ตามหลักการที่เข้มงวดแนวอนุรักษนิยมของแบรนด์หรูอย่าง Lexus รถ Luxury Car ES รุ่นปรับโฉม ยังคงธรรมเนียมและเอกลักษณ์ของแบรนด์หัวลูกศรเอาไว้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นความหรูหราของภายนอก งานตกแต่งภายในสไตล์รถญี่ปุ่นชั้นสูง บวกกับการขับที่ดีงาม ES ใหม่ ยังคงมีราคาค่าตัวที่แพงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง สำหรับ Lexus ES300h คันทดสอบในสัปดาห์นี้ เป็นรุ่นแพงสุด F Sport ราคา 4.3 ล้านบาท จุดที่ด้อยกว่า Mercedes-Benz E300e Minorchange 2021 และ BMW 530e LCI 2021 มีเพียงแค่กำลังจากเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าเท่านั้น ส่วนช่วงล่าง AVS และพวงมาลัยไฟฟ้าของ ES รุ่นปรับโฉมนั้น มีประสิทธิภาพในระดับที่เหนือกว่ารถเยอรมันอย่างชัดเจน ห้องโดยสารของ ES ก็ยังคงเอกลักษณ์ของแบรนด์หัวลูกศรเอาไว้อย่างเหนียวแน่น นั่นก็คือการปิดผลึกที่ทำให้โซนอยู่อาศัยใน ES ใหม่ เงียบกริบ ความสามารถในด้านการบริหารเชื้อเพลิงและความละเอียดอ่อนของแชสซีใหม่ที่มีชื่อว่า GA-K หรือ Global Architecture-K Platform เป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่เอี่ยมที่ถ่ายเทประสิทธิภาพมาจากแพลตฟอร์ม TNGA ควบรวมการออกแบบตัวถัง สมรรถนะของการขับ จุดเด่นเรื่องความสบายและความเงียบของห้องโดยสาร กับระบบความปลอดภัย ES300h F Sport รุ่นใหม่มีการปรับปรุงตำแหน่งของเบาะ พวงมาลัยและแป้นคันเร่ง เพื่อสร้างท่านั่งที่ถูกต้อง และช่วยทำให้การควบคุมรถง่ายขึ้น แล้วมันดีขนาดนั้นเลยหรือ?
Lexus ES 300h Facelift 2022 ประกอบนอกทั้งคัน
ราคาแนะนำ
Lexus ES 300h รุ่น Luxury 3,625,000 บาท
Lexus ES 300h รุ่น Grand Luxury 3,795,000 บาท
Lexus ES 300h รุ่น Premium 4,210,000 บาท
Lexus ES 300h รุ่น F-Sport 4,380,000 บาท (คันทดสอบ)

...




โมเดล ES ของ Lexus เปรียบเหมือนพี่ชายคนกลางของครอบครัว และทำตัวแปลกแยกด้วยระบบขับเคลื่อนล้อหน้า โดยมีพี่คนโตอย่าง GS ที่หายสาบสูญไปจากวงการยนตรกรรมอย่างน่าเสียดาย เนื่องจากเป็นรถขับหลังแต่ขายไม่ค่อยดี ส่วนน้องเล็กคนสุดท้องในรุ่น IS แม้จะมีประสิทธิภาพดีสูสีกับรถคู่แข่งจากระบบขับเคลื่อนล้อหลัง แต่ก็มีขนาดตัวถังที่เล็กกว่า และยึดติดกับความเป็นสปอร์ตซีดานแสนแพง มากกว่าจะทำตัวเป็นซาลูนหรูเหมือนรถรุ่นพี่ทั้งสองโมเดล หน้าตาของ Lexus New ES300h รุ่นปรับโฉม 2021 มีความคล้ายกับ New LS500h แต่มีขนาดย่อมลงมาเล็กน้อย และมีอุปกรณ์ที่ไม่หรูหราเท่ากับรถรุ่นพี่ ซึ่งถือเป็นรุ่นเรือธงของค่าย กระจังหน้า F Sport แบบตาข่าย มีรายละเอียดที่ซับซ้อนคล้ายเครื่องจักสานที่โชว์ให้เห็นถึงความตั้งใจในการออกแบบและผลิต ไฟหน้าใหม่ในรุ่น F Sport มีระบบส่องสว่างอัตโนมัติ Adaptive LED ไฟเลี้ยว LED ทรงหัวลูกศร เอกลักษณ์ของรถ Lexus ยุคใหม่ ติดตั้งอยู่ใต้กรอบไฟหน้า

...



...



...





ไฟหน้าติดตั้งระบบไฟส่องสว่าง Head Lamp Ultra Compact 3-LED Bi-LED
ไฟ Daytime Running Light LED Day Time Running Light ระบบไฟส่องทางเข้า Illuminated Entry System ระบบทำความสะอาดไฟหน้า Head Lamp Cleaner ระบบปรับไฟหน้า สูง/ต่ำอัตโนมัติ Automatic High Beam System Adaptive (BladeScan) กระจังหน้า อย่างที่บอกว่าเต็มไปด้วยรายละเอียด มีทรงคล้ายหน้ากากของ ดาร์ธ เวเดอร์ ตัวร้ายในหนังไตรภาคเรื่องสตาร์วอร์ เป็นกระจังที่มีรายละเอียดซับซ้อนและล้างทำความสะอาดยาก แต่ทำให้ส่วนหน้าของ New ES F Sport มีความสง่างามผสมความดุดัน สปอยเลอร์หน้าปิดคลุมส่วนหน้าทั้งหมดของ ES เชื่อมโยงกับกระจังอย่างสวยงาม รุ่น F Sport ใส่ล้ออัลลอยลายใหม่สีดำเงา ขอบ 19 นิ้ว ห่อรัดด้วยยาง dunlop sp sport MAXX050 ไซส์ 235/40R19 96Y ด้านข้างตัวถังไหลลื่นไม่มีอะไรที่ทำให้สะดุดนอกจากสัญลักษณ์ F Sport บริเวณแก้มข้าง เมื่อเล็งจากทรงด้านข้าง กรอบกระจกประตูเดินเส้นโครเมียม กระจกมองข้างสีดำมีไฟเลี้ยว LED อยู่ภายใน ไฟท้ายคล้ายกับ Lexus GS แต่เฉียบคมมากขึ้น เป็นไฟท้าย LED บวกไฟเบรกดวงที่สามบริเวณกึ่งกลางของกระจกบังลมบานหลัง สปอยเลอร์หลังมีมิติบริเวณใต้ไฟท้ายเพื่อยกเส้นคมๆ ของสปอยเลอร์หลังให้ลงตัว ท่อระบายไอเสียในรุ่น ES300h F Sport ซึ่งเป็นรถไฮบริดถูกซ่อนอยู่ใต้สปอยเลอร์หลังมองยังไงก็ไม่เห็น ส่วนพื้นที่เก็บสัมภาระใต้ฝาท้ายความจุ 470 ลิตร ยังใส่ถุงกอล์ฟได้เยอะเหมือนเดิม เป็นจุดขายที่สำคัญในการทำตัวเป็นซีดานหรูไซส์กลางที่เข้ามาเสียบแทน Lexus GS ที่ยกเลิกสายการผลิตไปอย่างน่าเสียดาย







