HR-V อดีตเบอร์หนึ่งยอดขายรถครอสโอเวอร์ไซส์เล็กในประเทศไทย เป็นรถยนต์ตัวทำตลาดที่มีความสำคัญอีกรุ่นหนึ่งของ Honda ต่อจาก City และ Civic ในฐานะผู้บุกเบิกตลาดรถอเนกประสงค์ขนาดกะทัดรัดในประเทศไทย มีบทบาทในการขับเคลื่อนการเติบโตของเซกเมนต์ในปัจจุบัน จากยอดขายของ HR-V เจเนอเรชันที่ 1 ซึ่งครองแชมป์ครอสโอเวอร์ไซส์เล็กในไทยมาอย่างยาวนาน ก่อนจะเสียแชมป์ให้กับรถที่ตามออกมาทีหลังพร้อมกับความสดที่มากกว่าอย่าง Toyota Corolla Cross สำหรับการต่อสู้ในตลาดรถอเนกประสงค์ขนาดเล็กที่ไม่มีใครยอมใคร ล่าสุด Honda พัฒนาและส่งมอบ new HR-V เจนเนอเรชั่นที่ 2 เป็นรถอเนกประสงค์ขนาดเล็กที่มีความเข้มข้นมากกว่าเดิม เน้นความ Premium มากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างแรงดึงดูด ปรับราคาให้ผู้คนส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงได้ รุ่น RS คันทดสอบ จัดอุปกรณ์เยอะมากจนบางอย่างไม่ได้ใช้ เพราะร้อน เช่น พาโนรามิกรูฟ ส่วนภายในห้องโดยสารแม้จะมีขนาดพื้นที่ไม่มาก แต่เพียงพอต่อการใช้งานของครอบครัวเล็กๆ ที่มีสมาชิกไม่เกิน 4 คน HR-V ใหม่ จัดความอเนกประสงค์กับเบาะนั่งที่ปรับพับเพื่อเพิ่มสเปซการใช้งาน ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ทำงานร่วมกับระบบไฮบริดที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัว ตัวที่หนึ่งใช้เป็นมอเตอร์เจเนอเรเตอร์ ตัวที่สองอยู่ในระบบเกียร์ ช่วยขับเคลื่อนล้อคู่หน้าสลับกันกับเครื่องยนต์ ระบบความปลอดภัย Honda SENSING เช่น ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control: HDC) ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) เบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake) ระบบ Auto Brake Hold พัฒนาใหม่ ฝากระโปรงท้ายไฟฟ้าแบบแฮนด์ฟรี ระบบปิดอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมตอยู่ห่างจากตัวรถ (Hands-free Power Tailgate with Walk Away Close)
...





Honda new HR-V RS e:HEV ใหม่ ดูเรียบง่ายออกแนวติดหรูนิดๆ สำหรับรุ่นสูงสุดราคา 1.17 ล้านบาท กระจังหน้า RS ดีไซน์ใหม่ เชื่อมต่อกับไฟหน้า ปรับตำแหน่งของเสา A ที่ช่วยให้กระโปรงหน้าดูลาดยาวยิ่งขึ้น เส้นสายในแนวนอนที่ยาวต่อเนื่อง จากไฟหน้าไปจนถึงไฟท้าย ผืนหลังคาค่อยๆ ลาดเทลงไปที่ส่วนท้ายสไตล์ Fastback กระจังหน้าพร้อมสีเดียวกับตัวรถ (รุ่น e:HEV EL) และสีดำเงา (รุ่น e:HEV E) ไฟหน้าและไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน LED ไฟท้ายแบบ LED Light Strip เชื่อมต่อกับไฟเบรกเป็นเส้นแนวยาวคล้ายกับไฟท้ายของ Porsche Macan!! ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED สปอยเลอร์หลัง เสาอากาศครีบฉลาม ล้ออัลลอยใหม่ ขนาด 18 นิ้ว โลโก้ H Mark ตกแต่งกรอบสีฟ้า และสัญลักษณ์ e:HEV ที่ส่วนท้าย
...



...



...










รุ่น RS ใช้กระจังหน้าโครเมียมแบบสปอร์ต พร้อมสัญลักษณ์ RS สัญลักษณ์ AMP UP บนกันชนหน้าด้านล่าง กันชนหน้า-หลัง พร้อมชายกันกระแทกด้านข้างสีดำแบบสปอร์ตตกแต่งด้วยโครเมียม ไฟหน้าและไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED และไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED ไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ LED Sequential ไฟท้ายแบบ LED Light Strip สี Smoke ล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตขนาด 18 นิ้ว หลังคากระจกแบบพาโนรามา (Panoramic Glass Roof) มิติตัวถัง ยาว 4,330 มิลลิเมตร ยาวกว่ารุ่นเดิม 5 มิลลิเมตร ขนาดความกว้าง 1,790 มิลลิเมตร กว้างกว่าเดิม 18 มิลลิเมตร สัดส่วนความสูง 1,580 มิลลิเมตร เตี้ยลง 22 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,610 มิลลิเมตร ยาวขึ้นอีก 5 มิลลิเมตร ล้ออัลลอยขอบ 18 นิ้ว ห่อรัดด้วยยาง bridgestone alenza ไซส์ 225/50R18 95V










