นานมาแล้วที่รถเปิดหลังคาได้รับความนิยมในกลุ่มนักขับที่ชอบสายลมและแสงแดด สมัยก่อน ถนนหนทางไม่ค่อยจะได้เรื่อง รถก็มีกำลังไม่มาก โดยเฉพาะรถสปอร์ตถ้ามีเรี่ยวแรงเกิน 300 แรงม้าก็จะกลายเป็นซุปเปอร์คาร์ อย่าง Lamborghini Miura ส่วนโรสเตอร์ดีๆ อย่าง Jaguar XK140 หรือสุดหล่ออย่าง E Type Roadster ก็มีกำลังแค่ 180-210 แรงม้าเท่านั้นเอง ความนิยมในรถเปิดประทุนสองที่นั่ง เริ่มซบเซาลงไปเรื่อยๆ จากการแพร่ระบาดของรถเอสยูวีที่มีความอเนกประสงค์มากกว่า รถขับเล่นอย่างโรสเตอร์สองที่นั่ง หลังยุคของ Alfa Romeo Duetto Boat tail กลายเป็นรถเปิดหลังคามียอดขายที่ซบเซาลงไปมาก แต่การมาถึงของ Mazda MX-5 ในปี 1989 ซึ่งถือเป็นการจุดประกายการฟื้นคืนชีพของรถสปอร์ตเปิดประทุน กระแสความนิยมในรถโรสเตอร์ก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง ทุกวันนี้ โรสเตอร์ขนานแท้นั้นสูญพันธุ์ไปนานแล้ว จากปัญหาชิ้นส่วนที่เริ่มเสื่อมสภาพ พวกท่อยาง อาการบิดตัวของแชสซี หรือผ้าหลังคาที่มักจะก่อปัญหาขณะนำกลับมาใช้งาน
...
...
...
รถที่ได้รับความสนใจจากนักเลงรถคลาสสิกโดยเฉพาะรถเปิดประทุน นอกจากเจ้า MX-5 ที่มีให้เลือกถึง 4 เจเนอเรชันแล้ว ก็ยังมี Z3 e36/7 และ Z4 e85/89 ทางฝั่งตราดาวก็มี SLK ไล่จาก R170 ที่หาสภาพเดิมๆ ได้ยากเต็มทน เนื่องจากมันผ่านเวลามาเกือบจะ 30 ปีแล้ว ส่วน SLK R171 ก็ดูอวกาศเกินไปในด้านหน้าตา ทำให้มันเป็นโรสเตอร์ที่เหมาะกับพวกวัยรุ่นมากกว่า สำหรับ R172 ที่ยุติสายการผลิตไปเมื่อสามปีก่อนทำให้ SLC กลายเป็นรถเปิดหลังคาสองที่นั่งที่น่าเก็บสะสม ทางด้านแบรนด์ 4 ห่วง Audi ก็คิดค้นรถเปิดประทุนสองที่นั่งที่มีรูปแบบแหวกแนวสุดๆ รถ TT รุ่นแรกของ Audi ที่เผยโฉมในงานแสดงรถยนต์ IAA Frankfurt motor show ปี 1995 ยังมีการขับที่ไม่ค่อยดีเท่าที่ควร หลังจากการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เจเนอเรชันที่ 2 ของ TT ก็เริ่มออกวาดลวดลายและเข้าไปอยู่ในใจคนที่รักรถเปิดหลังคา ต่อมา ในปี 1996 การมาถึงของ Boxster รุ่นแรกสุดกับไฟหน้าแบบไข่ดาวเมื่อกว่า 25 ปีก่อน ทำให้วงการรถเปิดประทุนคึกคักมากกว่าเดิม หลังจากพัฒนาจนเกือบจะสุดทาง Porsche ก็เปิดตัวรถสปอร์ตสองที่นั่งหลังคาผ้าใบรุ่น 718 จากนั้น เจ้ากบเล็กไร้หลังคาก็กลายเป็นรถสปอร์ตขายดีตามรถรุ่นพี่อย่าง 911 Cabriolet ทางฝั่ง BMW ก็สร้าง Z1 ออกมาขายด้วยจำนวนเพียงน้อยนิดแค่ 8,000 คัน เป็นการชิมลางในตลาดรถสปอร์ตเปิดประทุน ที่มักจะได้แต่กล่องมากกว่าได้เงิน เมื่อเห็นว่าพอไปได้ BMW Group ก็ลองเชิงต่อเนื่องด้วยการดัน Z3 e36/7 ให้เป็นรถคู่ใจคันใหม่ของเจมส์บอนด์ 007
...