ความเปลี่ยนแปลงหลักๆ ของ New ES300h รุ่นปรับโฉมก็คือ มันหล่อกว่า ES รุ่นที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด Lexus วางตำแหน่งของ ES ยานยนต์ซีดานสุดหรูเจเนอเรชันล่าสุดให้อยู่ในกลุ่ม Luxury ไซส์กลางที่มีคู่แข่งสายโหดอย่าง BMW Series-5 และ Mercedes Benz E-Class รวมถึง Audi A6 ปัจจุบัน โมเดล ES เดินทางมาถึงรุ่นที่ 7 กับโฉมใหม่ที่คล้ายการนำเอาหน้าตาของรถรุ่นเรือธงอย่าง Lexus New LS มาขัดเกลาและย่อส่วนขนาดของตัวถังให้มีความลงตัวมากกว่ารุ่นที่ผ่านมา การยกเลิกสายการผลิตซาลูน 4 ประตูขับเคลื่อนล้อหลังรุ่น GS เนื่องจากยอดขายที่ไม่ค่อยสวยหรู ทำให้ผู้บริหารของ Lexus ตัดสินใจหันมาเน้นรถขับหน้าตัวขายอย่างรุ่น ES แพลตฟอร์มใหม่ GA-K Global Architecture-K มีการปรับขยายขนาดของตัวถังเพิ่มขึ้นไม่มาก New ES ยาวขึ้นอีก 65 มิลลิเมตร ความสูงลดลงนิดเดียวแค่ 5 มิลลิเมตร แทบจะไม่เห็นความแตกต่าง ส่วนความกว้างเพิ่มขึ้น 45 มิลลิเมตร กว้างกว่าเดิมหน่อยเดียว ความยาวของฐานล้อบวกเพิ่ม 50 มิลลิเมตร เพื่อขยับพื้นที่เบาะหลังให้กว้างขวางขึ้น รวมถึงช่วงล่างใหม่เพื่อลบสัมผัสของรถขับหน้าออกไปให้หมด ซึ่งก็ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบหากไม่เข้าโค้งแรงจริงๆ ก็ไม่รู้ว่านี่คือรถขับเคลื่อนล้อหน้ามิติตัวถังของ Lexus ES รุ่น 300h มีขนาดความยาว 4,975 มิลลิเมตร กว้าง 1,865 มิลลิเมตรและสูง 1,445 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,870 มิลลิเมตร ระยะห่างของล้อคู่หน้า 1,600 มิลลิเมตร ระยะห่างล้อหลัง 1,617 มิลลิเมตร มีความจุของห้องเก็บสัมภาระ 473 ลิตร น้ำหนักตัวรถทั้งคันอยู่ที่ 1,740 กิโลกรัม ความจุถังเชื้อเพลิง 50 ลิตร และใช้เชื้อเพลิงเบนซิน 91













ภายในของ New ES300h รุ่น F Sport เพิ่มความ Sport Premium ด้วยชิ้นงานตกแต่งอย่างสวยงาม F Sport ใน ES300h มาพร้อมเบาะหนังสีแดงสลับสีดำ พร้อมระบบทำความเย็นให้กับตัวเบาะที่เร่งได้สามระดับ เหมาะสำหรับเมืองร้อนเมื่อต้องจอดตากแดดแล้วขึ้นมาขับ เบาะที่มีระบบให้ความเย็นทำให้รู้สึกสบายตัวในวันที่มีอากาศร้อนจัด เป็นอีกจุดที่ใช้งานได้ดี (มาก) ภายในแบบทูโทนสีดำสลับแดงเข้มของเบาะหนังและแผงประตู แดชบอร์ดเดินเส้นด้วยงานอัลลอย เย็บหนังที่ใช้หุ้มด้วยด้ายสีแดงเพื่อแสดงออกถึงความเป็นรุ่นสูงสุด F Sport แป้นคันเร่ง เบรกและที่พักเท้าอัลลอย ซุ้มเกียร์มีหน้าตาสั้นๆ หัวเกียร์หุ้มหนังแท้และถุงหุ้มคันเกียร์หนังเย็บตะเข็บด้วยด้ายแดง Lexus ยังคงใช้หัวเกียร์ทรงประหลาดเหมือนเดิมแต่จับได้กระชับมือ





ระบบควบคุมและสั่งงานจอภาพมอนิเตอร์กลางขนาด 12.3 นิ้ว ใหญ่โตสาแก่ใจ การปรับตั้งค่าต่างๆ ของรถ เมื่อลองใช้งานแป้นสี่เหลี่ยมระบบสัมผัสดูก็พบว่า การตอบสนองดีพอสมควร แต่ยังคงเป็นรองระบบสั่งงาน MMI ของ Audi / iDRIVE ของ BMW และ Comand Controller ของ Mercedes Benz เรียกว่ายังคงตามหลังอยู่เล็กน้อย แป้นควบคุมที่คล้ายเม้าส์ของคอมพิวเตอร์ใช้งานได้ไม่สะดวกเท่าที่ควร ทำให้การควบคุมไม่รวดเร็วดั่งใจ ผมชอบแบบแป้นทรงกลมแบบ 5 ทิศทางใน BMW iDRIVE มากกว่าแป้นในระบบสัมผัสของ Lexus EMV (Electro Multi-Vision) จอระบบสัมผัส Touchscreen Display มาพร้อมฟังก์ชันการปรับตั้งค่าและการใช้งานควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ระบบแผนที่นำทาง Navigation System ที่ชอบมากก็คือ
ระบบปรับเบาะและพวงมาลัยอัตโนมัติ เมื่อผู้ขับขี่ขึ้นลงจากรถ Easy & Access Power System ES รุ่น F Sport ยังมาพร้อมกับระบบชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย Wireless Charger การเชื่อมต่อ Apple CarPlay และระบบจอแสดงผลบนกระจก Head Up Display

