ห้องโดยสารปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่ทั้งหมด ไล่จากแดชบอร์ดคอนโซล จอภาพมอนิเตอร์กลางสั่งงานด้วยระบบสัมผัส เบาะหนังแบบใหม่เย็บเดินตะเข็บด้วยด้ายสีแดง อุปกรณ์ต่างๆ บริเวณส่วนหน้าของเบาะผู้โดยสารตอนหน้า เน้นคนขับเป็นศูนย์กลางพื้นที่เบาะหลังมีมาให้อย่างพอเพียง ไม่ได้กว้างเหมือน CR-Vแต่มีพื้นที่วางขาและพื้นที่เหนือศีรษะเหลืออยู่พอสมควร เบาะหลังปรับพับได้หลากหลายรูปแบบเพื่อเปิดพื้นที่ให้กับห้องเก็บสัมภาระท้ายรถ เบาะคนขับปรับไฟฟ้า แต่เบาะคนนั่งด้านหน้าใช้การปรับด้วยมือเหมือนเดิม อุปกรณ์ที่คนไทยจำนวนมากชื่นชอบแต่ไม่ค่อยได้ใช้งาน นั่นก็คือ Panoramic Roof จัดให้เต็มเหนี่ยวใหญ่โตคลุมทั้งผืนหลังคา เปิดมุมมองให้ห้องโดยสารของ HR-V RS มีความโปร่งโล่งมากยิ่งขึ้น จุดที่ใช้งานยากไปนิดก็คือ แผงบังแดดของโซนผู้โดยสารเบาะหลัง เมื่อถอดออกแล้ว Honda จะให้ซองใส่เก็บ แต่ก็ต้องนำไปเก็บไว้ที่ห้องสัมภาระส่วนท้ายหากเบาะหลังมีคนนั่งสองคนก็จะไม่มีที่วางแผงบังแดด




จุดที่ออกแบบได้ดีก็คือคอนโซลหน้า มีการใช้เส้นแนวนอน ปรับวัสดุพวกพลาสติกให้มีผิวสัมผัสที่เรียบ แสงภายนอกที่เข้าสู่ห้องโดยสารทั้งจากกระจกรอบคันและกระจกหลังคา ทำให้ห้องโดยสารโปร่งโล่ง การจัดวางเลย์เอาต์และฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม การปรับวัสุดใหม่ ใช้ของที่ดูดีมีผิวสัมผัสเรียบและนุ่มในโซนที่จะต้องถูกจับหรือแตะ จุดที่ดูขัดตาก็คือ จอภาพมอนิเตอร์ที่ตั้งโด่ขึ้นมา รูปแบบของจอภาพที่ยังคงตามหลังรถจีนอย่าง Haval Jolion แต่บางจุดของ HR-V ก็ทำออกมาได้ดี เช่น พวงมาลัยสามก้านแบบใหม่ มีสวิตช์มัลติฟังก์ชัน พร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียง, ปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ และปุ่มควบคุมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING แป้นเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย Paddle Shift พวงมาลัยใหม่ หุ้มหนังสีดำ เย็บเดินตะเข็บด้วยด้ายสีแดง ปุ่มปรับที่ก้านวงทั้งซ้ายและขวาออกแบบให้ใช้งานได้ง่าย ปุ่มทำจากพลาสติกสีดำเงา พวงมาลัยไฟฟ้าแบบใหม่ของ HR-V ปรับได้สี่ทิศทาง ทั้งสูง-ต่ำและใกล้-ไกล




ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ (Automatic Air Conditioning) ออกแบบคล้ายแผงควบคุมอุณหภูมิของ Audi ระบบ Air Diffusion System ช่องปรับอากาศดีไซน์ใหม่ มีทิศทางลมที่หมุนเวียนดีขึ้น กระจายลมได้อย่างเหมาะสม ทั่วถึงทั้งห้องโดยสาร พร้อมด้วยช่องปรับอากาศตอนหลัง (เฉพาะรุ่น e:HEV EL และรุ่น e:HEV RS) ปุ่มหมุนของระบบแอร์ในห้องโดยสารใช้งานง่าย มีทั้งเพิ่มหรือลดความเร็วพัดลมแอร์ ปรับทิศทางของลมแอร์ในตำแหน่งต่างๆ รวมไปถึงปุ่มหมุนขวาสุดที่ใช้เพิ่มหรือลดอุณหภูมิ




