มีความเป็นไปได้ว่า TT รุ่นปรับปรุงใหม่ จะเป็นรถสปอร์ตคันเล็กรุ่นสุดท้ายของค่าย Audi ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน หลังจากออกขายมานาน จนเดินทางมาถึงเจเนอเรชันที่ 3 หรือ Mk3 เวลาที่ยาวนานทำให้มันเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของอายุโมเดล TT รุ่นปรับปรุง กลายเป็นรถสปอร์ตที่สามารถลบคำครหาในอดีตที่เกี่ยวกับการขับ รถ TT รุ่นใหม่ พัฒนาจากสองเจเนอเรชันแรกไปไกลมาก ทั้งเทคนิคของโครงสร้างแบบใหม่ที่เบาขึ้น มีการติดตั้งระบบความปลอดภัยและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกไม่น้อยหน้ารถซีดานคันโตของค่ายสี่ห่วง ความแข็งแกร่งของแชสซีที่ต้านทานแรงบิดได้ดีขึ้น จุดศูนย์ถ่วงของรถเมื่อเทียบกับ TT Mk2 ลดลง 10 มิลลิเมตร และระบบขับเคลื่อน Quattro เปลี่ยนจากการทำงานด้วยแรงดันในเวอร์ชัน Mk2 มาเป็นปั๊มไฟฟ้าใน Mk3 รถรุ่นล่าสุดมีระยะแทร็กล้อหน้ากว้างขึ้น แม้ตัวถังจะมีโอเวอร์แฮงก์หน้า-หลังที่สั้นกุด แต่ระยะฐานล้อ 2505 มิลลิเมตร ทำให้เกิดความคล่องตัวสูงสุดขณะเปลี่ยนทิศทาง การใช้ล้อทั้งสี่ขับเคลื่อนยังทำให้มันเป็นรถเล็กที่อัดด้วยความเร็วสูงแล้วรู้สึกมั่นใจกว่าการขับ MINI John Cooper Works พวงมาลัยแบบ Electric Progressive Steering wheel เมื่อหมุนพวงมาลัยมากชึ้น อัตราทดจะไวขึ้นตามไปด้วย! ช่วงล่างที่เซตโดยมือระดับเทพ ทำให้ TT 45TFSI Quattro S Line คันนี้ มีความสมบูรณ์แบบสูงสุด หากนับรวมกับรุ่นพี่ที่แพงกว่าอย่าง TTS และ TT RS นี่คือพี่น้อง TT รุ่นสุดท้าย ก่อนที่จะกลายไปเป็น TT Electric Quattro
...
เมื่อย้อนเวลากลับไปยังจุดเริ่มต้น ด้วยรูปลักษณ์ที่แหวกแนว เมื่อ Audi TT รุ่นแรก ถูกปล่อยออกมา มันก็กลายเป็นไอคอนของรถสปอร์ตที่สร้างความปั่นป่วนให้กับวงการ เมื่อลืมตาดูโลกในปี ค.ศ. 1998 TT เจเนอเรชันแรกเป็นรถคูเป้ที่น่าจับตามอง มันยังมีรุ่น Roadster หลังคาผ้าน้ำหนักเบาให้เลือกสำหรับการสูดอากาศบริสุทธิ์ริมชายทะเล ชื่อ "TT" มาจากเกาะ British Isle of Man TT เกาะเล็กๆ กลางทะเลไอริช สถานที่ที่ใช้สำหรับการแข่งขันรถจักรยานยนต์ Tourist Trophy นี่คือผู้เล่นหน้าใหม่ของแผนก Audi Sport ซึ่งทำให้คู่แข่งที่ทรงพลังอย่าง BMW M หรือ Mercedes-AMG ต้องหันกลับมามอง เมื่อเวลาผ่านไป ความนิยมที่เพิ่มขึ้นของเอสยูวีและรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเข้ามาแทนที่ ทำให้ TT เจเนอเรชันที่ 3 ต้องกลายเป็นรถสปอร์ตไซส์เล็กรุ่นสุดท้ายที่จะใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน และแม้ว่าจะมีรถสปอร์ตหลายรุ่นที่วิ่งแซงหน้า Audi TT บนถนนแห้ง แต่ถนนที่เปียกชื้น TT ขับเคลื่อนสี่ล้อกลับไปได้เร็วกว่า
รูปลักษณ์ที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เจนล่าสุดเป็น TT รุ่นสุดท้ายที่ได้รับการขัดเกลามากที่สุด สิ่งที่พวกเยอรมันเจ้าของตราสัญลักษณ์สี่ห่วงแสดงผ่านรูปลักษณ์ที่ดูอ้วนป้อมแต่ไหลลื่น ก็คือ ความสามารถในการขับ รถเจเนอเรชันที่ 3 นั้นเร็วขึ้น การควบคุมดีขึ้น และตอนนี้มีรุ่นพิเศษ TT Filan Edition Icon Black กับของแรงที่เอาไว้ดักทางพวกตีนโหดอย่าง TT RS ด้วยความเฉลียวฉลาดของ Audi ทำให้ TT ทั้งสามเจเนอเรชันเติบโตร่วมไปกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รุ่นที่ทรงพลังที่สุดอย่าง TT RS ขึ้นไปทาบรัศมีกับคู่แข่งเยอรมันอย่าง Porsche Cayman อย่างไม่เกรงกลัวศักดิ์ศรี ไม่ว่าจะเป็นรุ่นสุดท้ายอย่าง Final Edition Icon Black หรือรุ่นแรกสุดที่มีทรงเหมือนแมลงเต่าทอง Audi TT ถือเป็นรถสปอร์ตที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการขับอย่างแท้จริง มันมีรูปลักษณ์ที่สวยงาม ระบบส่งกำลังที่สมดุล สมรรถนะโดดเด่น พื้นที่ใช้สอยเพียงพอสำหรับสองคน ด้วยขนาดที่เล็ก แต่ใช้งานได้จริง ผนวกกับความตื่นเต้นในการควบคุมที่ทำให้เกิดรอยยิ้มในวันเครียดๆ ความสามารถที่สมกับราคาค่าตัว แต่เรื่องที่น่าเศร้าก็คือ นี่คือ TT รุ่นสุดท้ายในสายการผลิตที่จะไม่มีอีกต่อไป
...