Z3 e36/7 เป็นรถเปิดประทุนที่มีเส้นสายเพรียวบาง และเป็นเครื่องมือในการเดินทางที่น่าพึงพอใจสำหรับ 007 ในระหว่างภารกิจลับ ด้วยเส้นสายที่สง่างาม รูปลักษณ์ที่หล่อเหลาซึ่งเข้ากับสไตล์ของบอนด์ได้อย่างลงตัว น่าเสียดายที่ Z3 Roadster ถูกเปิดเผยเพียงเล็กน้อยในภาพยนตร์ 007 ตอน Goldeneye มันถูกใช้แค่แวบเดียวเท่านั้นในฉากวิ่งเรียบทะเลแถบแคริบเบียน เพื่อส่งบอนด์และนาตาเลียไปยังเครื่องบินเล็กซึ่งจะขนส่งกระเป๋าลับไปยังคิวบา เพื่อทำลายสำนักงานใหญ่ของเทรวาล คุณจะเห็นได้ว่า 007 ไม่เต็มใจมอบกุญแจ Z3 รุ่นใหม่ ที่ยังไม่ออกขายในขณะนั้นให้แจ็ค เวด CIA ตัวพ่อที่ประสานการทำงานร่วมกับบอนด์ ผู้ซึ่งให้คำมั่นสัญญาที่ไม่จริงใจว่า เขาจะไม่สนุกกับมันมากจนเกินไป หลังจาก 007 เตือนว่า อย่าแตะต้องปุ่มใดๆ ทั้งสิ้นขณะขับเจ้า Z ใหม่คันนี้... ดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า Z3 ที่ปรากฏตัวเป็นครั้งแรกในภาพยนตร์ 007 นานหลายเดือนก่อนจะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการต่อสาธารณชน มันคือแผนงานทางการตลาดที่แยบยล โมเดลที่ใช้คือ Z3 1.9 Roadster สี Atlanta Blue พร้อมการตกแต่งภายในด้วยสีเบจ ซึ่งปัจจุบัน Z3 คันดังกล่าว จอดอยู่ในพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการของพิพิธภัณฑ์ James Bond 007 ใน Nybro สวีเดน
BMW Z4 รหัส G29 Z รุ่นใหม่ล่าสุด นับเป็นรถสปอร์ตโรสเตอร์ที่สามารถไล่บี้กับ Porsche 718 Boxster / Audi TTRS หรือ SLC43AMG ได้อย่างไม่อายฟ้าดิน BMW Z4 M40i ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบ อัดอากาศด้วยเทอร์โบเดี่ยว TwinScroll จากการประคับประคองของเทคนิคใหม่ๆ ในเครื่องยนต์ที่ติดตั้งระบบอัดอากาศ BMW TwinPower Turbo ในขณะที่ Porsche 718 วางเครื่องสูบนอน Boxer แบบ 4 กระบอกสูบ พร้อมเทอร์โบเดี่ยวอีกหนึ่งตัวคอยบูสอากาศเข้าไปในท่อร่วมไอดี ดังนั้นก็อาจเป็นไปได้ว่า Z4 จะกลายเป็นรถสปอร์ตระดับราคา 4.99 ล้านบาทที่ดีที่สุด ซึ่งกำลังวางขายในไทยอยู่ ณ ปัจจุบัน BMW Z4 M40i เป็นรถสปอร์ตที่มีการพัฒนาร่วมกันกับ Toyota GR Supra แต่ทั้งสองแบรนด์ก็มีนโยบายที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน Toyota GR Supra จะมีแต่เวอร์ชันหลังคาแข็ง และ BMW Z4 G29 ก็จะมีแต่หลังคาผ้าใบ ความแตกต่างของรถทั้งสองแบรนด์ก็คือ เปลือกตัวถังภายนอกของ GR Supra ช่วงล่างแบบตายตัวปรับไม่ได้ งานตกแต่งภายใน ระบบเครื่องเสียง นอกนั้นเกือบจะเหมือนกันทุกอย่างแม้แต่ฟิลลิ่งหลังพวงมาลัยและเสียงท่อก็ยังเหมือนกัน จะเรียก GR Supra ว่าเป็น Z4 M Coupe ก็ยังได้!! ว่าแต่ทำไม BMW Group เลือกใช้หลังคาผ้าใบล่ะ ในเมื่อ Z4 E89 รุ่นก่อนเป็นหลังคาแข็งพับได้? คำตอบก็คือความเบาและเสียงของการทำงานในระหว่างเปิดหรือปิดหลังคานั่นเอง การย้อนกลับไปใช้หลังคาผ้าแบบเดียวกับ Z3 e36/7 ทำให้ Z4 G29 กลับคืนสู่จิตวิญญาณแท้ๆ ของรถโรสเตอร์อีกครั้ง ว่ากันไปนั่นเลยทีเดียว
Z4 G29 รุ่นใหม่ล่าสุด เมื่อกางหลังคาปิดจนเกือบจะสุดมีแค่เสียงการทำงานของมอเตอร์ดังเบาๆ กับการล็อกที่มีเสียงแกร็กให้ได้ยินนิดเดียวเท่านั้น หลังคาผ้าใบคล้ายกับ Z3 รุ่นเก่าแต่มีการพัฒนาใหม่ในด้านกลไกไฟฟ้าภายใน นอกจากให้ประโยชน์ในแง่น้ำหนักรถแล้ว ยังทำให้หลังคาเปิด/ปิดได้ไวมาก ผู้บริหารของ BMW ตัดสินใจหันไปใช้หลังคาแข็งพับเก็บได้กับ Z4 e89 เนื่องจากต้องการแข่งทำตลาดกับ SLK/ SLC มันจึงมีน้ำหนักที่เกินงาม ซึ่งไปบั่นทอนประสิทธิภาพการซิ่งพอสมควร มาถึง Z4 เจเนอเรชันล่าสุดต่างออกไปมาก มันมีรหัสตัวถังว่า G29 และวิ่งรอบสนาม Nurburgring ได้ภายใน 7 นาที 55 วินาที ซึ่งเร็วกว่า M2 Coupe เสียอีก แต่ยังช้ากว่า M2 Competition BMW Z4 M40i ทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ภายใน 4.6 วินาที ซึ่งเร็วพอๆ กับ M4 Convertible รหัส F82 กันเลยทีเดียว เมื่อกดปุ่มแล้วรอแค่ 10 วินาที Z4 G29 ก็สามารถแปลงร่างจากรถ Coupe เป็น Roadster ได้แล้ว เรียกได้ว่าเป็นรถเปิดประทุนที่มีการทำงานของหลังคาเร็วกว่าหลังคาแข็งพับได้ของรุ่นเดิมกว่าเท่าตัว หลังคาผ้าพร้อมกลไกลไฟฟ้าของมันยังสามารถเปิดหรือปิดขณะที่วิ่งด้วยความเร็วไม่เกิน 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่ว่าคุณจะกางหรือเก็บหลังคา Z4 ใหม่ก็มีพื้นที่เก็บสัมภาระให้เท่ากันคือ 265 ลิตร ในขณะที่ Z4 e89 รุ่นเดิมนั้น ถ้าปิดหลังคาจะมี 310 ลิตร แต่ถ้าเอาหลังคาลงจะเหลือแค่ 180 ลิตรเท่านั้น Z4 G29 มีตัวถังที่แข็งแรงมากสำหรับรถหลังคาเปิดแบบนี้ แชสซีไม่ค่อยแสดงอาการบิดตัวให้พบเมื่ออัดเข้าโค้งแรงๆ ความแข็งแรงของตัวถังส่งผลทั้งในเรื่องการซับแรงสะเทือน และในเรื่องการขับขี่ตอนบู๊ล้างผลาญ ดังนั้นไม่ว่าจะเลือกขับสไตล์ไหน Z4 ใหม่ก็เป็นรถที่พร้อมจะตอบสนองตามใจคุณได้ดีกว่ารุ่นเดิม
M40i นั้น มีเครื่องยนต์ B58 แบบเดียวกับใน M140i/M240i และ M340i/M440i ซึ่งเป็นเครื่อง 3.0 ลิตร Twinscroll Turbo ใน Z4 นี้ รุ่นปี 2018-19 จะมีกำลัง 340 แรงม้า (bhp) พอมาถึงปี 2021 แรงม้าของเครื่องยนต์ B58 B30 ถูกปรับขึ้นเป็น 381 แรงม้า ชุดอัดอากาศ มีเวสต์เกตควบคุมด้วยไฟฟ้า ที่ช่วยให้รถตอบสนองคันเร่งได้เร็ว พร้อมเสียงการทำงานของเครื่องยนต์ในรอบสูงที่ไพเราะเพราะพริ้งใช้ได้เลยทีเดียว เครื่องยนต์ 6 สูบเรียง วางตามยาว ขับเคลื่อนล้อหลัง ถูกปรับแต่งให้สามารถตอบสนองต่อเท้าที่หนักของคนขับที่ชอบไปเร็วๆ แต่การขับ Roadster ไร้หลังคา การไหลไปช้าๆ พร้อมดื่มด่ำกับวิวและบรรยากาศสองข้างทาง ดูจะเหมาะสมและปลอดภัยมากกว่า ตอนที่ BMW พัฒนาเครื่องตัวนี้ พวกช่างและวิศวกรตราใบพัดก็เอาเครื่องยนต์ 6 สูบนอน Boxer ของ Porsche มาเทียบวัดมาตรฐานด้วย แต่น่าเสียดายที่ Porsche เลิกขายเครื่องนี้ใน Cayman เหลือไว้แต่ Cayman รุ่นพิเศษจริงๆ เท่านั้นที่ได้ใช้
ระบบรองรับที่เคยแข็งโป๊กใน Z4 e89 รุ่น 35iS พอกลายร่างมาเป็นรถรุ่นใหม่ก็มีพัฒนาการที่ดีขึ้น (มาก) การตอบสนองของช่วงล่างนั้น ถูกปรับปรุงอย่างหนัก เพื่อทำให้มันขับได้ดีกว่า Z รุ่นพี่ ทีมวิศวกรวางตำแหน่งเครื่องยนต์ ให้ความยาว 2/3 ของตัวเครื่องอยู่หลังเส้นแนวแทร็กล้อหน้า ส่งผลให้ได้อัตราส่วนการกระจายน้ำหนัก 50:50 ระยะฐานล้อสั้นลงกว่า Z4 รุ่นเดิม แต่แทร็กล้อหน้ากว้างกว่าเดิมถึง 100 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวถังของ M40i อยู่ที่ 1,610 กิโลกรัม อีกนิดเดียวก็จะหนักเท่ากับ Series-5 รุ่น 520d อยู่แล้ว น้ำหนักส่วนหนึ่งเกิดจากความพยายามในการดามตัวถัง เพื่อต้านทานอาการบิดตัว ซึ่งก็ทำออกมาได้ดีจริง เครื่อง B58 ปรับมาดี ให้กำลังในรอบต่ำเพื่อการพุ่งทะยานออกตัว ช่วงรอบกลางๆ ก็ยังมีแรงฉุดลากมากพอที่จะแซงรถช้าแบบไม่ต้องมานั่งลุ้นกันให้เหนื่อยใจ เกียร์ ZF มีประสิทธิภาพด้านการทดกำลังทั้งไหลลื่นและทำงานโคตรไว โหมด Sport + เกียร์ 8 สปีดแสนรู้ราวกับมีวิศวกรระบบเกียร์เข้าไปนั่งอยู่ในนั้น มันจะลดเกียร์เบิ้ลรอบให้เองเมื่อคุณใช้เบรกหนักๆ หรือไหลขึ้นไปสู่เกียร์สูงอย่างรวดเร็วเมื่อใช้โหมดประหยัด เป็นระบบส่งกำลังที่ทำงานได้ตามสั่งและไม่มีความจำเป็นที่จะต้องดิ้นรนไปคบหากับเกียร์คลัตช์คู่ ซึ่งรถแรงอย่าง M3 M4 รุ่นใหม่ก็ยังหันมาใช้เกียร์ 8 สปีดกันแล้ว!
BMW Z4 M40i 2021 ยังคงใช้ล้อลาย M เหมือนเดิม ล้ออย่างสวย ขอบ 19 นิ้ว ห่อรัดด้วยยางสมรรถนะสูง Michelin รุ่น Pilot Super Sport เป็นยางรุ่นเดียวกับที่ใช้ใน M2/M3/M4 และยังใช้ส่วนผสม Compound ยางแบบเดียวกัน ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังเป็นแบบมัลติลิงก์ รุ่น M40i นี้จะได้โช้คอัพปรับความหนืดได้ Adaptive Dampers เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน มีเบรก M คาลิเปอร์สีฟ้า ที่อัปเกรดรับพลังสูงขึ้น เนื่องจากต้องหยุดยั้งแรงม้า 381 ตัวให้ว่านอนสอนง่าย ไม่พาไปฟาดเสาไฟหรือล่อเข้ากับท้ายของรถบรรทุก! คาลิเปอร์ M แบบ 4 พอตหน้า และซิงเกอร์พอตที่ล้อหลัง คาลิเปอร์เบรกพ่นสีฟ้าประทับตรา M อย่างสวย เฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปไฟฟ้า ซึ่งคล้ายกับการทำงานของเฟืองท้ายแจ่มๆ ใน BMW M5 ที่ถูกย่อส่วนลงมา ในส่วนของเฟืองทดกำลังออกแบบให้มีความแข็งแรง รองรับแรงบิดระดับ 500 นิวตันเมตรได้อย่างสบายๆ