มาตรวัดทรงกล่องที่คล้ายหยิบยืมมาจาก Lexus LFA ใช้จอภาพแบบ TFT ทำงานผสมผสานกับจอมอนิเตอร์กลางขนาด 12.3 นิ้ว ที่ติดตั้งนาฬิกาของ Lexus มาให้เหมือนเดิม มาตรวัดแบบจอภาพเมื่อปรับโหมดขับเคลื่อนก็จะเปลี่ยนสีไปตามโหมดนั้นๆ โดยมีมาตรวัดสีแดงในโหมดสปอร์ตเพื่อเพิ่มความเร้าใจ ภายในจอภาพมาตรวัดยังมีจอ MID multi information display คอยแจ้งเตือนการทำงานของระบบต่างๆ ภายในรถ เช่น อุณหภูมิ การเปิด-ปิดประตู ทริปมิเตอร์ ตำแหน่งเกียร์ อุณหภูมิการทำงานของเครื่องยนต์และระดับเชื้อเพลิง รวมถึงแจ้งการทำงานของระบบไฮบริด ส่วนปุ่มปรับโหมดการขับเคลื่อน 3 รูปแบบ ECO / Normal / Sport โดยย้ายตำแหน่งของปุ่มโหมดควบคุมการขับเคลื่อนไปติดไว้ที่ข้างกล่องมาตรวัดทรงเหลี่ยมบริเวณด้านซ้าย ส่วนปุ่มด้านขวาเป็นปุ่มเปิด-ปิดระบบควบคุมการทรงตัว กลายเป็นสไตล์ที่แปลกตาแต่ใช้งานได้ดี







พวงมาลัย 3 ก้านของ F Sport ใช้วัสดุอย่างหรูคุณภาพสูง พอจับดูก็รู้ว่าเป็นตำแหน่งที่ Lexus ตั้งใจทำออกมาให้ดีที่สุด เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่เจ้าของจะต้องยึดจับไปตลอดการใช้งาน ทั้งหนังและพลาสติกที่นำมาใช้อยู่ในเกรดสูงสุด ก้านวงมีสวิตช์ปรับตั้งต่างๆ รวมไปถึงสวิตช์สั่งงานด้วยเสียง สวิตช์ 4 ทิศทางเพื่อเลือกดูการแสดงผลของจอ MID สวิตช์รับหรือวางสายโทรศัพท์บลูทูธ หลังพวงมาลัยก็ยังไม่ลืมที่จะติดตั้ง Paddle Shift มาให้ใช้สับเกียร์เล่นอีกด้วย


ระบบเสียงยังคงดีงามเหมือนเดิมในรุ่น F Sport แม้จะไม่ใช่เครื่องเสียงราคาแพงอย่าง mark levinson sound system แต่ระบบเสียงของ Pioneer sound system ใน ES300h F Sport ก็ยังคมชัดเสนาะหู โดยวางลำโพงคุณภาพดีมาให้ 10 ตำแหน่งรอบห้องโดยสาร พร้อมกำลังขับเฉียดๆ 300 วัตต์ เหมาะสำหรับผู้บริหารที่ชอบฟังเพลงยามเดินทางไกล ที่ชอบมากก็คือ เครื่องเล่นแผ่น DVD CD ที่ติดรถมาจากโรงงาน เมื่อเล่นแผ่นแท้ผ่านระบบเสียง 8 แชนแนล กำลังขับ 296 วัตต์ เสียงเพลงจากแผ่น CD ที่ออกมาจากลำโพงทั้งสิบตำแหน่งนั้นถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้เลยทีเดียว






โดยทั่วไป ซีดานหรูขนาดกลางรุ่น ES ตำแหน่งของเบาะผู้ขับขี่หมายถึงการเป็นจุดศูนย์กลางเพื่อควบคุมอุปกรณ์และให้ความรู้สึกที่ดี แต่ใน Lexus New ES300h เบาะทุกตำแหน่งโดยเฉพาะเบาะผู้โดยสารตอนหลัง สามารถใช้เป็นจุดศูนย์กลางในการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ เช่น การควบคุมแยกส่วนสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง Real Seat Controller ใช้ควบคุมปรับอุณหภูมิ และระดับความแรงของพัดลมแอร์บริเวณผู้โดยสารตอนหลัง ควบคุมระบบให้ความบันเทิงเริงรมย์ เช่น การเปลี่ยนคลื่นวิทยุ หรือเลือกเล่นเพลงจากอุปกรณ์เสริมต่างๆ การออกแบบที่คำนึงถึงความสะดวกสบายในทุกๆ ตำแหน่งของการนั่ง ช่วยทำให้เกิดความผ่อนคลาย และสามารถนั่งโดยสารหรือขับขี่ในระยะทางไกลๆ ได้ดี ซีดานหรูขนาดกลางของ Lexus คันนี้ มีการใส่หรือจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ เท่าท่ีจำเป็น แนวคิดที่คนเป็นจุดศูนย์กลางของการใช้งานอุปกรณ์ การอ่านค่า และการกดหรือหมุนปุ่มควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ มีความง่ายและไม่รกรุงรัง อุปกรณ์ภายในทุกชิ้นถูกคำนวณจัดวางและคัดเลือกวัสดุมาเป็นอย่างดี แต่ชุดควบคุมการสั่งการ หรือ Remote Touch Interface แม้จะออกแบบให้มีความง่ายในการเข้าสู่เมนูผ่านการมองไปยังจอมอนิเตอร์ หรือจอแสดงผลแบบมัลติฟังก์ชันขนาด 8 นิ้ว แต่การใช้งานยังคงเป็นรองรถยุโรปคู่แข่ง สำหรับเทคโนโลยีการควบคุมจอภาพของ Lexus ออกแบบมาให้ใช้งานเพียงแค่ใช้การสัมผัสเบาๆ ไปที่แป้นควบคุมระบบสัมผัส ที่จะเข้าหรือออกไปยังเมนูต่างๆ สำหรับการตั้งค่าอุปกรณ์ หรือค่าของการทำงานในระบบต่างๆ ของตัวรถ



วิศวกรในหน่วยงานที่รับผิดชอบระบบขับเคลื่อนหรือ powertrain ของค่ายหัวลูกศร ได้ทำการคิดค้นเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.5 ลิตร ที่มีระบบการทำงานในด้านอัตราส่วนของกำลังอัดที่เพิ่มขึ้น ตามด้วยแรงม้ากับแรงบิดที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงลดลงตามไปด้วย เครื่องยนต์รุ่นใหม่นี้มีจังหวะการทำงานของกระบอกสูบ ด้วยการออกแบบให้ลูกสูบที่อยู่ในตำแหน่งอัด สามารถเลื่อนจากจุดต่ำสุดของกระบอกสูบ ขึ้นสู่จุดสูงสุดด้วยระยะที่สั้นลงกว่าเดิม การทำงานที่สั้นลงของเครื่องยนต์ จึงสามารถสร้างกำลังจากจังหวะอัด ที่มีความต่อเนื่องไปยังจังหวะระเบิดได้เร็วขึ้น เครื่องยนต์ดังกล่าวรู้จักกันดีในชื่อ Atkinson Cycle ซึ่ง Lexus พยายามต่อยอดระบบการทำงานแบบเดิมๆ ของเครื่องยนต์ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการพัฒนาให้ช่วงชักขึ้นของลูกสูบสั้นลง การเพิ่มกลไกระหว่างก้านสูบ กับเพลาข้อเหวี่ยง ผลลัพธ์ที่ได้คือ อัตราส่วนกำลังอัดเพิ่มขึ้นตามมาด้วยตัวแปรในค่าของแรงม้า กับแรงบิดที่สูงขึ้น หลังจากทดสอบจนมั่นใจในระบบการทำงานที่ดีขึ้น ทั้งในเรื่องของอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ลดลง ความแข็งแกร่งทนทานของลูกสูบในกระบอกสูบ เทียบเท่าเครื่องยนต์แบบปกติ รวมถึงแรงบิดที่เพิ่มขึ้น ทำให้เครื่องยนต์เบนซินแบบ Atkinson Cycle รุ่นใหม่ ความจุ 2.5 ลิตร มีประสิทธิภาพมากพอที่จะนำไปวางลงในรถยนต์ซีดานขนาดกลางรุ่น Hybrid อย่าง New Camry 2.5 HV Premium Hybrid รวมถึง Lexus New ES300h เพื่อทำงานประสานไปกับระบบมอเตอร์ไฟฟ้า โดยมุ่งเน้นไปที่การประหยัดเชื้อเพลิง รวมถึงการคายมลพิษที่ลดลงมาก