ย้อนเวลากลับไปเมื่อกว่า 25 ปีก่อน สหัสวรรษใหม่ที่ดำเนินไปอย่างเร่งรีบ Audi กำลังมองหาตลาดของลูกค้ารถสปอร์ตในอเมริกาเหนือ ผู้บริหารของแบรนด์สี่ห่วงตัดสินใจอนุมัติโครงการผลิตรถสปอร์ตขนาดเล็ก วิศวกรของ Audi เริ่มต้นการพัฒนา TT รุ่นแรกสุด ให้เป็นรถสปอร์ตที่มีราคาไม่แพงมากนัก แต่ต้องมีสไตล์เป็นของตัวเอง เครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จ 2.0 ลิตร 180 แรงม้า กับเกียร์ 6 สปีด นับตั้งแต่เปิดตัวในปี ค.ศ. 1998 (2541) TT ได้รับการตอบรับอย่างดีจากสื่อสายยานยนต์ นักวิจารณ์รถฝั่งยุโรป และลูกค้าที่ซื้อไปขับ ตามมาด้วยรุ่นที่สองและรุ่นที่สามซึ่งโดนความนิยมที่เพิ่มขึ้นของ SUV แบ่งยอดขายไปอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ แม้จะมีเสียงตอบรับในเชิงบวก แต่ Audi TT รุ่นแรกก็ขายไม่ค่อยดีในตลาดรถสปอร์ตสองที่นั่งของเยอรมัน ในขณะที่คู่แข่งอย่าง Porsche กับรถ Boxster และ Z3 ของ BMW รวมไปถึง Mercedes SLK ของแบรนด์ตราดาวนั้นขับเคลื่อนล้อหลัง (RWD) แต่ TT เจนฯ แรกสุดนั้นขับเคลื่อนล้อหน้า (FWD) ซึ่งหมายความว่า TT พ่ายแพ้ในส่วนของระบบส่งกำลังอย่างเห็นได้ชัด สำหรับด้านไดนามิกเมื่อเทียบกับคู่แข่งแล้วไม่หนีกันมากนัก แต่รถสปอร์ตคันเล็กอย่าง TT มีอะไรมากกว่าแค่สมรรถนะ รถเจนสองแสดงให้เห็นถึงความพยายามของ Audi ในการปั้น TT ให้กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง และพวกอินโกลสตรัทก็ทำสำเร็จ
ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการสมรรถนะที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จากรถสปอร์ต ลูกค้าจำนวนมากต้องการรถสปอร์ตที่กะทัดรัด มีความสะดวกสบายและหรูหรา ไม่แรงมากจนเอาไม่อยู่แล้วเกิดอุบัติเหตุ ต้องมีประสิทธิภาพมากพอที่จะตอบสนองความต้องการเมื่อขับเร็วขึ้น นั่นคือสิ่งที่ Audi TT ทำมาโดยตลอดทั้งสามเจเนอเรชัน
...
รุ่นแรกกับตำนาน TT Design ทรงของรถสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าที่ชอบรถสปอร์ตสุดแปลกแหวกแนว มีการเพิ่มระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD Quattro ในปี ค.ศ. 2005 (2548) Mk1 Audi TT มอบประสบการณ์ของรถสปอร์ตไซส์เล็กที่น่าครองครองเอาไว้ขับเล่นในวันหยุด รูปแบบตัวถังมีให้เลือกทั้งคูเป้และเปิดประทุน เบาะที่นั่งหนังแท้สีน้ำตาล แบบเย็บเดินตะเข็บคล้ายถุงมือเบสบอลอย่างเท่ก็มีมาให้ การออกแบบในลักษณะกล้าได้กล้าเสีย โดยเฉพาะโรลโอเวอร์หรือชุดป้องกันศีรษะในรถ Roadster นั้นโด่เด่ขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด ด้วยรูปทรงที่ไม่เหมือนใครแถมยังขับสนุก และด้วยเครื่องยนต์สี่สูบเทอร์โบ กับระยะฐานล้อที่สั้น ทำให้ TT เป็นรถสปอร์ตที่มีฝีเท้าจัดจ้านและคล่องตัวสูง เมื่อเวลาผ่านไป TT เจนแรกถูกปรับปรุงให้เร็วขึ้น เพิ่มกำลังในรูปของแรงม้าแรงบิดให้มากขึ้น แต่ก็เกาะถนนเพิ่มขึ้น ในที่สุดเมื่อปี ค.ศ. 2005 (2548) TT เจเนอเรชันแรกก็ออกมาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Quattro (AWD) ในด้านการออกแบบ TT เจเนอเรชันแรกสุด เป็นรถที่มีสไตล์ที่สุดในบรรดา TT ทั้งสามเจเนอเรชัน แนวคิดของมันก็คือ มินิมอล หรือความเรียบง่าย สง่างาม ดูดีและขับสนุก แต่น่าเสียดายที่ทุกวันนี้อาจทำให้เจ้าของบางคนพบกับความเครียดในการบำรุงรักษา เมื่อเวลาผ่านไปกว่า 20 ปี
...