จุดเด่นของ Z4 G29 รุ่น 30i และ M40i ก็คือพวงมาลัยที่มาดมั่น การจูนอัพชุดบังคับเลี้ยว พวงมาลัย BMW servotronic steering ช่วงล่าง Adaptive Suspension และเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิป M differential ให้ทำงานด้วยกันได้อย่างลงตัว แค่หักพวงมาลัย โช้คอัพหน้าก็จะปรับน้ำหนักเตรียมรับแรงเหวี่ยงแล้ว นอกจากนี้ ยังมีการปรับบาลานซ์ระหว่างโช้คอัพหน้ากับหลังตลอดเวลาที่ขับอีกด้วย และเมื่อเจอเข้ากับผิวถนนที่ไม่เรียบ ช่วงล่างของ Z4 M40i ก็ไม่ได้มีอาการกระด้างกระเดื่องจนนั่งไม่สบาย คุณสามารถขับมันได้ทั้งวันแล้วยังลงมาเดินเหินได้อย่างสะดวกโดยไม่มีอาการปวดหลังเมื่อยบั้นเอว จุดนี้ถือว่าทำออกมาได้ดีอีกเช่นกัน Florian Dietrich วิศวกรที่ดูแลด้าน Driving Dynamics บอกว่า มีการจูนพวงมาลัย เฟืองท้ายและโช้คอัพให้ทำงานร่วมกัน เพราะเวลาขับจริง อุปกรณ์เหล่านี้ต้องทำงานประสานกัน โช้คอัพแต่ละตัวสามารถปรับหนืดจังหวะยุบและยืดได้โดยใช้เวลาแค่ 20 millisecond โดยปัจจัยในการปรับหนืดก็ขึ้นอยู่กับความเร็วขณะเข้าโค้ง องศาพวงมาลัย รวมถึงความไวในการหักพวงมาลัยของผู้ขับ และยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่กลายเป็นตัวแปรสำคัญในการปรับเซต แต่ที่มีความสำคัญสูงสุดก็คือความรู้สึกของคนขับซึ่งถือเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนมาก
Driving mode มีให้เลือกหลายแบบ เช่นเดียวกับ BMW รุ่นอื่นๆ ซึ่งเมื่อเลือกโหมด ก็จะมีการปรับตั้งค่าสำหรับพวงมาลัย โช้คอัพ เกียร์ และการตอบสนองของเครื่องยนต์ โหมดขับเคลื่อนของ M40i มีทั้งโหมด ECO-PRO Comfort Adaptive , Sport และ Sport + อย่างไรก็ตาม ในแต่ละโหมด วิศวกรปรับให้มีความแตกต่างในการทำงานชัดเจนขึ้นกว่ารุ่นอื่นๆ ในโหมด Sport กับ Sport + Z4 จะเป็นรถที่ท้ายออกง่ายพอสมควร พวงมาลัยตึงไม้ตึงมือและมีแรงดีดกลับที่เหมาะสม ลองกดคันเร่งตอนพวงมาลัยหมุนสุดดู จะพบว่ามีแรงดีดพยายามสู้มือชัดเจน มีอาการโอเวอร์สเตียร์เบาๆ ถ้ากดคันเร่งไม่มากไป การที่ท้ายรถเหวี่ยงออกข้างในลักษณะนี้ เป็นผลมาจากแรงบิดมหาศาล การเซตอัพระบบช่วยทรงตัวและการใช้ฐานล้อที่สั้นลง แต่ไม่ใช่ว่ามันจะพยศจนหาความปลอดภัยไม่ได้ Z4 M40i แค่มีนิสัยดีดดิ้นมากกว่าที่คุณคิดหน่อยแค่นั้นเอง บุคลิกอย่างนี้ทำให้ Z4 สามารถเรียกตัวเองว่ารถสปอร์ตได้อย่างเต็มปากเต็มคำเสียที คือมันจะมีการตอบสนองที่ดีในทุกองคาพยพ เรียกว่ากดเป็นพุ่งและนิ่งมากในย่านความเร็วสูง รวมถึงการเข้าโค้งอย่างเฉียบคม ซึ่งโรสเตอร์น้อยคันจะทำได้แบบนี้!
BMW Z4 M40i รุ่นท็อป วางเครื่องเบนซินสูบเรียง 6 กระบอกสูบ ขนาด 3.0 ลิตร ราคา 4.99 ล้านบาท ขายพร้อมกับรุ่นรองลงมาคือ Z4 ที่วางเครื่องเล็กขนาด 2.0 ลิตร หรือ sDrive30i ใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบ สำหรับรุ่นเด็กเล็กหรือรุ่นเริ่มต้น 20i มีพลัง 196 แรงม้า (ไม่มีขายในไทย) รุ่น 30i มี 256 แรงม้า ทั้งกำลังและการขับจะเป็นรองรุ่นท็อปอย่าง M40i ซึ่งถือว่าเป็น Z ที่ดีที่สุดในปัจจุบัน BMW Z4 ทุกรุ่นจะมีแต่ระบบขับเคลื่อนล้อหลังเท่านั้น เพราะ BMW ไม่ได้เตรียมพัฒนารถมารองรับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ทุกรุ่นใช้เกียร์อัตโนมัติ ZF 8 สปีด ที่ทำงานได้เร็วและเนียน แม้ว่าหลายคนกำลังเฝ้ารอ Z4 G29 รุ่นเกียร์ธรรมดา แต่ก็ยังไม่มีวี่แววของรถไร้หลังคาที่ติดตั้งระบบส่งกำลังแบบแมนนวลแต่อย่างใดทั้งสิ้น