รุ่น RS มาพร้อมเบาะหนังสีดำตกแต่งด้วยด้ายสีแดงแบบสปอร์ต แป้นเบรกและแป้นคันเร่งสไตล์สปอร์ต และ พวงมาลัยสีดำตกแต่งด้วยด้ายสีแดง เบาะนั่งด้านหลังแบบอเนกประสงค์ แยกพับแบบ 60:40 ปรับพับได้หลากหลาย เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอย โดยปรับเปลี่ยนได้ 3 รูปแบบ พร้อมห้องสัมภาระท้าย การปรับเบาะสามรูปแบบในฟังก์ชันการใช้งานของ HR-V มีดังนี้
Utility Mode: เบาะด้านหลังทั้ง 2 ด้านปรับพับเรียบ เพิ่มพื้นที่เก็บของด้านหลัง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของฮอนด้า ที่เบาะผู้โดยสารด้านหลังสามารถพับลงแนวราบได้เรียบ ช่วยเพิ่มพื้นที่สัมภาระด้านท้าย
Long Mode: เบาะด้านหน้าและด้านหลังปรับพับ เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวยาว
Tall Mode: สามารถพับเบาะด้านหลังขึ้น เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวสูง

ฝากระโปรงท้ายไฟฟ้าแบบแฮนด์ฟรี ระบบปิดอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมตอยู่ห่างจากตัวรถ (Hands-free Power Tailgate with Walk Away Close) เมื่อสอดเท้าไปที่เซนเซอร์บริเวณใต้กันชนด้านหลัง ฝากระโปรงท้ายจะเปิดออกโดยอัตโนมัติ จากนั้นจึงกดสวิตช์ปิด พร้อมทั้งหยิบสัมภาระออกจากท้ายรถ และเดินออกห่างจากตัวรถ ระบบจะทำการปิดฝากระโปรงท้ายลงโดยอัตโนมัติ โดยขณะใช้งานจะต้องมีกุญแจรีโมตอยู่กับตัว และอยู่ห่างจากตัวรถอย่างน้อย 1 เมตร (รุ่น e:HEV EL และรุ่น e:HEV RS)











ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto และรองรับระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และ Android Auto มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว ช่องปรับอากาศตอนหลัง (รุ่น e:HEV EL และรุ่น e:HEV RS) อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) (เฉพาะรุ่น e:HEV RS) ลำโพง 8 ตำแหน่ง ไฟอ่านหนังสือด้านหลังแบบ LED เปิด-ปิดแบบสัมผัส (เฉพาะรุ่น e:HEV RS) เบาะนั่งด้านคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง (เฉพาะรุ่น e:HEV RS) แผ่นกั้นห้องสัมภาระท้าย (เฉพาะรุ่น e:HEV RS) ช่องเชื่อมต่อ USB จำนวน 4 ช่อง ด้านหน้า 2 ช่อง และด้านหลัง 2 ช่อง (เฉพาะรุ่น e:HEV RS) และช่องเชื่อมต่อ USB ด้านหน้า จำนวน 2 ช่อง (รุ่น e:HEV E และรุ่น e:HEV EL)




Honda HR-V e:HEV ขับเคลื่อนด้วยระบบฟูลไฮบริด e:HEV เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ไม่มีระบบอัดอากาศ ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ได้แก่ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้า (Motor Generator) และมอเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ (Motor Drive) เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาร์ป ขนาด 1.5 ลิตร กลไกฝาสูบและระบบจุดระเบิดแบบ Atkinson-Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว ระบบส่งกำลังใช้เกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) ชุดหน่วยควบคุม Intelligent Power Unit - IPU แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน น้ำหนักเบาและ
ขนาดกะทัดรัด เก็บประจุไฟเพื่อส่งถ่ายไปที่มอเตอร์ขับเคลื่อนร่วมกับเครื่องยนต์ ส่วนมอเตอร์ เจเนอเรเตอร์นั้น ช่วยให้การชาร์จไฟเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ชาร์จไฟเข้าสู่แบตเตอรี่แบบอัตโนมัติในขณะขับเคลื่อน มอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ มีกำลังสูงสุดทั้งระบบ 131 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0-3,500 รอบต่อนาที Honda เคลมว่า HR-V e:HEV มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงถึง 25.6 กิโลเมตร/ลิตร แต่เมื่อลองขับจริงทำได้ 14.9 กิโลเมตรต่อลิตร อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์94 กรัม/กิโลเมตร
ระบบ e:HEV ใช้โหมดการขับขี่ 3 โหมด ระบบจะปรับเปลี่ยนโหมดให้เหมาะสมในทุกสถานการณ์การขับ ได้แก่
โหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode)
มอเตอร์จะขับเคลื่อนล้อด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ เป็นระบบที่เหมาะสมกับการขับในเมือง แบตเตอรี่พัฒนาให้มีความจุมากขึ้น เพื่อขับในโหมดมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode)
โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode)
ระบบจะขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าที่เกิดจากเครื่องยนต์และแบตเตอรี่ ผสานกำลังในการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้เกิดแรงบิดสูงสุดอย่างรวดเร็ว
โหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode)
ชุดล็อกอัพคลัตช์ที่อยู่ในเกียร์ E-CVT จะเชื่อมต่อเครื่องยนต์และส่งกำลังไปยังล้อคู่หน้าโดยตรง เป็นระบบที่เหมาะสมกับการขับขี่โดยใช้ความเร็วสูงคงที่
Honda ยังรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี รับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี แบบไม่จำกัดระยะทาง