Audi TT เจเนอเรชันที่สองโผล่ออกมาในปี ค.ศ. 2007 (2007-2015) ด้วยรูปลักษณ์ที่ออกแบบใหม่ทั้งหมด สไตล์ของมันดุดันกว่า TT เจเนอเรชันแรกอย่างเห็นได้ชัด เป็นรถสปอร์ตคันเล็กของ Audi ที่ไม่ได้เล็กอีกต่อไปแล้ว เพราะเจนสองกว้างขึ้นและยาวขึ้น เครื่องยนต์พื้นฐาน อัปเกรดเป็นเครื่องยนต์สี่สูบ 2.0 ลิตร TFSI เทอร์โบชาร์จ การอัปเกรดอีกอย่างที่มาพร้อมกับ TT เจเนอเรชันที่สอง คือ ระบบกันสะเทือนหลังแบบมัลติลิงก์อิสระเต็มรูปแบบ ทำให้ TT จัดการกับองคาพยบส่วนท้ายได้ดีขึ้นมาก มากพอที่จะทำให้คู่แข่งหันกลับมามองเมื่อเจอกันบนเส้นทางภูเขา
นอกเหนือการปรับปรุงขนานใหญ่แล้ว Audi ยังเสนอโช้คอัพแม่เหล็กที่เป็นอุปกรณ์เสริมอีกด้วย ผลลัพธ์ที่ได้คือ TT เป็นรถใช้งานประจำวันที่สะดวกสบาย และเป็นรถสปอร์ตที่มั่นคงขึ้น เพื่อฉีกแนวแบ็กโร้ดด้วยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียว หลังจากนั้น Audi TT RS รถสปอร์ตสมรรถนะสูง ก็ถูกเปิดตัวในปี ค.ศ. 2011 (2554) ด้วยกำลังจากเครื่องยนต์มากถึง 386 แรงม้า
ในช่วงปลายปี 2010 (2553) TT RS ประสิทธิภาพสูง เดินทางสู่ตลาดอเมริกาเหนือรวมถึงส่งออกไปขายทั่วโลก นี่คือ Audi TT ที่เร็วที่สุด ด้วยเครื่องยนต์ 5 สูบเทอร์โบชาร์จ 386 แรงม้า ส่วนประกอบประสิทธิภาพสูงอื่นๆ มากมายเหลือเฟือ TT RS ยังเพิ่มความหลากหลายของตัวถังมากกว่าที่เคย ด้วยรุ่นพื้นฐาน ตัวถังคูเป้ โรดสเตอร์ และเพิ่มความจัดจ้านด้วยตัวเลือกโหดๆ อย่าง TTS และ TT RS ตามลำดับ Audi TT Mk2 เป็นรถที่ดีกว่า Mk1 ขับสนุกและหรูหรา พร้อมออปชั่นชุดแต่งมากมายที่เหมาะกับความต้องการหรือรสนิยมของลูกค้าทั่วโลก เป็นตัวเลือกที่ดีในยุคนั้น สำหรับคนที่มองหารถสปอร์ตเยอรมันที่มีราคาไม่แพงเท่า Porsche
รุ่นที่สาม Audi TT เพิ่มเทคโนโลยีขั้นสูง เข้าสู่รถสปอร์ตไซส์เล็กที่มีการตกแต่งภายในดีที่สุด (ยกเว้น Porsche 718) หากคุณต้องการ Audi TT ที่มีความสะดวกสบายแบบร่วมสมัย พร้อมสมรรถนะที่โดดเด่น TT รุ่นที่สาม (2016-2022) คือหนทางแห่งความสุขในการขับเคลื่อน TT เจเนอเรชันที่สาม ได้รับการออกแบบใหม่หมดอีกครั้ง สไตล์ของรถดูทันสมัยล้ำอนาคตไปไกลและดุดันกว่าที่เคย ห้องโดยสารถูกออกแบบล่วงหน้าจนเวลาผ่านไป 8 ปีแล้ว ภายในก็ยังดูไฮเทคมากกว่ารถบางรุ่นในยุคนี้ซะอีก TT เจเนอเรชันล่าสุดคล้ายกับการนำเอา R8 มาย่อสัดส่วนให้เล็กลง ด้วยการออกแบบใหม่ทั้งองคาพยพ วิศวกรของ Audi ได้เพิ่มเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากขึ้น ทำให้ TT รุ่นที่สามเป็นรถที่หรูหราไฮเทคที่สุดในบรรดา TT ทั้งหมดสามเจนฯ
เจเนอเรชันที่สามกับเครื่องยนต์ 4 สูบของ TT ทำให้มันมีกำลังมากกว่า 245 แรงม้า แรงบิดมากเกินขนาดและน้ำหนักไปถึง 370 นิวตันเมตร ในขณะที่ TT RS ตัวท็อปของโมเดล เครื่องยนต์ 5 สูบเทอร์โบในตำนานนั้น ผลิตเรี่ยวแรงได้มากถึง 400 แรงม้า กับแรงบิด 480 นิวตันเมตร เป็นเครื่องยนต์ห้าสูบเทอร์โบชาร์จที่คว้ารางวัล Engine of The Year 6 ปีติดต่อกัน! ในส่วนของระบบส่งกำลัง ทางเลือกเดียวสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ TT ก็คือระบบบเกียร์คลัตช์คู่ของ Audi ซึ่งช่วยให้ TT ถ่ายเทแรงบิดจากเครื่องยนต์ลงพื้นได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เกียร์ที่มีคลัตช์สองชุดยังให้การตอบสนองที่ฉับไวเมื่ออยู่บนถนน ในเส้นทางหุบเขาที่คดเคี้ยวทันทีที่เกียร์เชื่อมต่อการทำงานกับชุด Quattro การปรับปรุง TT เจเนอเรชันที่สาม ในด้านของความหรูหราและสมรรถนะ สร้างความประทับใจให้กับนักวิจารณ์รถยนต์ ทำให้ Audi TT อยู่ในกลุ่มรถยนต์ที่มีการตกแต่งภายในที่ดีที่สุด 10 อันดับแรกของ Wards Auto โดยภาพรวม Audi TT เจเนอเรชันที่สาม คือตัวเลือกที่ดีที่สุดหากคุณต้องการเทคโนโลยีที่ทันสมัย ความหรูหราและประสิทธิภาพ
TT Coupe 45TFSI Quattro Icon Black ราคา 3,599,000 บาท มาพร้อมกับ ชุดแต่ง S Line Black Edition ปี 2023 ล้อ Audi Soport 19 นิ้ว ยาง 245/35R19 bridgestone potenza s001 เกียร์คลัตช์คู่ 7 สปีด S-Tronic ค็อกพิตนักบิน Virtual Cockpit MMI ของ Audi เป็นอุปกรณ์มาตรฐานใน Audi TT 45TFSI Quattro Final Icon Black รุ่นสุดท้ายก่อนปิดไลน์ประกอบ เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร TFSI ทำความเร็ว 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 5.2 วินาที สำหรับรุ่นคูเป้ และ 5.4 วินาที สำหรับรุ่นเปิดประทุน นั่นเร็วพอสมควรสำหรับรถโปรดักชั่นคาร์จากโรงงานที่ไม่ได้มีการโมดิฟายเพิ่มเติม หากคุณต้องการ TT ที่เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ รุ่น RS คือทางเลือกที่ต้องจ่ายแพงขึ้น TT RS คูเป้ ทำความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 3.7 วินาที และ TT RS Roadster เร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 3.5 วินาที
เครื่องยนต์เบนซินแถวเรียง ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังเพิ่มขึ้นจาก 230 แรงม้า มาเป็น 245 แรงม้า ที่ 4,500-6,200 รอบต่อนาที ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงยิงตรง TFSi ไดเรคอินเจกชั่น พร้อมระบบวาล์วแปรผัน AVS (AUDI Valve lift System) ปรับองศาของวาล์วไอเสีย เครื่องยนต์อัดอากาศด้วยเทอร์โบ แรงบิดสูงสุดยังคงเท่าเดิมที่ 370 นิวตันเมตร ในย่าน 1,600-4,300 รอบต่อนาที ระบบขับเคลื่อน ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ S-Tronic 7 สปีด พร้อมกลไกคลัตช์คู่ ระบบเกียร์แบบคลัตช์คู่หรือใช้คลัตช์ 2 ชุดช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์ออโต้ 7 สปีดมีความว่องไวและไหลลื่น สามารถปรับโหมดการควบคุมจากระบบออโต้ไปเป็นแบบเกียร์ธรรมดาได้ด้วยการผลักคันเกียร์ไปทางซ้ายแล้วชิฟเกียร์ด้วยตำแหน่ง +/- หรือชิฟผ่านแป้น Paddle Shift ที่หลังวงพวงมาลัย สมรรถนะของเครื่องยนต์ 2 ลิตรเทอร์โบกับเกียร์ 6 สปีด และระบบขับเคลื่อนทุกล้อทำให้ Audi TT 45TFSI มีอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 5.2 วินาที โดยมีความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
Audi TT เป็นรถที่เร็วในช่วงตะกุยจากจุดหยุดนิ่งไปจนถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่จุดเด่นของรถรุ่นนี้ก็คือ การเลี้ยวที่เฉียบคม นี่คือรถสปอร์ตน้ำหนักเบา มีสมดุลที่ดี เป็นรถที่คงความเร็วผ่านโค้งในสนามแข่งได้เนียนตา ทำให้มันเป็นรถสำหรับขับเล่นในวันหยุดที่ถูกเอาออกมาจากโรงรถบ่อยกว่าคันอื่น เช่นเดียวกับความเป็นจริงที่บ่งบอกว่า รูปทรงของมันไม่เพียงอ้างอิงถึงอดีต แต่ยังรวมถึงปัจจุบันและอนาคตอีกด้วย ยกตัวอย่าง เช่น รายละเอียดที่ใช้ร่วมกันกับซุปเปอร์คาร์ R8 ของแผนก Audi Sport หลักๆ คือกระจังหน้าเฟรมเดี่ยวแบบ 6 เหลี่ยม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของรูปทรงตัว V ที่ลากไปด้านหลังฝากระโปรง ไฟหน้าคมกริบ พร้อมเทคโนโลยี LED ที่เป็นอุปกรณ์เสริม มือจับประตูสไตล์ 'โกลน' อันเป็นเอกลักษณ์ ขอบธรณีประตูด้านล่างเดินชิ้นงานพลาสติกดำเงา Black Edition เส้นข้างตัวถังที่ Audi เรียกว่า 'เส้นไดนามิก' สร้างขอบเขตการหักเหของแสงเงา เพิ่มรายละเอียดที่น่ามองให้กับสัดส่วนด้านข้าง ฝาเติมน้ำมันทำจากอัลลอยที่มีลายนูน 'TT' เปิดออกด้วยการแตะเบาๆ ไม่มีฝาถังน้ำมันอยู่ด้านใน ใช้เสียบหัวฉีดน้ำมันเข้ากับคอถังโดยตรงเหมือนกับรถแข่ง