Lexus ES300h เป็นรถยนต์ประหยัดพลังงานที่มีส่วนช่วยในการลดปัญหาเรื่องมลภาวะและปัญหาโลกร้อน โดยเฉพาะการลดปริมาณก๊าซ Co2 ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญและเป็นตัวการที่ทำให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น นอกจากนั้น วิศวกรของ Lexus ยังได้คิดค้นระบบ Series Parallel Hybrid System II ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล่าสุดในรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ลูกผสม ระบบดังกล่าว ใช้ทั้งกำลังของเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงกับพลังงานในรูปของแรงบิดจากการหมุนของมอเตอร์ไฟฟ้าที่ได้กระแสไฟฟ้ามาจากแบตเตอรี่ ทั้งสองระบบจะทำงานประสานกันตลอดเวลา ในระหว่างการใช้งาน ซึ่งจะช่วยในเรื่องของการประหยัดเชื้อเพลิงและลดการปล่อยมลพิษ ขณะเดียวกัน ประสิทธิภาพและสมรรถนะยังเหนือกว่ารถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปแต่เพียงอย่างเดียวในด้านความประหยัดที่ดีขึ้นและการปล่อยมลพิษที่ต่ำลง เมื่อเริ่มต้นขับเคลื่อนตัวรถ ระบบ Hybrid จะใช้มอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งทำงานด้วยพลังงานจากแบตเตอรี่โดยตรง ขณะเดียวกันเครื่องยนต์ยังคงไม่ทำงาน พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าสามารถให้แรงบิดสูงๆ ตั้งแต่เริ่มออกตัว จึงส่งผลดีในเรื่องของความนิ่มนวลและต่อเนื่อง ในการใช้งานภายในเมืองที่ต้องวิ่งๆ หยุดๆ อยู่ตลอดเวลา

ในสภาพการขับขี่แบบปกติโดยใช้ความเร็วคงที่สำหรับการเดินทางไกล เครื่องยนต์ L4 2.5L รหัส A25A-FXS VVT-iE ที่มีแรงม้า 178 ตัว กับแรงบิด 221 นิวตันเมตร จะทำงานร่วมกันระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้าแบบแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnet Sychronous Motor) กำลัง 120 แรงม้า 88 กิโลวัตต์ ชุดมอเตอร์ประกอบไปด้วย มอเตอร์ เจเนเรเตอร์ MG1 เพื่อสร้างกระแสไฟฟ้าประจุเข้าสู่แบตเตอรี่ และส่งกระแสไฟดังกล่าวไปยังมอเตอร์ขับเคลื่อนหรือ MG2 โดยยังทำหน้าที่เป็นมอเตอร์สตาร์ตให้กับเครื่องยนต์อีกด้วย พลังงานส่วนเกินที่ไม่ได้ใช้ จะถูกแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าเพื่อประจุเข้าสู่แบตเตอรี่ ในการหมุนเวียนพลังงานอย่างมีคุณภาพ เมื่อผู้ขับขี่เร่งเครื่องยนต์ในทางที่ลาดชัน หรือกดคันเร่งเพื่อแซงรถช้า พลังงานจากแบตเตอรี่ที่เก็บอยู่ จะถูกส่งไปยังมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อช่วยเสริมในส่วนของการขับเคลื่อน ช่วยทำให้ตัวรถมีกำลังที่มากขึ้น จากการทำงานที่พร้อมเพรียงกันของระบบทั้งสอง ในขั้นตอนของการลดความเร็วหรือแม้แต่การเบรก เครื่องยนต์จะหยุดทำงาน โดยจะเหลือการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าไปในตัว และทำการเปลี่ยนพลังงานจลน์ที่ได้จากการเบรก หรือจากล้อที่หมุนเวียนไปเป็นพลังงานไฟฟ้า เพื่อประจุเข้าสู่แบตเตอรี่อีกครั้ง เมื่อตัวรถหยุดนิ่งในขณะที่จอดเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะหยุดทำงานทันที โดยเหลือเพียงระบบปรับอากาศที่ยังคงทำงานอยู่ โดยรับเอาพลังงานมาจากแบตเตอรี่


ขุมกำลังเบนซินแถวเรียงแบบ 4 กระบอกสูบ รหัส A25A-FXS VVT-iE ดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาร์ป DOHC 16 วาล์ว 2,487 ซีซี มีความกว้างกระบอกสูบ 8705 มิลลิเมตร ช่วงชัก 103.4 มิลลิเมตร อัตตาส่วนกำลังอัด 14.0:1 บล็อกเครื่องยนต์ทำจากอะลูมิเนียม ระบบจุดระเบิด Direct Injection D-4S ฝาสูบ Atkinson Cycle ระบบจ่ายเชื้อเพลิงใช้หัวฉีด EFI (Electronics Fuel Injection) พร้อมระบบแปรผันวาล์ว ทั้งแบบ VVT-iE ควบคุมด้วยมอเตอร์ พร้อมกลไก VVT-iE (Variable Valve Timing-intelligence) กำลังสูงสุด 178 แรงม้าที่ 5,700 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดของเครื่องยนต์ 2.5 ลิตรอยู่ที่ 221 นิวตันเมตร ในย่าน 3,600-5,200 รอบต่อนาที ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Sychronous Motor มีกำลัง 120 แรงม้า หรือ 88 กิโลวัตต์ เมื่อควบรวมทั้งสองระบบจะทำให้ ES300h มีกำลัง 218 แรงม้า หรือ 160 กิโลวัตต์ แบตเตอรี่ Ni-MH (Nickel-Metal Hydride) ชุดแบตฯ มี 34 โมดูล 204 เซลส์ ให้แรงดันไฟฟ้า 245 โวลต์ ความจุกระแสไฟฟ้า 6.5 แอมป์ 3 ชั่วโมง ตัวเลขสมรรถนะจากโรงงาน อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 8.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง



