กิโลเมตรต่อลิตรเมื่อขับเร็ว ถือว่าพอรับได้ ไม่กินดุดันเท่ากับ 5-6 กิโลเมตรต่อลิตรของเครื่อง V6 ในไดโนเสาร์ตัวโหด




การเปลี่ยนแปลงแบบไดนามิกสร้างความแตกต่างในโลกแห่งความเป็นจริง GR Sport คือ HiLux ที่ขับขี่ได้ดีที่สุดสำหรับเจเนอเรชันนี้ที่กำลังจะเปลี่ยนโฉมในช่วงปลายปี ระบบเบรกปรับปรุงให้ดีขึ้น เมื่อเทียบกับ Hilux REVO รุ่นมาตรฐาน ช่วงล่างแน่นขึ้น โดยเฉพาะที่ความเร็วต่ำไปจนถึงขับด้วยความเร็วสูงบนทางลูกรัง การปรับแต่งที่ทำให้ค่าตัวเพิ่มขึ้นและลูกค้าต้องจ่ายแพงขึ้น สิ่งที่แลกมาคือการควบคุมรถที่ดีขึ้นมาก พวงมาลัยหนักที่ความเร็วต่ำ แต่เบาลงอย่างพอดีหลังจากออกตัว พวงมาลัยเพาเวอร์มีน้ำหนักมากกว่าพวงมาลัยไฟฟ้าของ Ranger Raptor แต่ HiLux GR Sport ขับสนุกพอๆกันแต่เร่งได้ดีกว่า Raptor 2.0 ดีเซล และอย่าลืมทีเด็ดของ Navara Pro-4X และ BT-50 4x4 ที่มีราคาถูกกว่ามาก




ซอฟต์แวร์เกียร์ปรับปรุงใหม่ สามารถลดเกียร์ลงได้เมื่อเบรก ตอบสนองได้ดีขึ้นเมื่อใช้โหมดแมนนวล บนไฮเวย์ขึ้นเขาลงห้วย โดยภาพรวมบนทางลาดยาง Hilux GR ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ ขับเคลื่อนบนแพลตฟอร์มแบบแทร็กกว้าง ความสูงของรถเพิ่มขึ้น 15 มม. ระยะฐานล้อหน้าเพิ่มขึ้น 135 มม. และระยะฐานล้อหลังเพิ่มขึ้น 155 มม. การจัดการกับระบบกันสะเทือน มีการเปลี่ยนคอยล์สปริงด้านหน้าและแผ่นหลังที่ปรับแต่งใหม่ให้เข้ากับรุ่น GR โช้คอัพโมโนทูบจาก KYB มีลูกสูบขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่าเดิม ถอดเหล็กกันโคลงด้านหลังออก ทำให้เพลามีการเคลื่อนไหวที่ดีขึ้น ในทางทฤษฎี HiLux GR น่าจะมีการควบคุมส่วนท้ายที่แย่ลงเมื่อถอดเหล็กกันโคลงด้านหลังออกไป แต่เมื่อลองขับบนทางลูกรังด้วยความเรวสูง รถมีความสมดุลจากด้านหน้าไปด้านหลัง รักษาแนวได้อย่างมั่นคงเมื่อลองใช้คันเร่งแบบไม่ยั้ง บนถนนลูกรัง มันยังทรงตัวได้ดีแทบจะไม่ต่างจาก Raptor 2.0 Diesel




HiLux GR Sport มีความคล่องตัวค่อนข้างมากในเส้นทางที่ยากลำบาก พวงมาลัยแบบไฮดรอลิกของ HiLux ตอบสนองได้อย่างลื่นไหล แม้จะไม่สบายมือเท่าพวงมาลัยไฟฟ้าของ Raptor แต่ความแม่นยำถือว่าไม่เป็นรอง น้ำหนักส่วนหน้าที่เบากว่าทำให้ Hilux GR เคลื่อนที่ด้วยความคล่องตัว วงเลี้ยวของ GR Sport อยู่ที่ 12.6 เมตร ที่ยาง (หรือ 13.4 เมตรที่ตัวถัง) และ 3.3 รอบของล้อจากจุดล็อกไปยังจุดล็อก เมื่อต้องขับบนทางโค้งแคบๆ ระยะห่างจากสิ่งกีดขวางนั้นไม่เป็นปัญหา โดยมีระยะห่างจากพื้นถึงใต้ท้องรถ (265 มม.) ด้วยการออกแบบมุมทางเรขาคณิตออฟโรดที่เหมาะสม (เข้า 30º/ออก 23º) ทำให้ขับขึ้นเนินบนถนนในป่าที่เป็นร่องลึกได้โดยแทบไม่ต้องวุ่นวายลงมาดู การรวมแป้นเปลี่ยนเกียร์ ช่วยให้ใช้อัตราทดเกียร์ Aisin ทั้ง 6 อัตราทดได้ดีขึ้น โดยเฉพาะการขับขี่แบบออฟโรด แม้ว่าเกียร์อัตโนมัติของ HiLux จะตามหลังคู่แข่งรุ่นใหม่ๆ อยู่บ้าง แต่ก็ยังคงเป็นเกียร์ที่ทำงานได้ดี แข็งแรงทนทาน ซึ่งแทบจะไม่มีอาการกระตุกและให้อัตราทดที่เหมาะสมสำหรับงานหนัก