บั้นท้าย มีฝาท้ายที่โค้งมน ควบรวมกับบานกระจกฝาท้ายขนาดใหญ่ การประสานกันระหว่างแสงและเงาจะเข้มขึ้นรอบๆ เส้นแนวนอนที่เด่นชัด ทั้งฝากระโปรงหลังและกันชน ฝาท้ายนั้นรวมสปอยเลอร์เรียบร้อยที่จะยกตัวโดยอัตโนมัติที่ความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และหดกลับอีกครั้งที่ 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถัดลงมาที่ปลายท่อปลายโครเมียมทรงกลมขนาดใหญ่ฝั่งละท่อ ล้อมกรอบด้วยชิ้นงานพลาสติกสีดำเงาที่รวมไปถึงครีบรีดอากาศใต้กันชนหลัง โครงสร้างอะลูมิเนียม-ไฮบริดของ TT Mk3 ใช้เหล็กหนุน (โดยพื้นฐานแล้วเป็นเวอร์ชันที่เล็กที่สุดของแพลตฟอร์ม MQB ล่าสุดของ Volkswagen Group) ซึ่งเป็นพันธมิตรกับแผงตัวถังอะลูมิเนียมไฮเทค เป็นทางออกที่ดีในมาตรการลดทอนน้ำแต่ความแข็งแกร่งไม่ได้หายไป เพราะได้ความเบาเข้ามาแทนที่ โครงสร้าง MQB เบากว่า TT Mk2 ประมาณ 50 กิโลกรัม โดยไม่ทำให้การผลิตมีราคาสูงเกินไปจนเป็นไปไม่ได้สำหรับโรงงานสี่ห่วงในฮังการี ซึ่งรับหน้าที่ดูแลไลน์ผลิตของ TT Mk3
แพลตฟอร์มอันชาญฉลาดดังกล่าวยังช่วยให้ทีมออกแบบตระหนักถึงวัตถุประสงค์บางอย่างที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกัน สำหรับรุ่น MK3 TT นี้ นั่นคือการทำให้ทุกอย่างมีขนาดเล็กลง ดูสปอร์ตขึ้น และ 'จับกระชับมือ' ได้มากขึ้น ในขณะเดียวกัน TT Mk3 มอบพื้นที่ใช้สอยภายในที่พอเพียง พื้นที่เก็บสัมภาระส่วนท้ายที่ใหญ่ขึ้นด้วย ดังนั้น Mk3 จึงเตี้ยกว่ารุ่นก่อนถึง 21 มิลลิเมตร เนื่องจากระยะฐานล้อที่ยาวขึ้น 37 มิลลิเมตร ทำให้มีพื้นที่ภายในรถมากขึ้น หรือมากกว่าเดิมเล็กน้อย ยกฝาท้ายขึ้นด้วยมือ เพราะการเปิดปิดฝาท้ายของ TT ไม่มีระบบไฟฟ้าคอยช่วย คุณจะพบกับพื้นที่บรรทุกสัมภาระที่ใหญ่พอสมควร เป็นสิ่งที่เจ้าของรถ TT อยากได้มานานแล้ว พื้นที่เก็บของมีขนาด 305 ลิตรเมื่อพับเบาะหลัง - เก็บของได้มากกว่า TT MK2 ถึง 13 ลิตร และใหญ่พอสำหรับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่สามหรือสี่ใบ พื้นที่บรรทุกสัมภาระทั้งหมดที่มีให้นั้นอยู่ในระดับเดียวกับที่คาดหวังได้จากรถสปอร์ตคูเป้ขนาดกะทัดรัดอย่าง Scirocco ของ Volkswagen และแน่นอนว่ามากกว่าคู่แข่งหลังคาหลังคาพับได้ในยุคนี้อย่าง BMW Z4 และ Boxster 178 หรือพระเอกในอดีตอย่าง Mercedes SLK หากต้องการพื้นที่เพิ่มขึ้น การทำให้พนักพิงหลังพับแยกส่วน 50:50 ให้แบนลงจะทำให้มีพื้นที่มากขึ้นเป็น712 ลิตร
เบาะหลังยังคงเล็ก เกือบจะใลงไปนังไม่ได้สำหรับผู้ใหญ่ แม้แต่เด็กก็อาจบ่นว่าเมื่อยขา เมื่อขับเดินทางไกล หากคนที่ตัวสูงกว่าสามารถเบียดตัวเองเข้าไปทางด้านหลังได้ ก็มีปัญหาที่หัวจะต้องชนกับกระจกบานฝาท้าย ลูกค้าส่วนใหญ่รู้สึกดีที่ Audi ยังคงรักษาเบาะหลังคนแคระเอาไว้ และไม่เปลี่ยนกลับไปเป็นแบบ 2 ที่นั่ง เหมือน Mercedes SLK หรือ BMW Z4 เจ้าของ TT ส่วนใหญ่มีครอบครัว แต่มีรถใช้งานหลักคันใหญ่ โดยมี TT เป็นรถคันที่สองหรือสาม การมีเบาะหลังให้ทางเลือกแก่คุณสุภาพสตรีที่ไปด้วย โดยใช้วางกระเป๋าหรือที่นอนสำหรับน้องหมาตัวเล็กๆ
แดชบอร์ดนั้นคุ้นเคยกันดี และแม้จะผ่านเวลามานานกว่า 8 ปีแล้ว แต่งานออกแบบภายในของ TT Mk3 ก็ยังดูดี ดีไซน์ที่เรียบง่ายและทันสมัย ทำให้ห้องโดยสารของ TT แตกต่างออกไป ชุดควบคุมระบบปรับอากาศภายในห้องโดยสาร อยู่ตรงกลางช่องแอร์สไตล์กังหันไอพ่น โซนคนขับแวดล้อมด้วย 'Audi Virtual Cockpit' จอแสดงผลความละเอียดสูงขนาด 12.3 นิ้ว นำเสนอข้อมูลการขับเคลื่อนและการปรับตั้งค่าต่างๆ อย่างชาญฉลาด Audi Virtual Cockpit ใช้จอภาพ TFT แทนที่ชุดหน้าปัดมาตรวัดทั่วไปอย่างสมบูรณ์แบบ ปรับแต่งการแสดงผลได้อย่างหลากหลาย พวงมาลัยสปอร์ตหุ้มด้วยหนังแท้ วงพวงมาลัยมีขนาดเล็กตามไซส์ของรถ ด้านล่างแบนแบบฐานตัดเพื่อปรับให้เข้าออกจากห้องโดยสารได้สะดวก หน้าจอดิจิทัลมีทั้งระบบนำทาง ระบบเสียง และคุณสมบัติการเชื่อมต่อต่างๆ การปรับตั้งค่าต่างๆ ของรถ รวมถึงแป้นหมุนสั่งงานจอภาพที่ใช้ง่ายง่าย