ระบบส่งกำลังยังใช้เกียร์อัตโนมัติ E-CVT แบบสายพานพูเลย์ ฝังมอเตอร์ไฟฟ้า MG1 และ MG2 อยู่ภายใน แป้นเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย Paddle Shift พร้อมโหมดขับเคลื่อนให้เลือกทั้ง ECO เน้นการขับประหยัด Normal การขับขี่แบบปกติ และ Sport เครื่องยนต์บวกมอเตอร์ตอบสนองดีขึ้น ระบบห้ามล้อใช้ดิสเบรกทั้งสี่ล้อ จานหน้ามีช่องระบายความร้อน ระบบรองรับด้านหน้าแบบอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท สปริง โช้คอัพแบบพิเศษ AVS Adaptive Variable Suspension โช้คไฟฟ้ามีกลไกของระบบวาว์ลภายในที่ปรับให้สอดรับกับการขับขี่ในขณะนั้น รวมถึงเหล็กกันโคลงเส้นเขื่องเพื่อปรับให้แชสซีมีความนิ่งและนิ่มนวล ด้านหลังแบบดับเบิ้ลวิชโบนปีกนกคู่ พร้อมโช้คอัพแบบไฟฟ้าแบบพิเศษ AVS ล้ออัลลอยห่อรัดด้วยยาง dunlop sp sport MAXX050 ไซส์ 235/40R19 96Y





การควบคุมพวงมาลัยไฟฟ้าบังคับทิศทางไปตามช่องทางจราจรในกรุงเทพมหานคร ไซส์ตัวถังขนาดกลางที่ไม่ใหญ่โตหรือยาวเหยียดจนเกินไป ทำให้รู้สึกถึงความง่ายในการบังคับพวงมาลัยเปลี่ยนทิศทาง ความเร็วต่ำใน Eco Mode ยังทำให้ระบบ Hybrid ของ ES300h F Sport ทำงานอย่างต่อเนื่อง เมื่อแบตเตอรี่ยังคงมีประจุไฟฟ้าอยู่เกือบเต็ม ที่ย่านความเร็วต่ำแบบคลานไปตามกระแสจราจรในเขตเมืองชั้นใน พวงมาลัยให้ความรู้สึกเบาในการบังคับควบคุม ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าในระบบขับเคลื่อน Hybrid จะเข้ามารับหน้าที่ที่ย่านความเร็วต่ำแทนเครื่องยนต์ เจ้า ES300h วิ่งได้เงียบเชียบราวกับไร้เครื่องยนต์ และเมื่อติดสัญญาณไฟจราจร ระบบ Auto Start/Stop จะสั่งดับเครื่องยนต์ทันทีจนกว่าผู้ขับจะถอนเท้าออกจากแป้นเบรก เครื่องยนต์ A25A-FXS เป็นขุมกำลังรุ่นเดียวกับ New Camry 2.5 HV Premium จะติดตัวเองอย่างรวดเร็ว หากคุณออกตัวด้วยความรุนแรงหรือระบบ Hybrid ตรวจพบว่ากระแสไฟในแบตเตอรี่เริ่มเหลือน้อยลงเครื่องยนต์ก็จะเริ่มต้นการทำงานแบบเงียบเชียบไร้แรงสั่นสะเทือน ซึ่งเป็นจุดเด่นของ Lexus ทุกรุ่นที่ติดตั้งระบบไฮบริด





Lexus ทุกรุ่นเป็นรถที่มีการเก็บเสียงดีติดอันดับต้นๆ ของวงการยนตรกรรม ในเมืองที่มีสภาพการจราจรแออัดและเต็มไปด้วยฝุ่นควัน ในห้องโดยสารที่ปิดผนึกมาเป็นอย่างดีจะทำให้คุณรู้สึกสงบ และมีสมาธิในการควบคุมรถมากยิ่งขึ้น ความเงียบภายในห้องโดยสาร เกิดจากวัสดุป้องกันเสียงแปลกปลอมที่กำลังรับหน้าที่เป็นฉนวนป้องกันเสียงที่ไม่พึงประสงค์ ไม่ให้ลอดเข้ามาสร้างความรู้สึกไม่สบายหู หากคุณไม่เปิดเครื่องเสียง และวิ่งที่ความเร็วต่ำด้วยโหมดประหยัด ความเงียบของห้องโดยสารกับมิติที่ค่อนข้างกว้างขวางโอ่โถงของ New ES300h จะทำให้คุณเริ่มเหงาได้เลยทีเดียว




มันดีตรงที่ความไหลลื่นของชุดส่งกำลัง คุณและครอบครัวจะโลดแล่นไปอย่างนิ่มนวล ใน ES300h รุ่นใหม่ ภายในห้องโดยสารรายล้อมด้วยของหรูๆ ประดับประดาอย่างสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นแดชบอร์ดคอนโซลที่เต็มไปด้วยรายละเอียด เบาะหนังสีน้ำตาลนุ่มราวกับเบาะชั้นดีของ BMW 7-Series พัดลมภายในตัวเบาะเป่าไอเย็นจากระบบปรับอากาศสวนทางกับอุณหภูมิภายนอกช่วงต้นฤดูหนาวของประเทศไทย ที่ร้อนเหมือนเตาย่างปลาหมึก ห้องโดยสารและตำแหน่งของการนั่งขับสร้างความรู้สึกสมดุลที่ทำให้การควบคุมซาลูนหรูคันน้ีมีความง่ายดายคล้าย New Camry แต่หรูกว่าหลายเท่า พวงมาลัยไฟฟ้าเมื่อขับบนไฮเวย์แถบวังมะนาวไปยังแยกบายพาสปราณบุรีให้ความรู้สึกกระชับและเที่ยงตรง กลบเกลื่อนความเป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้าจนแทบจะไม่รู้สึกว่ามันแตกต่างไปจากรถขับหลัง หากไม่อัดเข้าโค้งแรงๆ การทรงตัวในโค้งดีเยี่ยมจนยากที่จะอธิบายออกมาเป็นตัวอักษร ชุดบังคับเลี้ยวที่ได้รับการปรับตั้งมาเป็นอย่างดีด้วยความใส่ใจในรายละเอียด ที่จะแปรเปลี่ยนมาเป็นสัมผัสหลังวงพวงมาลัยนั้นกลายเป็นจุดเด่นที่สามารถเอาชนะรถยุโรปชั้นดีอย่าง E-Class และ Series-5 ได้อยู่เหมือนกัน