ห้องโดยสารของ Z4 นั้นถือว่ากว้างขวางสำหรับรถโรดสเตอร์ แดชบอร์ดมีปุ่มมากมายโดยเฉพาะบริเวณรอบๆ คันเกียร์ มีปุ่ม DSC มีสวิตช์โหมด EcoPro/ Adaptive/Comfort/Sport+ แล้วก็มีปุ่มหมุนคุม iDrive และถัดไปด้านหลังก็มีปุ่มสำหรับกาง/เก็บหลังคา ซึ่งตอนนี้ใช้เวลาแค่ 10 วินาทีในการเปิดหรือปิด มันมีระบบแสดงข้อมูลการขับด้วยการยิงสะท้อนกระจกแบบ HUD ซึ่งไม่ใช่ประเด็นที่จะสร้างความยากลำบากในการใช้งาน เวลาใช้งานจริงเมื่อขับเร็ว คุณก็แทบจะไม่ได้ละสายตาไปจากถนนข้างหน้าเพื่อเหลือบมองจอแสดงผลดังกล่าวอยู่แล้ว แต่ลูกค้าบางคนชอบออปชั่นที่ใส่มาให้เยอะๆ แม้จะไม่ค่อยได้ใช้ แต่ถือว่าให้มาก็ดีกว่าไม่มี เบาะโคตรดี หนังนุ่มนั่งสบาย แต่ปรับเอนไม่ได้มาก เป็นเพราะพื้นที่ด้านหลังที่แทบจะไม่หลงเหลือที่ให้ปรับเบาะแบบเอนได้จนสุด เบาะปรับไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ หุ้มหนังสีแดงอมส้มที่ต้องระวังรักษาเรื่องริ้วรอยกันให้ดีๆ เพราะหนังที่ใช้ห่อหุ้มตัวเบาะมีความนุ่มนวลมากเป็นพิเศษ
หน้าปัดมาตรวัดแบบจอภาพเวอร์ชันใหม่ล่าสุด ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ใน BMW แทบจะทุกรุ่น เป็นมาตรวัดอวกาศที่อ่านค่าวัดรอบได้ยาก ส่วนเบาะหุ้มหนัง Vernasca สีแดงอมส้มสวยงาม นั่งนุ่มนั่งสบายตัวเอามากๆ พวงมาลัย M แบบใหม่ หุ้มหนังดีไซน์ M Sport จับได้กระชับมือ บางคนอาจไม่ชอบความอวบอ้วนของฟองน้ำที่หุ้มอยู่รอบวงพวงมาลัยแต่ผมกลับชอบมันมากและทำให้นึกถึงพวงมาลัยอวบๆ ของ BMW M135i สำหรับเข็มขัดนิรภัยดีไซน์ M สีดำคาดโทนสี M ที่บวกราคาเพิ่มมาเรียบร้อย จนเจ้าของรถไม่รู้สึกตัว แดชบอร์ดและคอนโซลด้านบนขึ้นรูปด้วยโฟมเพื่อป้องกันเสียงแปลกปลอม มันถูกบุด้วยหนัง Sensatec ที่ดูดีมีราคา ชุดไฟส่องสว่างภายในและนอกห้องโดยสารติดตั้งมาให้ครบ รวมถึงงานตกแต่งด้วยอะลูมิเนียมลาย Tetragon ที่ทันสมัยและมีผิวสัมผัสที่ให้ความรู้สึกว่าแพง ระบบควบคุมแบบใหม่ที่ผมเองก็ยังไม่คุ้นชิน จอภาพใหญ่โตพร้อมระบบนำทางด้วยดาวเทียมที่คมชัดและง่ายต่อการใช้งาน อย่าลืมว่ามันยังมีเครื่องเสียงแจ่มๆ ของ harman kardon sound system ที่ให้พลังเสียงคมชัดหนักแน่น แม้จะเปิดหลังคาวิ่งก็ยังได้ยินเพลงที่เล่นผ่านอุปกรณ์ต่างๆ อย่างชัดเจน
แม้ว่า Z4 M40i และ GR Supra A90 จะมีแรงม้าและแรงบิดเยอะกว่า 718 Boxster แต่น้ำหนักตัวของมันก็มากถึง 1,610 กิโลกรัม จากการดามโครงสร้างของรถให้แข็งแรง รองรับแรงบิดตัวได้เท่ากับรถที่มีหลังคา ในขณะที่ 718 แบกน้ำหนักเพียงแค่ 1,440 กิโลกรัม Porsche รุ่นเด็กเล็ก ทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ภายใน 4.7 วินาที ด้วยความช่วยเหลือจาก Sport-chrono pack ที่เจ้าของรถจะต้องจ่ายเพิ่ม ส่วน BMW Z4 M40i ทำได้ภายใน 4.6 วินาที แต่ Z4 M40i ถูกล็อกความเร็วที่ 155 ไมล์/ชั่วโมง หรือ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในขณะที่ 718 Boxster จะไหลต่อไปได้ถึง 170 ไมล์/ชั่วโมง เครื่องยนต์ 6 สูบเรียงอัดเทอร์โบรหัส B58 ของ BMW มีประสิทธิภาพสูงมาก อันนี้ขอยอมให้เป็นเครื่องยนต์ในดวงใจเลยทีเดียว มันให้พลังอย่างต่อเนื่องเฉียดๆ 400 แรงม้า ตั้งแต่ย่าน 5,000 ไปจนถึง 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 369 ปอนด์-ฟุต หรือ 500 นิวตันเมตร เทมาตั้งแต่ 1,600 รอบต่อนาที ในขณะที่ 718 ต้องลากรอบ 6,500 ถึงจะได้ม้า 295 ตัว แถมยังกินน้ำมันมากกว่าเสียอย่างนั้น โชคดีที่ 718 ยังมีเกียร์ PDK ที่มีคลัตช์สองชุดที่ทำงานได้เร็วดีมาก อย่างไรก็ตามเมื่อลองขับจริงบนถนนสายรอง BMW ยังสามารถทำระยะทิ้งห่างจาก Porsche ได้แบบค่อยเป็นค่อยไป ช่วงล่างของ BMW Z4 M40i เวลาวิ่งบนทางด่วนระยะยาวก็นุ่มนวลกว่า Porsche ด้วยเช่นกัน อัดยาวๆ ไปอุทยานสามร้อยยอดทั้งไปและกลับ ก็ยังสบายเนื้อสบายตัว ไม่ปวดเมื่อยตัวเพราะแรงกระแทกของช่วงล่าง ในจุดนี้ ถือว่าทำออกมาได้ดี ต้องยกประโยชน์ให้กับ Adaaptive Suspension ที่คอยผ่อนสั้นผ่อนยาวปรับการทำงานของโช้คอัพไฟฟ้าให้เข้ากับสภาพถนนในประเทศไทยที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย (ของหลุมและลอนคลื่น!!)