ท่านั่งที่คล้ายรถแข่ง เบาะคุณภาพสูง ตำแหน่งของคันเกียร์ แป้นคันเร่งและเบรกวางมาดี มาตรวัดจอภาพผุดขึ้นมาบนแผงหน้าปัด 'Audi Virtual Cockpit' ซึ่งเป็นจอ LCD สำหรับคนขับขนาด 12.3 นิ้ว แทนที่หน้าปัดแบบเดิมเพื่อการขับขี่ที่มีสมาธิมากขึ้น แม้จะมีแรงบิดมากถึง 370 นิวตันเมตร แต่ TT ยังคงไม่ใช่ Porsche 718 Cayman มันให้ความรู้สึกที่เฉียบคมขึ้น กระตือรือร้นมากขึ้น และน่าพึงพอใจมากขึ้น เช่นเดียวกับที่วิศวกรของ Ingolstadt ตั้งใจปรับให้ TT Mk3 เป็นแบบนั้น การเปลี่ยนแปลงระยะฐานล้อที่ยาวขึ้นของ TT MK3 และแชสซี MQB ที่แข็งขึ้นทำให้รถคันนี้แข็งขึ้นกว่าเดิมถึง 23% น้ำหนักที่เบากว่าด้วยเทคโนโลยี Audi Space Frame ลดน้ำหนักได้ 50 กิโลกรัม ระบบพวงมาลัยแบบก้าวหน้า แร็คของชุดบังคับเลี้ยวกลไกไฟฟ้า ติดตั้งเพื่อให้อัตราทดเที่ยงตรงมากขึ้นเมื่อหมุนล้อ เป็นการปรับปรุงอย่างมากในเรื่องของการควบคุมทิศทางและความแม่นยำ
quattro 4WD ส่งถ่ายแรงบิดของเครื่องยนต์เทอร์โบ 2.0 TFSI สู่ถนนลาดยาง ด้วยรุ่น 2.0 TFSI มาตรฐาน quattro 4WD สร้างความแตกต่างให้กับการเร่งความเร็ว แม้ในที่แห้ง พร้อมด้วย quattro 4WD และระบบส่งกำลัง S tronic 7 สปีด ที่มีคลัตช์สองชุดมีความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนในกระปุกเกียร์ กระปุกเกียร์ 7 สปีดให้ความรู้สึกในการเปลี่ยนอัตราทดได้เร็วกว่า 6 สปีดแบบเก่า การตอบสนองที่ดีขึ้นจากแป้นคันเร่ง ในโหมดที่เบาที่สุด (efficiency, comfort) มีความสมดุลที่เหมาะสมกับการขับไปเรื่อยๆ ใช้ความเร็วไม่สูงมากนัก ในขณะที่ไดนามิกจะเพิ่มแรงเสียดทาน การบังคับเลี้ยวมีความเฉียบคม โหมด Dynamic ที่สมดุลเหมาะสมมากเมื่อเข้าโค้ง เครื่องยนต์ให้เสียงที่หนักแน่นแบบเดียวกับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบของ VW Group การตอบสนองเมื่อดันคันเกียร์ไปที่ S นั้นยอดเยี่ยมโดยควบคุมความเร็วผ่านคันเร่งและแป้นเบรก เกียร์จะปรับอัตราทดขึ้น-ลงอย่างว่องไว แรงบิดสูงสุดในระหว่าง 1600 ถึง 4300 รอบต่อนาที ก่อนที่กำลังสูงสุดอยู่ในย่านระหว่าง 4500 ถึง 6200 รอบต่อนาที เครื่องยนต์เร่งความเร็วสูงสุดที่ 6800 รอบต่อนาที แม้ว่า S tronic จะเลื่อนขึ้นอัตโนมัติที่เรดไลน์ในโหมดแมนนวล โชคดีที่เกียร์ 7 สปีดเป็นระบบส่งกำลังที่ทำงานลื่นไหลโคตรๆ TT 2.0 TFSI สามารถส่งแรงบิดไปยังล้อหน้าได้ในบางครั้ง หากไม่มีเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปแบบกลไก (เช่นใน Volkswagen Golf GTI Performance) ค่าการยึดเกาะของ TT 2.0 TFSI quattro มีความสมเหตุสมผลมากขึ้น ระบบขับเคลื่อนทุกล้อ Quattro ใช้ฮาร์ดแวร์ Haldex แบบเดียวกับ Audi S3 เป็นครั้งแรกที่ Audi ได้นำซอฟต์แวร์สำหรับระบบภายในมาใช้ เพื่อให้สามารถสื่อสารกับระบบอื่นๆ ในรถได้อย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น