Honda HR-V e:HEV ทุกรุ่นย่อย ติดตั้งสวิตช์ฟังก์ชัน Drive Mode และมีให้เลือก 3 โหมด ได้แก่
ECON Mode - โหมดการขับขี่แบบประหยัด ปรับการทำงานของเครื่องยนต์ให้สัมพันธ์กับการขับขี่เพื่ออัตราการประหยัดเชื้อเพลิง ตามรูปแบบการขับขี่
Normal Mode - โหมดการขับขี่แบบปกติ สำหรับการขับขี่ใช้งานโดยทั่วไป
Sport Mode - โหมดการขับขี่แบบสปอร์ต ที่ช่วยปรับการทำงานของเครื่องยนต์ให้พร้อมตอบสนองการเร่ง
ระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors)













หลังจากรับรถที่ศูนย์ฝึก Honda ย่านบางชันตอน 7 โมงเช้า ผมและเต้ย นิธิ ท้วมประถม มุ่งหน้ามายัง Show DC แถวพระราม 9 เพื่อจัดรถ HR-V e:HEV ประกบกับรถคู่แข่งอย่าง Corolla Cross และ Haval Jolion กว่าจะถ่ายคลิปเปรียบมวยเสร็จเวลาก็ล่วงเลยไปถึงเที่ยงตรง ในช่วงที่ขับทดสอบจากกรุงเทพฯ ไปยังอำเภอหัวหินด้วยความรีบเร่ง และจากหัวหิวหลังจากส่งคุณนิธิเข้าโรงแรมที่พักผมควงเจ้า HR-V ใหม่ลากจากโรงแรมไปยังอุทยานปากน้ำปราณไปจนถึงเขาสามร้อยยอด เป็นการขับทดสอบแบบไฟลนก้นเพราะรถทดสอบ HR-V ทุกคันจะต้องขึ้นสไลด์กลับกรุงเทพฯ ก่อนค่ำ ด้วยความลนเพราะเวลาบีบทำให้ไม่สามารถขับตามอำเภอใจได้ทั้งวันเหมือนตอนยืมมาทดสอบเดี่ยว HR-V ใหม่ รุ่น RS เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แม้การขับจะเปลี่ยนไม่มากแต่สิ่งที่แตกต่างจาก HR-V โฉมแรกก็คือ ความสวยงาม อุปกรณ์ภายในให้มาเกือบครบเพราะราคาไม่ใช่ถูกๆ เบาะคนขับนั่งสบายใช้ได้ เมื่อลองไปนั่งที่เบาะหลังตอนคุณนิธิขับก็นับว่าทำออกมาได้ไม่เลว พื้นที่วางขายังมีเหลือพอที่จะทำให้ไม่รู้สึกอึดอัด แต่หลังคาที่เตี้ยกว่ารถรุ่นแรก บวกกับรูปแบบความลาดเอียงของหลังคาในส่วนท้าย ทำให้พื้นที่เหนือศีรษะลดลงไปพอสมควร






พวงมาลัยแตกต่างจาก new Civic อย่างชัดเจน ผมชอบน้ำหนักของพวงมาลัยใน Civic มากกว่า HR-V ใหม่ พวงมาลัยไฟฟ้าของเจ้า B SUV คันนี้ ออกมาในแบบเบาสบายมือ มีการหน่วงเพิ่มเติมน้ำหนักมากขึ้นเล็กน้อยเมื่อขับเร็วแต่ความแม่นยำยังคงเป็นรองพวงมาลัยของ new Civic รูปแบบของรถที่แตกต่างกันส่งผลไปถึงความรู้สึกหลังพวงมาลัยอย่างชัดเจน การเลี้ยวกลับลำ หรือเข้า-ออกในพื้นที่คับแคบ ทำได้ดีจากระยะโอเวอร์แฮงค์หน้า-หลังที่สั้นกระชับ ส่วนการขับบนไฮเวย์ด้วยความเร็วเดินทางถือว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานคล้ายรถคู่แข่งอย่าง Corolla Cross







ที่ย่านความเร็ว 110-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง HR-V ทรงตัวได้ดีไปจนถึงย่านความเร็วสูงก็ยังใช้ได้ ไม่ได้แน่นเหมือน Civic แต่ก็ไม่ได้โคลงมากจนทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ ช่วงล่างด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สัน สตรัท สปริงและกันโครงเหล็กทำหน้าที่ซึมซับแรงสั่นสะเทือนทั้งจากผิวถนนและจากการทำงานของเครื่องยนต์ ค่ายืดและยุบของโช้คกับสปริง ที่จูนมากลางๆ ทำให้ HR-Vใหม่ เป็นรถแม่บ้านมากกว่าจะเป็นรถที่ขับสนุกอย่าง Toyota C-HR ความนิ่มนวลของระบบรองรับแค่พอใช้ได้ แต่ความแม่นยำของการเปลี่ยนทิศทางเร็วๆ การทรงตัวในย่านความเร็วสูง HR-V e:HEV RS ยังเป็นรองรถที่มีห้องโดยสารเล็กกว่าอย่าง C-HR