โหมด Sport + คือการปลดปล่อยตัวตนของมันอย่างหมดเปลือก เหมาะเอาไว้ใช้เวลาขับในสนาม ถ้าเป็นบนถนนปกติในไทย ใช้แค่โหมด Sport ก็เหลือกำลังลาก โหมดนี้เพียงพอแล้วเพราะสามารถควบคุมคันเร่งได้ง่ายกว่า ไม่ล้น หรือไม่ต้องใช้เบรกหนักๆ ไปตลอดทางซึ่งเป็นตัวบั่นทอนผ้าเบรกโดยใช่เหตุ เวลาเล่นเกียร์ในโหมด Manual โดยใช้วิธีการผลักคันเกียร์หน้าตาคล้ายหัวไม้ 7 ไปทางซ้าย หากลากรอบไปจนสุด เกียร์จะเปลี่ยนขึ้นให้เองโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าอยากจะปล่อยม้าหมดคอกและชอบให้แรงบิดพุ่งสูงสุดที่ 500 นิวตันเมตร คุณจะต้องมีทางตรงยาวที่มากพอสำหรับกำลังของมัน เมื่อระเบิดพลังงานออกมา เสียงท่อนั้นเพราะสุดๆ มันดังคล้ายเครื่อง V6 ของ AMG ทั้งๆ ที่เป็นเครื่องยนต์สูบเรียงที่จูนให้ลงตัวยากกว่าเครื่องรูปตัว V เป็นเสียงท่อที่หวานและชอบกดคันเร่งเพื่อเป็นการรับฟังบ่อยครั้งมาก ท่อของ M40i ไม่ได้ดังจนแสบแก้วหู M2 M3 และ M4 ซึ่งใช้เครื่อง S58 เครื่องยนต์ M ที่มีพื้นฐานมาจาก B58 ถูกปรับแต่งท่อระบายให้โหดร้ายมากกว่าเดิม ทำให้รถ M แท้ๆ มีเสียงดังแบบเอะอะเอ็ดตะโร ไม่เหมือนกับ Z4 M40i ที่เจ้าของรถมักขยันลากรอบเพื่อต้องการฟังสิ่งที่อยากฟังมานานแสนนาน และเพิ่งจะพบพานความดีงามของเสียงท่อระบายท้ายในรถรุ่นนี้นี่เอง
โหมด Comfort เจ้า Z4 จะมีความนุ่มนวลชวนฝันให้สัมผัสอยู่บ้าง เป็นโหมผสมผสาน ที่เหมาะสำหรับการขับไหลไปเรื่อยๆ พร้อมกับการเปิดหลังคาเพื่อชื่นชมบรรยากาศรอบๆ ตัว ในขณะที่พอเข้าสู่โหมดท้ารบหรือโหมด Sport + ช่วงล่างจะแข็งขึ้น พวงมาลัยหนักขึ้น และเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิป M differential จะเริ่มการทำงานของมัน คันเร่งไวและตอบสนองราวกับคนเป็นโรคเส้นประสาท เกียร์กระฉับกระเฉงทันตาเห็น โดยเปลี่ยนจากการตั้งรับมาเป็นรุกในโหมดสูงสุด ส่งผลให้รถมีอาการดีดตามจังหวะคันเร่ง ถ้ากดยาวๆ มันจะพาคุณลากจาก 100-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลาเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นเอง แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อลองเปิดหลังคาแล้วอัดเต็มสูบ ลมที่ปะทะกับกระจกหน้าก็ไม่ได้ทำให้ทรงผมของภรรยาที่นั่งไปด้วยยุ่งเหยิงแต่อย่างใด ผมลองที่ความเร็วแค่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่ได้กดต่อเพราะกลัวโดนด่าและมันผิดกฎหมายจราจร
พายุเขตหมุนร้อนที่พัดผ่านประเทศไทยทำให้การขับทดสอบ Z4 รุ่นใหม่ ไม่สามารถเปิดหลังคาได้เหมือนในช่วงที่มีอากาศแจ่มใส ถึงฝนจะตกตลอดทาง แต่มันก็เป็นรถที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยและสบาย ช่วงล่างเซตมาเอาใจวัยบริหารที่ไม่ชอบรถกระด้าง กระจกหน้าขนาดใหญ่ไล่น้ำฝนปรอยๆ พ้นหน้าคนขับได้หมดและยังไม่มีลมย้อนมาตี เพราะมีแผงกั้นลมที่ติดตั้งไว้ใกล้ระหว่างพนักพิงศีรษะ การกระจายน้ำหนักที่สมดุล ทำให้คุณหรือใครก็ตามที่ได้ลองขับจะรู้สึกติดอกติดใจทันที บาลานซ์ของรถทำให้มันเป็น Roadster ที่ควบคุมง่าย จุดเด่นหลักๆ ของ Z4 G29 ก็คือความงดงามอันน่าทึ่งของทรวดทรงองเอว สะดุดต่อสายตาของคนรักรถและโฉบเฉี่ยวจนโดน Fortuner เข้ามาดันท้ายบ่อยๆ มันเป็นรถที่มีระบบอากาศพลศาสตร์ดีเยี่ยมและทำให้เปลือกตัวถังมีความดุดันสมกับความเป็นโรสเตอร์ตัวกลั่น กระจังหน้าแบบใหม่ สปอยเลอร์หน้า-หลังของ M ที่โหดร้ายทารุณต่อสายตาของบริษัทรถคู่แข่ง บั้นท้ายและไฟท้ายแบบใหม่ที่เต็มไปด้วยรายละเอียดอันสลับซับซ้อน ทั้งสปอยเลอร์หลัง ท่อระบาย ครีบรีดอากาศกับฝาท้ายทรงตูดเป็ด ซึ่งทำออกมาได้ทันสมัยและงดงามตามท้องเรื่อง นับเป็นรถโรสเตอร์ที่ครบเครื่องทั้งเปลือกตัวถัง เครื่องยนต์ ช่วงล่างและชุดส่งกำลัง
ฐานล้อสั้นส่งผลทำให้พวงมาลัยของรถรุ่นนี้ค่อนข้างไวเอาเรื่อง ในย่านความเร็วสูงต้องระวังให้ดีๆ แต่เมื่อขับในย่านความเร็วเดินทาง หรือขับกินลมชมวิวแล้วรู้สึกเหมือนรถสปอร์ตเปิดหลังคาในอดีตอย่างแท้จริง ในขณะที่ 718 Boxster จะทำตัวเหมือนน้องชายคนเล็กของ 911 การทดสอบ 8 วัน ทั้งการขับในเมือง (แค่นิดเดียว) รวมไปถึงการโลดโผนโจนทะยานบนเส้นทางที่จะมุ่งหน้าไปยังอุทยานสามร้อยยอดพร้อมๆ กับการโดนพายุฝนแบบจัดเต็มแทบจะไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ผมคิดว่า BMW New Z4 M40i เป็นรถที่ขับง่าย เร่งได้เร็ว เบรกดี คุมแรงให้เบรกตามใจได้เนียนเหมือนเสือซีตาห์เวลาควบเต็มสปีด มันมีชุดบังคับเลี้ยวไฟฟ้าที่สามารถหักเลี้ยวไปตามโค้งอย่างว่านอนสอนง่าย เล็งไปทางไหนก็ไปตามสั่ง พร้อมกับน้ำหนักของพวงมาลัยที่แสนจะพอดิบพอดีไม่มีขาดหรือเกิน