ES รุ่นใหม่เป็นการนำเอาสิ่งดีๆ ของ GS มาใส่ไว้เกือบทั้งหมดยกเว้นระบบขับเคลื่อนที่ยังคงยึดโยงกับการขับเคลื่อนด้วยล้อหน้า ตัวถังที่สวยงามในสี Nebula Gray Pearl ตัดกับสีครามของน้ำทะเลในแถบปราณบุรีอย่างงดงาม ช่วงล่างเกาะถนนดีมาก สื่อหลายสำนักซึ่งทำหน้าที่รีวิวไปก่อนนี้ ถึงกับเอ่ยปากชมถึงการถ่ายเทน้ำหนักและสัมผัสของพวงมาลัยขณะขับเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ซึ่งมันก็ทำได้จริงแบบที่ว่าไว้ไม่มีผิดเพี้ยน เป็นช่วงล่างที่ภรรยาผมบอกว่านั่งได้สบายดีมากและมีอาการโคลงน้อยเมื่อวิ่งผ่านผิวถนนขุรขระ โหมด Normal ให้ความรู้สึกสบายกับการตอบสนองที่เร็วขึ้นมาจากโหมดประหยัดแค่นิดเดียว เวลาเลี้ยวโค้งเร็วๆ แทบจะไม่รู้สึกถึงน้ำหนัก 1.7 ตัน เนื่องจากทั้งแชสซีและระบบรองรับรวมถึงชุดบังคับเลี้ยวรับหน้าที่นั้นไปเต็มๆ ทำให้ควบคุมผ่านโค้งด้วยความเร็วที่มากกว่ารถขับหน้าทุกรุ่นที่ผมเคยขับไม่เว้นแม้แต่ New Camry ที่ว่าดีแล้วแต่หมอนี่ทำได้ดีกว่าเห็นๆ!





อุปกรณ์แยกกำลัง Power Split Device ของ ES300h ผสานการทำงานของเครื่องยนต์ มอเตอร์ไฟฟ้า และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า หน่วยควบคุมไฟฟ้า Power Control Unit เป็นกล่องอะลูมิเนียมสีดำหน้าตาเหมือนกับ New Camry Hybrid ทำหน้าที่ควบคุมไฟฟ้ากระแสตรงจากแบตเตอรี่ และกระแสไฟฟ้าสลับจากมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องกำเนิดไฟฟ้าให้ทำงานได้อย่างเหมาะสม พร้อมกับขยายกำลังไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ได้สูง 650 โวลต์ แบตเตอรี่ Hybrid Ni-MH Nickel-Metal Hydride กับโหมดการขับเคลื่อนสามรูปแบบ เช่น Sport Mode ระบบจะผสานกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร เพื่อการตอบสนองต่อการเร่งความเร็ว ECO Mode ระบบจะเลือกใช้กำลังในการขับเคลื่อนจากมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ให้มีความเหมาะสม โดยคำนึงถึงการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า EV Mode ระบบจะจ่ายกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนแต่เพียงอย่างเดียว โดยตัดการทำงานของเครื่องยนต์ (ที่ความเร็วต่ำระยะทางประมาณ 4-6 กิโลเมตร) เมื่อเจอกับถนนโล่งๆ ผมเปลี่ยนมาเป็นโหมดขับเคลื่อนแบบ Sport โดยบิดปุ่มควบคุมการขับขี่ไปยัง Sport Mode ที่ย้ายไปอยู่ข้างกล่องของมาตรวัด หน้าปัดที่แสดงผลสีฟ้าจะเปลี่ยนมาเป็นสีแดงเพื่อแสดงให้คนขับรู้ว่ากำลังคาอยู่ในโหมดสูงสุด







คันเร่งไฟฟ้าในโหมด Sport บน ES300h ตอบสนองไปตามซอฟต์แวร์ที่ได้โปรแกรมเอาไว้ คันเร่งตอบสนองได้ดีขึ้นผิดหูผิดตา จากโหมด Eco ที่ให้ความรู้สึกยืดหยุ่นออกย้วยๆ รวมถึงพวงมาลัยไฟฟ้าในโหมดสูงสุดของ ES300h ที่โดนหน่วงน้ำหนักให้มีความหนักแน่นเพิ่มขึ้นอีกนิด พวงมาลัยไฟฟ้าให้ความรู้สึกเปลี่ยนไปทันที เมื่อคุณเปลี่ยนโหมดขับเคลื่อนมาสู่โหมดสูงสุด เกียร์ E-CVT แบบสายพานพูเลย์พยายามผลักดันตัวเองอย่างเต็มที่ เพื่อเชื่อมโยงกับโหมด Sport แม้จะทำได้ไม่ค่อยเต็มที่เต็มทางเท่าไรนัก แต่อย่างน้อย ความรู้สึกหลังการควบคุมกำลังบอกผมว่าเกียร์ในระบบขับเคลื่อนแบบ Hybrid ของ Lexus ถึงแม้จะเป็นเกียร์พูเล่ย์สายพาน แต่การทดกำลังในโหมดสูงสุดทำได้ใกล้เคียงกับประสิทธิภาพของเกียร์เฟืองแบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์ รอบเครื่องยนต์ตวัดขึ้น-ลงอย่างรวดเร็วไปตามแรงของฝ่าเท้าที่กดลงไป ความเร็วไหลขึ้นอย่างต่อเนื่องในแบบที่ควรจะเป็น Hybrid ของ Lexus นอกจากจะมีความประหยัดแล้ว มันยังแฝงความสปอร์ตเอาไว้ให้ใช้งาน เมื่อคุณต้องการขับมันบนไฮเวย์ให้เร็วยิ่งขึ้น ช่วงล่างและแชสซีใหม่ทำงานได้ดีด้วยการส่งถ่ายความมั่นคงหนักแน่น น้ำหนักตัว 1.7 ตัน ทำให้มันมีความเสถียรไม่แตกต่างไปจาก Benz E-Class E300e Plug in Hybrid หรือแม้แต่ 530e LCI Plug in Hybrid ของแบรนด์ตราใบพัด แรงม้าและแรงบิดของ ES300h ยังคงเป็นรองคู่แข่งจากเยอรมนีอยู่ค่อนข้างห่าง ยกเว้นอัตราสิ้นเปลืองที่ดีกว่ารถเสียบปลั๊กชาร์จของแดนไส้กรอก การรับประกันอายุการใช้งานของแบตฯ ยาว 10 ปี บวกกับความแข็งแรงทนทานของระบบไฮบริดจากค่าย Lexus ทำให้ไม่ต้องมานั่งกังวลว่ามันจะจุกจิกนอนอู่มากกว่านอนบ้าน เป็นอีกหนึ่งจุดที่ดีงาม และทำให้อยากได้ไว้ขับไปทำงานสักคันนึงเหมือนกัน ติดอยู่แค่ราคา 4.3 ล้านบาทเท่านั้นเอง