เมื่อขับเร็ว แบตเตอรี่เหลือไฟน้อยลงและเครื่องยนต์เริ่มเข้ามารับหน้าที่แทน การลากรอบสูงๆ คุณจะได้ยินเสียงการทำงานของเครื่อง 1.5 ลิตรอย่างชัดเจน เสียงลมและยางจะเริ่มดังเข้ามาให้ได้ยินเบาๆ ที่ความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ถ้าใช้รอบสูงต่อเนื่อง เสียงเครื่องยนต์จะดังจนกลบหมดทั้งเสียงลมและเสียงยาง การลากรอบสูงต่อเนื่องใน HR-V มีความสนุกใช้ได้ แต่เสียงเครื่องที่ครางโหยหวนในรอบ 4,500-5,000 รอบต่อนาทีนั้นไม่ได้ดังแบบเร้าใจแต่มันดังแบบใจจะขาดซะมากกว่า! ผมลองเล่นกับโหมดขับเคลื่อนโดยข้ามผ่าน ECON Mode หรือโหมดการขับขี่แบบประหยัด และ Normal Mode-โหมดการขับขี่แบบปกติ ไปที่ Sport Mode ที่ใช้ซอฟต์แวร์ช่วยปรับการทำงานของเครื่องยนต์ให้ตอบสนองต่อการเร่งเร็วขึ้นมาอีกนิด สปอร์ตโหมดใน HR-V ไม่ได้รุนแรงอะไรมากมาย แค่คันเร่งไวขึ้น พวงมาลัยหน่วงเพิ่มขึ้นนิดหน่อยพร้อมเสียงแหกปากของเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร Atkinson-Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว จากการทำตัวเป็นเครื่องเน้นความประหยัดและไม่มีระบบอัดอากาศทำให้แรงบิดที่ได้รับจากเครื่องยนต์ดูเหี่ยวๆ ยังไงพิกล อัตราสิ้นเปลืองหลังจากการจมคันเร่งใน Sport Mode หล่นลงมาเหลือ 14.9 กิโลเมตรต่อลิตร กับการขับที่ดุดันเพื่อสังเกตการตอบสนองของรถในย่านความเร็วสูง





ระบบขับเคลื่อน e:HEV คือ การควบรวมการทำงานของ Series Hybrid กับ Parallel Hybrid แรงบิดของทั้งสองระบบส่งกำลังผ่านเกียร์ E-CVT มี 2 อัตราทด คือ อัตราทดเกียร์ของมอเตอร์ไฟฟ้า อยู่ที่ 2.455 ส่วนอัตราทดเกียร์ของเครื่องยนต์ จะอยู่ที่ 0.806 ในสภาพการขับใช้งานปกติ ในย่านความเร็วต่ำ หรือการขับในเมือง e:HEV จะทำงานในรูปแบบของ Series Hybrid มอเตอร์ไฟฟ้าตัวที่ 1 เป็นตัวขับเคลื่อนรถ เครื่องยนต์มีหน้าที่ปั่นไฟโดยหมุนมอเตอร์เจเนอเรเตอร์ ตัวที่ 2 สำหรับการส่งกระแสไฟฟ้าที่ได้จากการปั่น ไปเก็บในแบตเตอรี่ เมื่อขับเคลื่อนโดยต้องการแรงบิดสูงขึ้น ต้องการเร่งความเร็วรถให้เพิ่มมากขึ้น เครื่องยนต์จะเร่งรอบเพื่อปั่นไฟให้มากขึ้น และจ่ายไฟให้มอเตอร์โดยตรง เมื่อขับในย่านความเร็วเดินทาง ที่ความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เครื่องยนต์จะเข้ามาทำหน้าที่ขับเคลื่อนแทนมอเตอร์ไฟฟ้า เป็นการทำงานในรูปแบบของ Parallel Hybrid ล็อกอัพทอร์คคอนเวอร์เตอร์จะทำงานเพื่อส่งถ่ายกำลังจากเครื่องยนต์ไปยังล้อคู่หน้า ความแตกต่างของ e:HEV เมื่อเทียบกับ Hybrid ของ Toyota Corolla Cross และ C-HR ก็คือ ระบบ e:HEV ในรถยนต์ Honda จะไม่มีการผสมผสานกันระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า แต่จะสลับหน้าที่กันทำงาน แต่ใน Cross และ C-HR จะมีบางจังหวะที่เร่งความเร็วแล้วเครื่องยนต์กับมอเตอร์ ทำงานไปพร้อมๆ กัน!