ไม่เบาจนขาดสัมผัสที่ดีและไม่หนักเหมือน M4 CS ที่มีน้ำหนักของพวงมาลัยราวกับรถแข่ง การที่คุณสามารถใช้ความเร็วในโค้งได้สูงมากนั้นมีส่วนช่วยทำให้เกิดความมั่นใจในการขับและจะยิ่งจัดหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ขับในฤดูฝน เมื่อพบเจอกับถนนเปียกแล้วอยากสนุกแต่ก็ต้องระวังให้ดีๆ เพราะการปล่อยแรงบิด 500 นิวตันเมตรลงบนผิวถนนที่เปียกชื้น เป็นเรื่องที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายๆ แค่เข้าโค้งด้วยความเร็วที่เหมาะสม ปล่อยให้ระบบทุกอย่างทำหน้าที่ของมันไปตามเรื่องตามราว ถ้าแน่ใจว่ามีฝีมือมากพอก็เลือกได้เลยว่าจะกดคันเร่งเป็น Power slide หรือจะมาเร็วแล้วยกคันเร่งหมดเป็น Lift-off oversteer รถจะทำตามอย่างว่าง่าย แต่ถ้าถนนแห้ง มันจะไม่ใช่รถที่ท้ายออกง่ายอย่างที่คุณคิดถ้าไม่ใช่ว่าเหยียบคันเร่งเยอะจริงๆ ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะมันใส่ยางที่เกาะสุดๆ อย่าง Pilot Super Sport นั่นเอง
Z4 M40i มีชุดบังคับเลี้ยวที่โดดเด่น พวงมาลัยไฟฟ้าแบบ Variable rate Sport ที่สร้างน้ำหนักตึงมือช่วงถือตรงได้ดีมากไม่ต้องขยับแต่งทิศทางกันให้มากเรื่อง ช่วงล่างและพวงมาลัยมีการสื่อสารกับสภาพถนนแล้วส่งตรงถึงมือคนขับเวลาเลี้ยวเข้าโค้งได้ดี เวลาหักเปลี่ยนทิศทางเร็วๆ ก็ตอบสนองได้ไวมาก การที่ Z4 ใหม่มีฐานล้อสั้นลงแต่ลำตัวรถยาวขึ้นนั้นเวลามาขับบนถนนจริงรู้สึกได้เลยว่าบาลานซ์ดีขึ้น Z4 มีอะไหล่บางชิ้นส่วนที่ใช้ร่วมกับ BMW Series-3 รุ่น M340i ซึ่งก็คือช่วงคานหน้า คาลิเปอร์เบรก และชุดเฟืองท้ายกับเพลาข้าง แม้ว่า Z4 จะมีจุดต่างตรงที่มีการออกแบบจุดยึดให้แข็งแรงกว่า และยางยึดแท่นเครื่องแท่นเกียร์ทนงานรับงานหนักได้มากกว่า แต่ M340i ตอบโต้กลับด้วยการเร่งความเร็วและการยึดเกาะที่โคตรจะเสถียรกว่าด้วยชุดขับเคลื่อน 4 ล้อ xDRIVE และถ้าคุณมีเงินไม่ถึง 5 ล้านในการที่จะสอย Z4 M40i ขอให้เดินไปที่ M340i คุณจะพบกับสัจธรรมของเทพซีดาน ที่ไม่ต้องจ่ายกันบานเพราะอยากเปิดหลังคา!
เมื่อมองดูรถสปอร์ตแหล่มๆ ทั้งสามรุ่น ไล่จาก 718 Boxster / Toyota GR SupraA90 กับ Z4 M40i ผมคิดว่า Porsche 718 Bopxster มีพวงมาลัยที่ดีเยี่ยม น้ำหนักของรถทั้งคันเบากว่า ทำให้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนทิศทางได้ไวกว่านิดๆ ส่งต่ออาการได้ดีกว่า ช่วงล่างเซตมาให้สามารถขับสนุกแบบซุกซนได้มากกว่าหน่อยหนึ่ง ลักษณะของการวางเครื่องก็ยังช่วยเพิ่มความแม่นยำในการเปลี่ยนทิศทางเร็วๆ ระบบเบรก ABS ใจกล้าเอาเรื่อง มันจะไม่ทำงานจนกว่าจะถึงจุดสูงสุด หรือเข้าใกล้กับขอบเขตข้อจำกัดของระบบ ทำให้คุณต้องแก้อาการไถลของรถด้วยตัวเองมากกว่า อาจดีงามสำหรับสุดยอดฝีมือที่ชอบแก้อาการเป็นนิสัย แต่คนทั่วไปก็ต้องใช้ความระมัดระวังให้จงหนักไม่งั้นอาจจบลงด้วยอุบัติเหตุ การทำงานประสานกันระหว่างพวงมาลัย ช่วงล่างและระบบขับเคลื่อนในแบบที่เหมาะกับคนใจกล้า ทำให้รู้สึกเร้าอารมณ์มากกว่า แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าเครื่องยนต์มีแรงม้าแรงบิดให้ใช้มากกว่าที่เป็นอยู่ รวมถึงการจูนเสียงท่อซะใหม่เพราะของเดิมๆ ที่ให้มานั้นฟังยังไงก็สู้ M40i ไม่ได้อยู่ดี
Toyota GR Supra ที่ผมเคยเอาไปลากเล่นแถวๆ พุเตย คือฝาแฝดของ BMW Z4 M40i นอกจากเปลือกตัวถัง โหมดการขับเคลื่อน ช่วงล่างแบบปรับไม่ได้ (ซึ่งดีงามมาก) งานตกแต่งภายในและระบบเสียง JBL แล้ว GR Supra เหมือนกับ Z4 ทุกอย่าง บางท่านอาจสนใจคลิปในยูทูบมากจนเข้ามาแย้งว่า GR Supra มีกำลังมากกว่า แต่ถามจริงๆ เถอะว่า คุณซื้อมันมาเพื่อขับใช้งาน ขับเล่นในวันหยุดกับภรรยา หรือจะซื้อมาเพื่อลงแข่งควอเตอร์ไมล์กันแน่? กำลังที่แตกต่างกันแค่นิดเดียวบนแท่น Dyno Test ไม่ใช่ประเด็นที่จะเอามาข่มว่าคันโน้นแรงกว่าคันนี้ การใช้งานในชีวิตจริงคือสิ่งที่สำคัญสูงสุดสำหรับการเลือกซื้อรถสปอร์ตราคา 5 ล้านบาท หากคุณไม่ใช่ทีมแข่งที่ซื้อ GR Supra เพื่อลงทำการแข่งขันแต่เพียงอย่างเดียวก็ขอให้เชื่อเถอะว่า GR Supra นั้นขับได้ดีเยี่ยมและมีฟิลลิ่งหลังพวงมาลัยเหมือนกับ Z4 M40i ราวกับแกะ