ระบบขับเคลื่อนด้วยล้อคู่หน้าของ ES300h บนแชสซีใหม่นั้นดีขึ้นมาก เครื่องยนต์ที่วางตามขวางพร้อมกลไกการขับเคลื่อนด้วยล้อหน้า ไม่สร้างภารกรรมให้กับการกระจายน้ำหนัก รวมถึงการเบรกในย่านความเร็วสูง แป้นเบรกแบบสะสมพลังงานของระบบไฮบริดต้องกดกันลึกนิดนึง แต่ให้สัมผัสของระยะแป้นดีกว่าเดิม เมื่อคาร์ลิปเปอร์ทำงานจับกับจานเบรก การลดความเร็วด้วยการใช้เบรกใน ES300h ก็จะเหมือนกับการเบรกในซีดานหรูขับเคลื่อนล้อหน้าทั่วไป ระบบสะสมพลังงานจากการเบรกอาจทำให้คุณรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง การถ่ายเทน้ำหนักในโค้ง เนื่องจากเป็นรถซีดานขนาดกลางที่เน้นความหรูหราพร้อมแชสซีใหม่เอี่ยมถอดด้าม GA-K หรือ Global Architecture-K Platform อาการที่ออกมาในโค้งจึงเป็นไปด้วยความนิ่มนวลหากขับเข้าโค้งด้วยความเร็วที่เกินกับสภาพของโค้งนิดๆ ช่วงล่างหน้าและหลังตอบสนองต่อการหมุนพวงมาลัยไปตามทางโค้งได้ดีน่าประทับใจ ความหนักแน่นของช่วงล่างใน Lexus รุ่นใหม่ ช่วยทำให้การขับเข้าโค้งด้วยความเร็วมีอาการที่มั่นคง ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าท่ีเหมือนกับรุ่น UX250h ใช้ช่วงล่างด้านหน้าแบบ MacPherson struts with inversely wound coil springs, gas-pressurized shock absorbers and stabilizer bar กับช่วงล่างหลัง double wishbone สร้างความมั่นใจเมื่อขับด้วยความเร็วสูง ย่าน 140-160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ES Hybrid ก็ยังออกอาการนิ่งและมั่นคงจนความเร็วทะลุ 180 ไปแบบไม่รู้สึกตัว ตัวซับแรงกระแทกประสิทธิภาพสูง





ES F SPORT ติดตั้งโช้คอัพสมรรถนะสูงทั้งคู่หน้าและหลังเพื่อเพิ่มความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างรถและผู้ขับ โดยโช้คอัพจะดูดซับการบิดตัวของรถอย่างรวดเร็วพร้อมลดการสั่นสะเทือนแม้ในระดับที่น้อยที่สุด เพื่อให้การควบคุมพวงมาลัยเป็นไปอย่างเฉียบคม รวดเร็วพร้อมทั้งเพิ่มความสบายและความเงียบให้ห้องโดยสาร ระบบช่วงล่างอัจฉริยะ AVS adaptive variable suspension system โช้คอัพไฟฟ้า ปรับจูนมาเป็นพิเศษ ระบบจะปรับการทำงานไปตามสภาวะการขับที่แตกต่างกัน เพื่อเน้นความราบรื่นและนุ่มนวล โช้คอัพควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า ซึ่งปรับระดับโดยอัตโนมัติ ตามการขับเคลื่อนของรถ ทำหน้าที่ลดแรงสั่นสะเทือน ทำให้ ES รุ่นนี้ ขับได้ราบเรียบและนุ่มนวลแม้บนถนนขรุขระ นอกจากนั้นยังช่วยให้การควบคุมพวงมาลัยเฉียบคมและช่วยเพิ่มเสถียรภาพให้ตัวรถ นั่งสบายขึ้นกว่าเดิม และในขณะเข้าโค้งระบบจะรักษาระดับความสูงของพื้นรถให้เป็นไปตามธรรมชาติ เพื่อให้ความรู้สึกในการขับขี่อย่างเต็มสมรรถนะ สำหรับโหมดการขับ มีให้เลือกทั้ง Eco, Normal, Sport S/S+ และโหมด Custom ปรับแต่งได้เอง




