เรื่องราวจุดกำเนิดของ Supra

Toyota Supra รุ่นแรกนั้นเกิดมาในยุค 70s เป็นยุคของดนตรีร็อกและงานปาร์ตี้ของพวกวัยรุ่น แรกเริ่มเดิมที Toyota ตั้งใจจะใช้ Supra ให้เป็นคู่แข่งกับรถตระกูล Z ของ Datsun รถสปอร์ตของทั้งสองแบรนด์จะมีลักษณะหลายอย่างที่คล้ายกัน เช่น การใช้เครื่องยนต์ 6 สูบเรียง วางตามยาวขับเคลื่อนล้อด้วยล้อคู่หลัง สัดส่วนรถแบบหน้ายาวท้ายสั้นขับสนุกลุกนั่งสบาย 

...

ต่อมาในยุค 80s Supra ก็มีรุ่นไฟป๊อปอัพที่ถือว่าทันสมัยมากในยุคนั้นโผล่มาในเจนเนอเรชั่นที่ 2 ในขณะที่ Supra เจนเนอเรชั่นที่ 3 นั้นนอกจากจะแรงขึ้นแล้วยังอัดเทคโนโลยีอันล้ำสมัยเข้าไปมากมาย แต่ถ้าถามว่ารุ่นไหนโด่งดังที่สุด ก็ต้องยกให้ Supra เจนเนอเรชั่นที่ 4 ซึ่งลืมตาออกมาดูโลกในปี 1993 มันเป็นรถสปอร์ตที่ทรงพลัง ใช้เครื่องยนต์ 2JZ-GTE ทวินเทอร์โบ 325 แรงม้า (bhp) ซึ่งขึ้นชื่อว่าทนทานเหนียวแน่นไม่พังกันง่ายๆ แถมยังเอาไปโมดิฟายต่อยอดให้แรงระเบิดได้ง่าย เครื่องยนต์ 2JZ-GTE ใช้ฝาสูบอะลูมิเนียมกับเสื้อสูบเหล็กหล่อที่แข็งแกร่ง เทอร์โบที่บูสเร็วและช่วยเพิ่มแรงฉุดลากมหาศาล 

...

หลังจาก Supra รุ่นสุดท้ายเลิกผลิต Toyota ก็มัวแต่เอาเวลาและกำลังทรัพย์ไปทุ่มให้กับการพัฒนาเทคโนโลยีไฮบริดในรถบ้าน รถอย่าง Prius กลายเป็นงานหลักของบริษัทในขณะที่รถสปอร์ตค่อยทยอยลาจากไปทีละรุ่นๆ ไม่ว่าจะเป็น celica / MR2 / MR-S ต่อมาในปี 2007 ก็มีการสร้างรถต้นแบบอย่าง FT-HS ออกมา แล้วก็รออีก 7 ปี จึงมี FT-1 ตามออกมาอีก หลังจากนั้นคุณก็จะเห็นว่า GT86 จาก Toyota เป็นรถที่ร่วมมือกับ Subaru ที่ถูกปรับแต่งให้ท้ายออกไวได้ง่าย เป็นรถที่ขับสนุกประเภทสาดเสียเทเสียท้ายไวเหมาะกับการดริฟต์เล่นในวันหยุด GT86 เข้ามาสานต่อสายพันธุ์ของรถสปอร์ตภายใต้ตราสัญลักษณ์ 3 ห่วง กลายเป็นขวัญกำลังใจเล็กๆ น้อยๆ ให้กับคนที่รอการกลับมาของ Supra หลังจากเลิกทำตลาดไปตั้งแต่ปี 2002

...

นับตั้งแต่ได้รับมอบหมายภารกิจคืนชีพให้กับ Supra หัวหน้าวิศวกรอย่าง Tetsuya Tada ที่เคยลงมือลงแรงร่วมพัฒนา GT86 กับ Subaru โดยกำหนดนโยบายให้ทีมวิศวกรตั้งแต่วันแรกว่ารถ Supra รุ่นใหม่ต้องมีเอกลักษณ์แบบเดียวกับที่เจนเนอเรชั่น 4 เป็น (ขับสนุกแม้จะมีกลิ่นของ Z4 M40i รุ่นใหม่) แรงระเบิดระเบ้อและมีรูปทรงที่ทันสมัยถูกใจลูกค้า

...

Tada กล่าวกับผู้สื่อข่าวในวันทดสอบ Supra ใหม่ที่เมืองเซนไดว่า รถรุ่นใหม่จะต้องใช้เครื่องยนต์ 6 สูบเรียง ขับเคลื่อนล้อหลัง สัดส่วนและหน้าตาของรถ เห็นแล้วต้องรู้ทันทีว่าเป็น Supra แต่ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำทุกอย่างเหมือนกับรุ่นก่อน มันต้องมีส่วนที่พัฒนาตามยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางเทคนิค ตลอดจนด้านการออกแบบ เราจะทำบางส่วนให้ดูแล้วนึกถึง Supra เจนเนอเรชั่นที่ 4 แค่บางส่วนจริงๆ เพราะมันต้องมีเอกลักษณ์ที่สืบทอดกันมาได้ ดูบอดี้รถส่วนท้ายที่อวบอูมออกมา นั่นก็คือดีไซน์แบบที่นำแนวทางมาจากรถรุ่นก่อน มันคือส่วนที่เซ็กซี่ของ Supra รุ่นใหม่ล่าสุดและมีความสำคัญในด้านระบบอากาศพลศาสตร์กับความสวยงามดุดันที่ต้องเชื่อมโยงกันทั่วทั้งคัน