Quattro เรียนรู้ว่าคุณเข้าโค้งได้เร็วแค่ไหน ในโหมด Dynamic ระบบควบคุมจะให้ความสำคัญเกี่ยวกับการส่งกำลังไปที่เพลาหลังมากขึ้น ประมาณ 60 ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ก่อนที่คนขับจะแตะคันเร่งด้วยซ้ำ มันเปลี่ยนแปลงเชิงปฏิกิริยา ไปสู่ระบบเชิงรุกที่คำนึงถึงการจัดการองค์รวม ความสนุกแบบที่พบใน BMW Z4 30i ขับหลังนั้นไม่มีมาให้ แต่ TT 2.0 TFSI มอบความสมดุลที่ยอดเยี่ยม ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวในชุดขับเคลื่อนสี่ล้อ Quattro ก็คือ คุณสามารถเข้าโค้งอย่างหนักหน่วงด้วยความเร็วที่สูงกว่ารถขับเคลื่อนล้อหลัง รถจะพุ่งออกจากโค้งด้วยแรงยึดเกาะของยางกับช่วงล่างและการทดกำลังที่ทำให้มั่นใจ เครื่องวางหน้าขับเคลื่อนสี่ล้อบนความสมดุลของน้ำหนักที่เท่ากัน quattro ที่สามารถส่งแรงบิดแบบผกผัน ไปยังล้อหน้าหรือล้อหลัง ผ่าน electronically controlled central clutch ในโหมด Dynamic แรงบิดถูกส่งไปทางด้านหลังอย่างเหมาะสม
ในความเป็นจริง ความสมดุลผสานฟิลลิ่งในการบังคับเลี้ยว และการตอบสนองของแชสซีนั้นน่าทึ่ง ความรู้สึกในการบังคับเลี้ยวของ TT ไม่ได้ใกล้เคียงกับ R8 แต่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ารถคู่แข่งที่มีราคาสูสีกัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะน้ำหนักรถที่ค่อนข้างเบา ซึ่งอยู่ที่น้ำหนักไม่เกิน 1,470 กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ ส่วนหนึ่งเกิดจากการปรับโครงสร้างด้วยโลหะเบา ความรู้สึกในการบังคับเลี้ยว การควบคุมแชสซีที่เป็นระเบียบเรียบร้อยขณะเข้าโค้ง การกระจายน้ำหนักที่สมดุล การทดกำลังของ Quattro และความแข็งแกร่งโดยธรรมชาติของแพลตฟอร์ม MQB TT Mk3 เป็นรถที่เชิญชวนให้คุณกดคันเร่งต่อเนื่อง เมื่ออยู่ในเกียร์สูงขึ้น ก็จะรู้สึกถึงแรงบิดที่เพิ่มขึ้น ที่ความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเกียร์ 6 สามารถเร่งแซงได้ทันทีโดยไม่ต้องลดเกียร์ลง โดยทั่วไปแล้ว การมีช่วงรอบเครื่องยนต์ที่เหมาะสม ประมาณ 3,000 รอบขึ้นไป ในเกียร์ตั้งแต่ 3 ถึง 6 ในขณะที่เหยียบคันเร่ง เป็นเรื่องสนุกอย่างยิ่ง เครื่องยนต์ TFSI ส่งถ่ายพลังที่นุ่มนวลมั่นคง ส่วนหนึ่งที่ TT ให้ความรู้สึกว่องไวและมีการขับที่น่าพึงพอใจก็คือ การลดน้ำหนัก เหล็กกล้าที่มีความแข็งแรงสูง ถูกใช้ทำพื้นกับโครงสร้างหลักบางส่วน โลหะน้ำหนักเบาอย่างอะลูมิเนียมสำหรับทำแผงตัวถังกับหลังคา เทอร์โมพลาสติกแทนแผ่นโลหะสำหรับพื้นที่ส่วนหลัง ผลลัพธ์ที่ได้ คือ จุดศูนย์ถ่วงที่ลดลง 9 มิลลิเมตร เมื่อเทียบกับ TT Mk2
ปัจจัยสู่ประสบการณ์การขับที่สามารถปรับแต่งได้หลากหลาย ผ่าน Audi Drive Select โหมดขับเคลื่อน Comfort / Auto /Dynamic ที่ส่งผลต่อการตอบสนองของคันเร่ง พฤติกรรมการทำงานของเกียร์ S Tronic 7 สปีด อัตราการหน่วงพวงมาลัย เสถียรภาพ และการทำงานของระบบขับเคลื่อนทุกล้อ Quattro ระบบรองรับน้ำหนักของ Audi TT สะท้อนให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญทางวิศวกรรมยานยนต์ของเยอรมนี ระบบกันสะเทือนหน้าแบบ MacPherson โครงสร้างชิ้นส่วนของจุดยึดโยงต่างๆ ทำจากอะลูมิเนียม เข้ามาช่วยลดน้ำหนักใต้สปริง (Unsprung Weight) ทั้งนี้ ระบบกันสะเทือนหลังของ TT ยังเป็นแบบโฟล์ลิงก์ (4-Link) รองรับแรงกดแนวนอน (longitudinal force) และแรงบิดแนวขวาง (transverse force) อย่างเป็นอิสระแยกจากกัน สำหรับชุดบังคับเลี้ยวหรือแรคพวงมาลัย ใช้แบบแรคแอนพีเนียนพร้อมพาวเวอร์ไฟฟ้า ผนวกระบบแปรผันน้ำหนักพวงมาลัย Progressive steering ช่วยเพิ่มการตอบสนองตามสภาวะการขับ ตัวแร็คพวงมาลัยถูกออกแบบมาเพื่อการตอบสนองโดยตรงต่อระยะของการหมุน
ขนาดที่เล็กและน้ำหนักที่เบา ทำให้มันวางตัวเองอยู่ตรงกลางระหว่าง E-Coupe รุ่นปรับโฉมและ New Series-4 โดยมีคู่แข่งที่มีราคาพอๆ กันอย่าง MINI JCW อัตราเร่งที่รอบสูงยังสร้างความเร้าใจเหมือนเดิม กำลังของรถอยู่ในเกณฑ์พอดี ไม่ได้รุนแรงมากเหมือน TTS หรือมุทะลุดุดันอย่าง TT RS ช่วงล่างแบบสปอร์ตของ TT รุ่นใหม่ เซตค่าตายตัวมาจากโรงงานปรับระดับความแข็ง-อ่อนอะไรไม่ได้ทั้งนั้น แต่ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขับไปปรับไป เนื่องจากช่วงล่าง ล้อยาง และชุดบังคับเลี้ยวของมันถูกปรับจูนจนลงตัวอย่างที่สุดแล้ว ค่าการยืดยุบของสปริงและโช้คอัพถูกปรับตั้งจากช่างมือชั้นเซียนของ Audi Sport ผนวกกับแชสซีที่ลงตัวคล้ายกับ Porsche Cayman ทำให้การตอบสนองในการเร่ง เลี้ยว เบรก มีความว่องไวคล่องและพุ่งทะยานได้อย่างที่รถสปอร์ตคันเล็กควรจะเป็น.