ราคา 4.3 ล้านบาท ในรุ่นท็อป F Sport คุณจะได้รถซีดานขับหน้าหรูๆ ที่ไม่อยากให้คนขับรถมานั่งในตำแหน่งคนขับเพราะมันให้ความบันเทิงที่ปะปนกับมาดผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว การนั่งที่เบาะผู้โดยสารตอนหลัง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สบายสุดๆ ของยานยนต์ยี่ห้อ Lexus แล้วปล่อยให้คนขับจัดการทุกอย่างดูจะเป็นการเสียเงินโดยใช่เหตุ แต่เบาะหลังที่แสนสบายของ ES300h เหมาะกับการพักผ่อนยามเมื่อยล้าจากการประชุมแล้วใช้เวลาที่เหลืออ่านเอกสารการทำงาน จิบกาแฟ หรือเล่นเฟซบุ๊ก คุณจะได้ความประหยัดจากระบบ Hybrid ในระดับ 19 กิโลเมตรต่อลิตร บนพื้นที่ภายในที่กว้างน้องๆ Lexus LS500h รวมถึงความหรูหรามีระดับของรูปลักษณ์และอุปกรณ์ รถ ES300h ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริหารได้เป็นอย่างดี ระยะเวลาที่อยู่ร่วมกันนาน 7 วันกับสิ่งที่รถคายออกมา ทำให้รับรู้เลยว่าค่ายหัวลูกศรนั้นใช้ความพยายามอย่างหนักในการที่จะเข้าไปครองใจลูกค้าชาวไทยที่ยึดติด หรือนิยมใช้รถหรูแบรนด์เยอรมันมานานแสนนาน การที่จะเอาชนะรถจากแดนไส้กรอกให้ได้จากค่านิยมที่ฝังหัวนั้นยากเย็นแต่ ES300h ได้ผ่านจุดนั้นมาแล้ว ถ้าคุณต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนถนน นี่คือรถที่คู่ควรกับราคาค่าตัวมากที่สุด ลืมราคาค่าตัวแล้วมองไปที่การขับขี่ บริการหลังการขายและความคงทนไม่จุกจิกนั้น Lexus ทำได้ดีกว่าคู่แข่งเห็นๆ ครับ.
มิติและน้ำหนักรถ DIMENSION
ความยาวโดยรวม (มม.) Length (mm) 4,975
ความกว้างโดยรวม (มม.) Width (mm) 1,865
ความสูงโดยรวม (มม.) Height (mm) 1,445
ความยาวฐานล้อหน้า-หลัง (มม.) Wheelbase (mm) 2,870
ความกว้างฐานล้อ (หน้า) (มม.) Wheel Tread Front (mm) 1,600
ความกว้างฐานล้อ (หลัง) (มม.) Wheel Tread Rear (mm) 1,617
ปริมาตรห้องสัมภาระท้าย (ลิตร) Luggage Space (L) 473
น้ำหนักตัวถังรถ (กก.) Curb Weight (kg) 1,680 - 1,740
น้ำหนักสุทธิ (กก.) Gross Vehicle Weight (kg) 2,150
ความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิง (ลิตร) Fuel Tank Capacity (L) 50
ชนิดน้ำมันเชื้อเพลิง Fuel Type 91 or higher
เครื่องยนต์ และ มอเตอร์ไฮบริด ENGINE AND MOTOR GENERATOR (HV)
ประเภท Type (2AR-FSE) L-4 2.5L (VVT-iE intake, VVT-I exhaust)
ความจุกระบอกสูบ (ซีซี) Displacement (cc) 2,487
แรงบิดสูงสุด (นิวตันเมตร/รอบต่อนาที) Max. Torque (Nm/rpm) 221/3,600 - 5,200
ไฮบริดแบตเตอรี่ Hybrid Battery Nickel-Metal hydride
ประเภท Motor Type Permanent magnet synchronous motor
กำลังรวมทั้งระบบ (แรงม้า) Total System Output PS (KW) 218 (160)
สมรรถนะ PERFORMANCE
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. (วินาที) Acc. 0 - 100 km/hr (sec) 8.9
อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย
(กม./ลิตร) Fuel Consumption (Avg) (km/L) 23.2
มาตรฐานมลพิษ Emission Standard EURO 4
ค่าเฉลี่ยมลพิษ CO2 (กรัม/กม.) CO2 Emission (g/km) 100
โครงสร้างรถ CHASSIS
ระบบส่งกำลัง Transmission E-CVT
ระบบรองรับหน้า Front Suspension MacPherson Strut
ระบบรองรับหลัง Rear Suspension Double Wishbone
ระบบช่วงล่างไฟฟ้า Adaptive Variable Suspension (AVS)
ขนาดล้อและยาง Tire & Wheel Size 235/40R19 SM
F SPORT
อุปกรณ์ภายนอก EXTERIOR FEATURE
หลังคามูนรูฟ Moon Roof
ไฟส่องสว่าง Head Lamp Ultra Compact 3-LED Bi-LED
ไฟ Daytime Running Light LED Day Time Running Light
ระบบไฟส่องทางเข้า Illuminated Entry System
ระบบทำความสะอาดไฟหน้า Head Lamp Cleaner
ระบบปรับไฟหน้า สูง/ต่ำอัตโนมัติ Automatic High Beam System Adaptive (BladeScan) -
อุปกรณ์ภายใน INTERIOR FEATURE
ระบบปรับอากาศแบบแยกส่วน Auto Air conditioner with Pollen Filter 2-zone 3-zone 3-zone 3-zone
ระบบปรับสภาพอากาศภายในห้องโดยสารแบบ Nanoe-X
เบาะหุ้มหนัง Seat Cover Material F SPORT Synthetic
Leather
หัวเกียร์แบบหุ้มหนัง Shift Lever & Knob (Leather) Aluminum
พวงมาลัยหุ้มหนัง with F SPORT logo
ระบบปรับเบาะหน้าไฟฟ้าพร้อมปุ่มบันทึก 3 ตำแหน่ง
Electric Front Seat Adjuster with
3-Memory Slots 8-way D only (Mem) 10-way D:P (Mem.) 10-way D only (Mem) 10-way D only (Mem)
ปุ่มปรับดันหลังไฟฟ้าเบาะคู่หน้า Front Seat Lumbar Support D only 2Way D:P 4Way D: 4 way P: 2 way D: 4 way P: 2 way
ระบบระบายลมเบาะนั่งตอนหน้า Front Seat Ventilation
ม่านบังแดดหลังแบบไฟฟ้า Power Rear Sun Shade
ไฟเรืองแสงรอบห้องโดยสาร Ambient Lighting
ระบบการทำงาน OPERATION SYSTEM
ระบบปรับเลือกรูปแบบการขับขี่ Drive Mode Select System ECO/Normal/Sport/Sport+
พวงมาลัยปรับระดับ 4 ทิศทาง ด้วยไฟฟ้า Steering Column W/Memory
ระบบเครื่องเสียง Pioneer และเครื่องเล่น DVD Pioneer Speakers Audio with DVD Player
ระบบเชื่อมต่อแบบไร้สาย (Bluetooth)
จอแสดงผลการสั่งงานผ่านปุ่มควบคุมกลาง แบบระบบสัมผัส EMV (Electro Multi-Vision)
Touchscreen Display 12.3-inch
ระบบแผนที่นำทาง Navigation System
ระบบกระโปรงท้ายไฟฟ้า พร้อมระบบป้องกันการหนีบ Auto & Easy Closer Door W/Kick sensor
ระบบปรับเบาะและพวงมาลัยอัตโนมัติ เมื่อผู้ขับขี่ขึ้นลงจากรถ Easy & Access Power System
ระบบชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย Wireless Charger
ระบบ Apple CarPlay Apple CarPlay
ระบบจอแสดงผลบนกระจก Head Up Displa
ระบบความปลอดภัย
ถุงลมเสริมความปลอดภัย (ที่นั่งตอนหน้า)
ม่านถุงลมเสริมความปลอดภัยด้านข้าง
ถุงลมเสริมความปลอดภัยด้านข้าง (สำหรับที่นั่งตอนหน้าและตอนหลัง)
ถุงลมเสริมความปลอดภัย SRS บริเวณหัวเข่า (สำหรับที่นั่งตอนหน้า)
เข็มขัดนิรภัย ELR แบบ 3 จุด พร้อมตัวลดแรงดึง (สำหรับที่นั่งตอนหน้า)
เข็มขัดนิรภัย ELR แบบ 3 จุด พร้อมตัวลดแรงดึง (สำหรับที่นั่งตอนหลัง)
ระบบควบคุมการทรงตัวของรถ (VSC)
ระบบป้องกันการลื่นไถล (TRC+DSC)
ระบบเบรกแบบป้องกันล้อล็อก (ABS)
ระบบช่วยเบรก (BA+AGC)
ระบบกระจายแรงเบรกไฟฟ้า (EBD)
ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (Hill Start Assist)
ไฟเบรกฉุกเฉิน
ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติขณะถอยจอด
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ
ระบบป้องกันการโจรกรรมแบบ Immobilizer พร้อมสัญญาณเตือนอัตโนมัติ
ระบบช่วยเปลี่ยนเลน พร้อมสัญญาณเตือนมุมอับสายตา (BSM)
สัญญาณเตือนด้านท้ายขณะถอยหลัง (RCTA)
ระบบป้องกันก่อนการชน
ระบบช่วยเตือนการออกนอกเลนพร้อมระบบสั่นเตือนที่พวงมาลัย
ระบบช่วยจอดพร้อมจอแสดงภาพด้านหลัง และเซนเซอร์กะระยะ
กุญแจแบบการ์ด (Card Key)