สิ่งที่น่าสนใจคือ การปรับเทียบใหม่ของระบบเกียร์อัตโนมัติ ซึ่งให้แรงม้าและแรงบิดเพิ่มขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์นั้น ให้ความรู้สึกว่าทำมามากพอสมควร เทอร์โบที่ปรับปรุงใหม่ การควบคุมการฉีดเชื้อเพลิงที่ปรับเปลี่ยนใหม่ ผ่านการปรับแต่งด้วยคอมพิวเตอร์ ส่งผลให้เครื่องยนต์ 1GD-FTV เพิ่มกำลังจาก 150 กิโลวัตต์เป็น 165 กิโลวัตต์ แรงบิดเพิ่มขึ้นจาก 500 นิวตันเมตรเป็น 550 นิวตันเมตร นับเป็นเครื่องยนต์ดีเซลที่ประจำการใน HiLux ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่มีมา แรงบิดสูงสุด พร้อมใช้งานระหว่าง 1,600 รอบต่อนาทีถึง 2,800 รอบต่อนาที เป็นช่วงกว้างแต่ไม่กว้างเท่าคู่แข่งบางรุ่น จากนั้นกำลังสูงสุดจะมาถึงที่ 3,000 รอบต่อนาที รู้สึกว่ามันเร็วขึ้นเล็กน้อย แต่ที่เห็นได้ชัดกว่าคือ Hilux GR ไม่ต้องออกแรงมากหรือต้องเบ่งพลังมากนักยกเว้นเส้นทางลูกรังในพื้นที่ปิดก็จัดเต็มได้เลย ความสนุกแทบไม่ต่างจาก Raptor 2.0 ดีเซล ฟิลลิ่งตอนอัดหนักๆในทางลูกรังออกจะเบากว่าด้วยซ้ำ




การขับแซงรถช้าบนไฮเวย์อย่างสบายๆ ไม่จำเป็นต้องเร่งแซงด้วยการกดคันเร่งจนสุด GR Sport สามารถแซงรถคันอื่นได้อย่างสบายๆ โดยไม่ต้องพยายามมากนัก อัตราเร่งดีขึ้น ใช้เวลา 0-100 กม./ชม. ที่ 9.91 วินาที เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ปรับอัตราทดใหม่เพื่อควบคุมกำลังเครื่องยนต์ที่เพิ่มขึ้น เปลี่ยนระบบจัดการแรงดันน้ำมัน เพื่อปรับปรุงความเร็วในการเปลี่ยนเกียร์ ในขณะที่ระบบเปลี่ยนเกียร์ได้รับการปรับแต่งอย่างละเอียด เพื่อให้มีความแม่นยำและตอบสนองได้ดีขึ้น ทั้งในโหมดปกติและโหมดสปอร์ต GR Sport ยังมาพร้อมกับแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shiftเพื่อความสะดวกในการลดหรือเพิ่มเกียร์บนเส้นทางภูเขา ส่วนช่วงล่างของ GR Sport ก้าวไปอีกขั้นด้วยการปรับปรุงพิเศษ จุดที่จูนอัพใหม่ ได้แก่ การเพิ่มความแข็งของคอยล์สปริงด้านหน้า โช้คอัพแบบโมโนทูบ KYB ที่ผลิตในญี่ปุ่นทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ปรับแต่งมาโดยเฉพาะ เพื่อให้เหมาะกับ GR Sport ถอดเหล็กกันโคลงด้านหลังออก ทำให้ระยะการประกบของเพลาล้อหลังเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการขับออฟโรด




ในความเป็นจริง ระบบกันสะเทือนให้ความรู้สึกไดนามิกมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อขับบนทางขรุขระ คุณสามารถขับบนพื้นผิวขรุขระและ GR ทรงตัวได้ดี ไม่กระเด้งไปมาเหมือนรถคู่แข่งบางรุ่น ในการทดสอบออฟโรด GR Sport แสดงให้เห็นถึงความนิ่งและเสถียรภาพที่ยอดเยี่ยม แม้ในสภาพถนนที่ท้าทาย เช่น ทางดินขึ้นลงเนินเขา การเปลี่ยนระบบกันสะเทือนทำให้ GR Sport สามารถรับมือกับสภาพถนนขรุขระได้ดีกว่าคู่แข่งหลายรุ่น บนถนนลาดยาง Hilux GR Sport เป็นกระบะที่ขับสบายเกือบจะเท่ากับความนวลของ Raptor 2.0 ดีเซล




โดยภาพรวมแล้ว HiLux GR Sport ให้ความรู้สึกเหมือนได้สัมผัสกับแพลตฟอร์มและเครื่องยนต์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดของ Hilux REVO การปรับปรุงประสิทธิภาพและคุณภาพการขับ วัดได้ด้วยความรู้สึกดีๆ ตลอดเส้นทางทดสอบและระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันนาน 8 วัน REVO GR Spor ให้ความรู้สึกประณีตกว่า HiLux รุ่นอื่น ในที่สุด Toyota ก็ทำในสิ่งที่ควรจะทำตั้งนานแล้ว.