e:HEV ใน City นั้นดูโดดเด่นกว่า เนื่องจากขนาดที่เล็กกว่าและมีน้ำหนักเบา City กับระบบไฮบริด e:HEV ดูเหมาะสมกันดี แต่พอมาอยู่ใน HR-V ที่ตัวโตกว่าและมีน้ำหนักมากกว่า e:HEV ดูจะขนาดความกระฉับกระเฉงไปพอสมควร ทำให้คิดถึงกำลัง 178 แรงม้ากับ 240 นิวตันเมตรในเครื่องยนต์ของ new Civic มากกว่า ถ้าเอามาประจำการอยู่ใน HR-V ใหม่ จูนโช้คและสปริง ปรับการตอบสนองของพวงมาลัยไฟฟ้าใหม่ จะเป็นรถที่น่าใช้ขึ้นอีกเยอะ พลังงานของการขับเคลื่อนจากระบบไฮบริดใน HR-V แค่มีพอเพียงต่อการใช้งาน ไม่ได้โลดโผนโจนทะยานเร่งติดเท้าเหมือน Civic ใหม่ ที่ใช้เครื่อง 1.5 ลิตร อัดเทอร์โบ แต่ถ้าไม่ได้เป็นคนใจร้อนขับเร็วตลอดเวลา ใช้งานปกติในเมืองและขับออกทางไกลในวันหยุด HR-V ทุกรุ่นก็ถือว่าพอเพียงต่อการใช้งานแล้ว





รุ่นสูงสุดมีอุปกรณ์เยอะตามระดับของราคา ส่วนรุ่น EL และ E ลดหลั่นกันลงมาทั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและรูปแบบของงานตกแต่งภายนอก ถ้าไม่อยากเป็นหนี้สินเยอะ รุ่นเริ่มต้นก็ถือว่ามีความน่าใช้พอสมควร เทียบกับ Jolion และ Corolla Cross ก็อยู่ที่ความชอบของคุณเองว่าจะเซไปทางไหน 999,000 บาท สำหรับค่าตัวของ Jolion รุ่น Ultra และ 1,199,000 บาท สำหรับ Cross รุ่นไฮบริดตัวท็อป เทียบกับ HR-V e:HEV RS ราคา 1,179,000 บาท ถ้าจะให้ผมเลือกขอเดินไปที่ HR-V EL ล้านนิดๆ หรือ 1,079,000 ในรุ่นกลางที่เหมาะสมกับฐานะและการใช้งาน ไม่ต้องเป็นหนี้กันบานในช่วงที่หาเงินได้ยากแบบนี้