TT Coupé Final Icon Black ราคา 3,599,000 บาท
แบบเครื่องยนต์
เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง
พร้อมระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบฉีดตรง (direct injection)
และ Turbocharge
จำนวนวาล์ว 16
ปริมาตรกระบอกสูบ (ซีซี) 1984
แรงม้าสูงสุด (กิโลวัตต์(แรงม้า) /รอบต่อนาที) 180 (245) / 5000 - 6200
แรงบิดสูงสุด (นิวตันเมตร/รอบต่อนาที) 370 / 1600 - 4300
ระบบส่งกำลัง เกียร์อัตโนมัต S tronic 7 จังหวะ
ระบบขับเคลื่อน ขับเคลื่อนสี่ล้อ (quattro)
อัตราเร่ง 0-100 กม. / ชม. (วินาที) 5.2
ความเร็วสูงสุดโดยประมาณ(กม. / ชม.) 250
ระบบตัดการทำงานเครื่องยนต์อัตโนมัติ (Start/stop system)
พวงมาลัย พวงมาลัยไฟฟ้า
เบรกหน้า ดิสก์เบรก
เบรกหลัง ดิสก์เบรก
พื้นที่เก็บสัมภาระ(ลิตร) 305
ความจุถังน้ำมัน (ลิตร) 55
ล้อ 19 นิ้ว ขนาด 9.0J x 19 พร้อมยาง ขนาด 245/35 R19 o
ยางอะไหล่
ระบบความปลอดภัย TT Coupé Final Icon Black
ถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
ถุงลมนิรภัยด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง
ระบบเตือนการคาดเข็มขัดนิรภัย
ระบบเบรกมือไฟฟ้า
ระบบล็อกเบรกขณะหยุดนิ่ง (Audi hold assist)
ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock braking system)
ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic brake distribution)
ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS (Traction control system)
ระบบควบคุมการทรงตัว ESC (Electronic control system with
stabilization function)
เซนเซอร์หน้า-หลังช่วยในการนำรถเข้าจอด
กล้องแสดงภาพด้านหลังขณะถอยจอด
ชุดปฐมพยาบาล
อุปกรณ์มาตรฐาน
ช่วงล่างแบบ Sports (Sports suspension)
ระบบเลือกโหมดการขับขี่ (Audi drive select)
ชุดตกแต่งภายนอกแบบ S line
ชุดตกแต่งภายนอกแบบ Black Edition
ไฟหน้าแบบ LED
ไฟ daytime สำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED
ระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง (Cornering light)
อุปกรณ์มาตรฐาน TT Coupé Final Icon Black
กระจกมองหลังพร้อมระบบตัดแสงอัตโนมัติ
ระบบเปิด-ปิดไฟหน้า และปัดน้ำฝนอัตโนมัติ
กระจกมองข้างปรับ-พับไฟฟ้า และไล่ฝ้า
ความสะดวกสบาย
เบาะนั่งคู่หน้าแบบสปอร์ต
เบาะนั่งหุ้มหนัง สลับ Alcantara
เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้า
ระบบปรับดันหลังเบาะนั่ง 4 ทิศทาง สำหรับเบาะนั่งคู่หน้า
ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ
พวงมาลัยหนังมัลติฟังก์ชั่น 3 ก้าน แบบสปอร์ตท้ายตัด
พร้อม Paddle shift
ระบบควบคุมความเร็วคงที่ (Cruise control)
กุญแจแบบ Comfort key
ระบบข้อมูลและความบันเทิง
จอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ Virtual cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว
ระบบ MMI Navigation plus
ระบบ Audi smartphone interface
ระบบเครื่องเสียง Audi sound system
รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth
รองรับ MP3
ช่อง USB-A 2 ตำแหน่ง และ AUX-IN 1 ตำแหน่ง
สำหรับผู้โดยสารตอนหน้า
ไฟเรืองแสงในห้องโดยสาร (Ambient lighting with light package)