ความเร็วและพลังของ Z4 สร้างความประทับใจให้กับนักเลงรถเปิดประทุน ถ้าคุณไม่ได้มีใจที่โอนเอียงไปยังรถคู่แข่งค่ายใดค่ายหนึ่ง หลังจากลองขับก็จะรับรู้ได้เลยว่า Z4 ใหม่นั้นเจ๋งจริงและมีข้อได้เปรียบอยู่หลายจุดเมื่อเทียบกับรถคู่แข่ง มันเป็นรถสปอร์ตเปิดหลังคาที่ทำทุกอย่างในหลายหัวข้อของการทดสอบได้ดีเกือบเท่า 718 Boxster และเหมือนกันกับ GR Supra ทุกประการ Tada วิศวกรของ Toyota ชอบช่วงล่างแบบปรับไม่ได้มากกว่า ช่วงล่างแบบนั้นมีความเสถียรและมีค่าที่ค่อนข้างจะคงที่ไม่กระโดดไปมาจากการปรับของระบบอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับโช้คไฟฟ้า Adaptive Dampers ของ M40i ดีงามตอนขับผ่านผิวถนนที่ไม่เรียบ ทั้งสามคันเป็นรถที่ขับสนุกเหมือนๆ กัน แต่ราคาของ 718 Boxster จะแพงกว่าทั้ง Z4 และ GR Supra ถ้าคุณยอมรับดีไซน์ภายในพวกแดชบอร์ดที่ดูแปลกๆ ของมันได้ Z4 M40i ก็จะเป็นเพื่อนเดินทางที่จะสร้างรอยยิ้มของคุณภรรยาและทำให้คุณมีความสุขกับการควักเงิน 5 ล้านบาท ไม่ว่าจะขับเร็วหรือช้า มันเลี้ยวเข้าโค้งได้เร็ว ทนแรงเหวี่ยงได้เยอะ บาลานซ์น้ำหนักยอดเยี่ยม ช่วงล่างโคตรสบายและตัวถังมีความสวยงามลงตัวสุดๆ นับเป็นผลงานการสร้าง Roadster สองที่นั่งที่น่าประทับใจ BMW ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า New Z4 รุ่นใหม่ น่าขับขึ้นกว่ารถรุ่นก่อนมาก มากจนผมอยากจะให้รางวัลกับทีมวิศวกรทุกคนที่ลงมือลงแรงพัฒนารถรุ่นนี้ขึ้นมาด้วยหัวใจของคนรักรถอย่างแท้จริง
รายละเอียดด้านเทคนิค
เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ แถวเรียง เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo
ปริมาตรกระบอกสูบ 2,998
กำลังสูงสุด 381 แรงม้า ที่ 5,000-6,000 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600-4,500 รอบต่อนาที
ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง 4.5 วินาที
อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย - อ้างอิงผล ECO Sticker 13 กิโลเมตร/ลิตร
ระดับการปล่อย CO2 เฉลี่ย 166 กรัม/กิโลเมตร
ล้อ ล้ออัลลอย M ขนาด 19 นิ้ว ลาย Double-spoke แบบสลับสี
ขนาดล้อหน้า/ยาง 9J x 19 255/35 R19 michelin pilot super sport
ขนาดยางล้อหลัง/ยาง 10J × 19 275/35 R19 michelin pilot super sport
มิติรถยนต์ ยาว 4,234 มิลลิเมตร กว้าง 1,864 มิลลิเมตร สูง 1,304 มิลลิเมตร
ปริมาตรในการบรรจุของ 281 ลิตร
น้ำหนักรถสุทธิ 1,610 กิโลกรัม
ระบบขับเคลื่อนและเทคโนโลยี
เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ แบบ Sport Steptronic
ระบบเฟืองท้าย M Sport
ช่วงล่าง M suspension
พวงมาลัยไฟฟ้าแปรผันตามการหมุนและความเร็ว
ระบบควบคุมความเร็วคงที่ พร้อมฟังก์ชัน Stop&Go (Active cruise control with Stop&Go function)
ระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ พร้อมกล้องแสดงภาพด้านหลัง
(Parking Assistant with Rear view camera)
ระบบตัดการทำงานเครื่องยนต์อัตโนมัติ
ระบบไฟส่องทางหลังดับเครื่อง
ระบบไฟ Welcome light
อุปกรณ์ภายนอก
ระบบปรับการทำงานไฟสูงอัตโนมัติ (High-beam Assistant)
คาลิเปอร์เบรกดีไซน์ M Sport
ระบบปลดล็อกประตูอัจฉริยะ (Comfort Access System)
ชุดตกแต่ง M Aerodynamics
อุปกรณ์ภายใน
กระจกมองข้างและกระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ
เบาะนั่งปรับไฟฟ้าพร้อมระบบจำตำแหน่งเฉพาะฝั่งคนขับ
เบาะนั่งหนังแท้ Vernasca
พวงมาลัยหุ้มหนังดีไซน์ M Sport
เข็มขัดนิรภัยดีไซน์ M
คอนโซลด้านบนบุด้วยหนัง Sensatec
ชุดไฟส่องสว่างภายในและนอกห้องโดยสาร
ภายในตกแต่งด้วยอะลูมิเนียมลาย Tetragon
ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 2 โซน
ฟังก์ชันช่วยการจัดเก็บสัมภาระ
ระบบความบันเทิงและการสื่อสาร
BMW Live Cockpit Professional
ระบบ BMW ConnectedDrive
ระบบเครื่องเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon
ระบบความบันเทิงและการสื่อสาร
ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ผ่าน Bluetooth และช่อง USB
ระบบชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย
ความปลอดภัย
ถุงลมนิรภัยสำหรับคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า
ถุงลมนิรภัยด้านข้างสำหรับคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า
ระบบ Teleservices
ปุ่มโทรออกฉุกเฉิน (Intelligent Emergency Call)
ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC)
ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน (DTC)
ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก (ABS)
ไฟเบรกกะพริบฉุกเฉิน (Dynamic Braking Lights)
เซนเซอร์ควบคุมระบบความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน (Crash Sensor)
ระบบป้องกันการกระแทกจากด้านข้าง (Side Impact Protection)
ระบบป้องกันการกระแทกศีรษะในกรณีรถพลิกคว่ำ
ระบบเตือนสถานะของยาง (Runflat Indicator)
ชุดปะยางฉุกเฉิน
ชุดตกแต่ง M Sport
BMW Z4 M40i ราคา 4,999,000 บาท