จุดที่ชอบก็คือ เบาะหลังนั่งสบาย Panoramic Roof หลังคากระจกที่ทำให้รถดูแพงขึ้นแต่ใช้งานจริงจังน้อยมาก ไฟท้ายที่สวยงามพร้อมกรอบไฟพลาสติกกรมดำที่ทำให้รถดูหรูหรามากกว่าเดิม แดชบอร์ดใหม่ คอนโซลใหม่ ส่วนจอมอนิเตอร์และจอภาพมาตรวัดควรปรับปรุงให้ดีกว่านี้ หากคิดจะเอาชนะรถคู่แข่งและขึ้นยืนแป้นเบอร์หนึ่งยอดขาย B SUV อีกจุดที่ทำได้ดีคือ ฝาท้ายไฟฟ้า พร้อมเซนเซอร์ใช้ขาแหย่ที่ฉลาดขึ้นเล็กน้อย ไม่ต้องมี AI เพราะคนขับไม่ได้โง่ขนาดนั้น บางอย่างก็ทำด้วยตัวเองได้ ไม่ต้องโชว์ออกเสียงสั่งเท่ๆ แล้ว AI ไม่ทำตามคำสั่ง เพราะไม่เข้าใจหรือจริงๆ แล้วยังคงเป็น AI ยุคแรกแบบโง่ๆ อยู่ สรุปโดยภาพรวม HR-Vใหม่ ดีขึ้นทุกจุดยกเว้นการขับในย่านความเร็วสูงที่ยังเป็นรองกระทั่ง City Hatchback 1.0 ลิตร พื้นที่ใช้งานพอเพียงต่อคนสี่คนในครอบครัว เบาะหลังนั่งสบาย ช่วงล่างออกมาในแนวกลางๆ จะหนึบก็ไม่ใช่ จะนุ่มก็ไม่เชิง!! เกียร์ E-CVT พร้อมระบบแปรผันใช้งานได้จริงแต่ก็ติดสันดานเดิม นั่นก็คือย้วยๆ แตกต่างจาก CVT ใน Civic 1.5 เทอร์โบที่แม้จะเป็นเกียร์สายพานเหมือนกันแต่อาการย้วยน้อยกว่ามาก เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ไม่มีเทอร์โบ ทำงานในรอบสูงพร้อมกับแหกปากส่งเสียงดังไปตลอดทางที่โดนลากรอบ ขับแบบเรื่อยๆ กินน้ำมัน 91 ประมาณ 16-17 กิโลเมตรต่อลิตร กระแทกคันเร่งต่อเนื่อง หล่นลงมาเหลือ 14.9 กิโลเมตรต่อลิตร ถือว่าประหยัดใช้ได้ น่าใช้มั้ยอยู่ที่ใจของคุณ แต่ถ้ามี Civic RS จอดอยู่พร้อมกุญแจ ผมจะเดินขึ้นไปขับแบบไม่ต้องคิดมากเลยล่ะครับ.
รายละเอียด เพิ่มเติม Honda HR-V e:HEV RS
ระบบความปลอดภัย Honda SENSING ทำงานร่วมกับกล้องมุมมองกว้างด้านหน้า ช่วยตรวจจับรถยนต์และคนเดินถนน มีฟังก์ชันการทำงาน ดังนี้
ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
ระบบช่วยเตือนผู้ขับขี่ให้ลดความเร็วเมื่อมีรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จักรยาน หรือคนเดินถนนที่อยู่ในระยะ
ไม่ปลอดภัย โดยระบบจะแจ้งเตือนผ่านหน้าจอแสดงข้อมูลและสัญญาณเสียง รวมถึงมีการสั่นเตือน
ของพวงมาลัยในกรณีรถสวนทาง ซึ่งหากผู้ขับขี่ยังไม่ตอบสนอง หรือในกรณีที่อยู่ในระยะเสี่ยงต่อการชน
ระบบจะช่วยเสริมแรงเบรกอัตโนมัติ เพื่อหลีกเลี่ยงการชนหรือลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุ
ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS) กล้องด้านหน้าจะทำการตรวจจับเส้นแบ่งช่องทางเดินรถ ซึ่งระบบจะช่วยเพิ่มแรงหน่วงของพวงมาลัย เพื่อช่วยผู้ขับขี่ควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางปกติ และลดอาการเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่
ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)
ระบบจะใช้กล้องด้านหน้าในการตรวจจับเส้นแบ่งช่องทางจราจร หากพบว่ารถอยู่ในสภาวะเบี่ยงออกนอกช่องทางโดยไม่ตั้งใจ ระบบจะส่งสัญญาณเตือนที่หน้าจอแสดงข้อมูลพร้อมการสั่นเตือนของพวงมาลัย และในกรณีที่รถเริ่มเบี่ยงออกนอกช่องทางมากยิ่งขึ้น ระบบจะช่วยหน่วงพวงมาลัย เพื่อให้รถกลับเข้าสู่ช่องทางปกติ ช่วยลดความเสี่ยงที่รถจะออกนอกช่องทางจราจร
ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)
ระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติด้วยกล้อง โดยจะปรับเป็นไฟสูงเมื่อขับขี่ในที่มืด และจะปรับเป็นไฟต่ำเมื่อตรวจจับได้ว่ามีรถสวนทางหรือรถยนต์ด้านหน้า
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF) ระบบช่วยควบคุมความเร็วของรถให้คงที่ตามที่ผู้ขับขี่ตั้งค่าไว้ และระบบจะปรับความเร็วอัตโนมัติ โดยมีกล้องตรวจจับรถคันหน้าเพื่อรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าอย่างเหมาะสม และในการขับขี่ที่ความเร็วต่ำ ระบบจะช่วยปรับความเร็วให้รถเคลื่อนที่ตามรถคันหน้า รวมถึงเบรกและหยุดตามอัตโนมัติ ระบบจะเริ่มทำงานอีกครั้งเมื่อผู้ขับขี่กดปุ่มที่พวงมาลัยหรือเหยียบคันเร่ง
ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN)
ระบบที่ตรวจจับการเคลื่อนที่ของรถคันหน้า แจ้งเตือนผ่านหน้าจอแสดงข้อมูลและสัญญาณเสียง เพื่อให้ผู้ขับเคลื่อนที่ตามรถคันหน้า
ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control: HDC) ทำงานเพื่อช่วยควบคุมคันเร่งและเบรก เพื่อรักษาความเร็วได้อย่างเหมาะสมเมื่อขับรถลงจากทางลาดชัน โดยระบบจะทำงานที่ความเร็วต่ำกว่า 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (กม./ชม.)
ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake)
ระบบ Auto Brake Hold กดสวิตช์เปิดการทำงานของระบบไว้ ระบบจะเริ่มทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อเหยียบเบรกหยุดรถ และระบบจะปล่อยเบรกเมื่อผู้ขับเหยียบคันเร่ง โดยระบบจะรักษาการเปิดการทำงานไว้อย่างอัตโนมัติ โดยที่ผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องกดสวิตช์ทุกครั้งเพื่อใช้งาน
ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) (รุ่น e:HEV EL และ รุ่น e:HEV RS)
ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมตอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock) สามารถล็อกรถอัตโนมัติ เมื่อเดินออกห่างจากตัวรถในระยะ 1.5 เมตรขึ้นไป
ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหน้า พร้อมเตือนผู้โดยสารด้านหลัง (Front and Rear Passenger Seat Belt Reminder)
ไฟเตือนเบาะนั่งด้านหลัง (Rear Seat Reminder)
ระบบเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ (Agile Handling Assist: AHA)
พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า พร้อมอัตราทดเกียร์แบบแปรผัน (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)
กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-angle Rearview Camera)
ถุงลม 6 ตำแหน่ง ได้แก่ ถุงลมคู่หน้า (Dual SRS) ถุงลมด้านข้าง (Side Airbags) และ ม่านถุงลมด้านข้าง (Side Curtain Airbags)
ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS) ช่วยป้องกันล้อล็อกเมื่อเบรกกะทันหัน
ระบบกระจายแรงเบรก (EBD)
ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (Vehicle Stability Assist: VSA)
ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Start Assist: HSA)
สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (Emergency Stop Signal: ESS)
นอกจากนี้
Honda CONNECT เฉพาะรุ่น e:HEV RS) เทคโนโลยีเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ ทำงานผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน มาพร้อมหลากหลายฟังก์ชันการทำงาน มี 8 ฟังก์ชันการใช้งาน ได้แก่
1. My Service ตรวจสอบประวัติการเข้ารับบริการ รวมทั้งการประเมินรายการอะไหล่และค่าใช้จ่ายเบื้องต้น โดยจะมีการแจ้งเตือนกำหนดการเข้ารับบริการครั้งต่อไป
2. Car Log ข้อมูลการขับขี่จะประกอบด้วยพฤติกรรมการขับขี่ ที่สามารถแสดงผลเป็นรายวัน รายเดือน หรือรายปี และ บันทึกการเดินทาง ที่สามารถเลือกทริปโปรด และแชร์ผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น ไลน์ อินสตาแกรม เฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ เป็นต้น
3. Wi-Fi สามารถเชื่อมต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ตไร้สายจากรถยนต์ โดยจะใช้งานได้พร้อมกันสูงสุดถึง 5 อุปกรณ์ มีระยะการส่งสัญญาณห่างจากตัวรถยนต์อยู่ที่ 40 เมตร โดยต้องไม่มีสิ่งกีดขวาง
สามารถสมัครแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตจากผู้ให้บริการเครือข่าย (เอไอเอส) โดยเจ้าของรถจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย
4. Airbag Deployment เมื่อเกิดอุบัติเหตุและถุงลมทำงาน กล่องอุปกรณ์ TCU จะส่งสัญญาณเตือนให้ทราบทันทีผ่านทางแอปพลิเคชัน พร้อมทั้งส่งข้อมูลไปยังศูนย์บริการข้อมูล Honda เพื่อทำการติดต่อไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่ลงทะเบียนไว้ หรือเบอร์โทรฉุกเฉินที่ลูกค้าผู้ใช้งานระบุไว้ในระบบ เพื่อทำการประสานงานให้ความช่วยเหลือขั้นต้น
5. Car Status แจ้งเตือนสถานะรถยนต์ เมื่อเกิดความผิดปกติจากระบบของรถยนต์ และ แจ้งเตือนสัญญาณกันขโมย เมื่อเกิดความผิดปกติกับรถยนต์จากภายนอก เช่น การเปิดประตู กระโปรงหน้า และฝากระโปรงท้ายของรถยนต์อย่างผิดปกติ
6. Remote Vehicle Control สามารถสั่งการล็อกและปลดล็อกประตูทั้งหมด อีกทั้งยังสามารถสั่งสตาร์ตเครื่องยนต์ พร้อมทั้งตั้งค่าระดับอุณหภูมิของระบบปรับอากาศในรถยนต์ และสั่งการดับเครื่องยนต์ สั่งเปิดสัญญาณไฟ ทั้งไฟหน้าและไฟท้าย โดยผู้ใช้งานจะต้องกำหนดรหัสส่วนตัวเป็นตัวเลข 4 หลัก (PIN) และจะต้องป้อนรหัสส่วนตัวทุกครั้งก่อนการใช้งาน
7. Geo Fence & Speed Alert สามารถกำหนดขอบเขตการขับขี่รถยนต์ทั้งเข้าและออกตามพื้นที่ที่กำหนดไว้ และยังสามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนความเร็วตามกำหนดได้อีกด้วย
8. Find My Car สามารถตรวจสอบพิกัดรถยนต์ โดยระบบจะส่งพิกัดรถยนต์บนแผนที่ล่าสุด แสดงผลบนแอปพลิเคชัน ซึ่งผู้ใช้งานจะต้องใส่รหัสส่วนตัว 4 หลัก (PIN) ก่อนการใช้งาน
รุ่นและราคา
Honda HR-V e:HEV มี 3 รุ่น ได้แก่
HR-V รุ่น e:HEV RS ราคา 1,179,000 บาท
HR-V รุ่น e:HEV EL ราคา 1,079,000 บาท
HR-V รุ่น e:HEV E ราคา 979,000 บาท
สีภายนอกทั้งหมด 5 สี ได้แก่
สีใหม่ สีขาวพรีเมียมซันไลท์ (มุก)
สีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก)
สีขาวแพลทินัม (มุก)
สีดำคริสตัล (มุก) ในทุกรุ่นย่อย
สำหรับสีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) พร้อมหลังคาสีดำทูโทน มีเฉพาะรุ่น e:HEV RS