Supra ใหม่กับแนวทาง Back to basics
Toyota ทดสอบรถต้นแบบ Supra Concept บนถนนจริงนานหลายเดือน และแม้กระทั่งก่อนเปิดตัวก็ยังมีการทำรถ GR Supra Racing Concept ที่มีชุดแต่งแบบรถ Le Mans มีกระจกมองข้างแบบรถแข่ง โป่งและหางหลังอันเบ้อเริ่ม เพื่อซ่อนรูปร่างของรถเวอร์ชั่นจริงเอาไว้ก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ 

Supra ใหม่เป็นรถที่กำเนิดขึ้นโดยมีการวิจัยและพัฒนาไปพร้อมๆ กับ BMW Z4 อย่างไรก็ตาม Supra ใหม่จะมีความชัดเจนกว่าในแง่ของการเป็นรถสปอร์ตขับเคลื่อนล้อหลังที่แตกต่างจากสปอร์ตโรดสเตอร์อย่าง BMW New Z4 มันจะมีการขับที่ดิบกว่า ตัวถังแข็งแรงกว่าเนื่องจากเป็นสปอร์ตคูเป้หลังคาแข็งไม่ใช่ Z4 ที่มีตัวถังเป็นรถเปิดประทุนโรดสเตอร์สองที่นั่ง ให้ลองนึกถึงว่า Porsche Cayman เอาเครื่องมาวางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร นั่นละคือ Supra ใหม่ จากแนวคิดของวิศวกร Toyota ที่นำเอา Porsche Cayman มาเป็นรถที่ใช้เปรียบเทียบเมื่อลงมือวิจัยและพัฒนา Supra รุ่นใหม่ อันที่จริงแนวทางแบบนี้มันก็คือสิ่งที่เราอยากให้ Toyota 86 มันเป็นมาโดยตลอด แค่นึกอยากจะขับก็สนุกแล้ว ว่าถ้าเราได้รถที่มีลักษณะเหมือน 86 แต่ใหญ่ขึ้นมาอีกนิด มีทรงที่ดุดันขึ้น เกาะถนนมากยิ่งขึ้นแล้วใส่ขุมพลังที่แรงจริงจัง มากพอให้เอาไปไล่กวดสปอร์ตจากฝั่งยุโรปได้ มันจะดีขนาดไหน? แน่นอนว่ามันดีชัวร์จากไดนามิกและอารมณ์ของการควบคุมหลังพวงมาลัยที่คล้ายกับ BMW Z4 ราวกับแกะ

Tada เล่าต่อว่า ตอนที่เราสร้างรถคันนี้ จุดมุ่งหมายหลักของเราก็คือการสร้างรถสายพันธุ์มอเตอร์สปอร์ต แน่นอนว่าจะเป็นเช่นนั้นได้ ความง่ายในการใช้งานในชีวิตประจำวันก็ย่อมเป็นเรื่องรองลงมา Tada พยายามอธิบายถึงขั้นตอนในการสร้าง New Supra โดยให้ความคิดเห็นว่า หลายคนที่ชอบรถสปอร์ตบ่นว่าตลาดรถยนต์ประเภทนี้กำลังจะตายจากไป แต่ความจริงแล้วไม่น่าใช่ ในปัจจุบันยังมีรถสปอร์ตที่น่าขับหลายรุ่น เช่น Porsche 911/992 ที่ดีงามมากในด้านการควบคุมและความทันสมัยของระบบต่างๆ Cayman สปอร์ตเครื่องวางกลางขับหลังที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย Mercedes-Benz C43-63 AMG ที่แรงระเบิดระเบ้อ BMW M2 Competition คูเป้คันเล็กที่ขับสนุกและ Supra ก็จะเป็นหนึ่งในนั้น ร่วมกับรถอย่าง Porsche Cayman, Audi TT RS และ BMW M Car อย่างไรก็ตาม การสร้างรถสปอร์ตสักรุ่นขึ้นมาทั้งๆ ที่ในขณะนี้ผู้คนส่วนมากเทเงินซื้อ SUV/Crossover กันมากที่สุด จะนับเป็นการตัดสินใจที่ถูกหรือ?

เรื่องนี้ Tada ให้ความเห็นว่า รถสปอร์ตที่ราคาไม่สูงเกินไปนั้นมีโอกาสทำตลาดได้ในระยะยาว ผู้คนซื้อ SUV ก็จริง แต่ถ้าค้นไปในใจพวกเขาลึกๆ ผมว่าหลายคนก็ต้องอยากได้รถสปอร์ตกันบ้าง นั่นแปลว่าเรามีโอกาสที่จะได้เห็นรถสปอร์ต Toyota คืนชีพกลับมาอีกสัก 2-3 รุ่นหรือเปล่า? Tada ตอบว่า “คุณคงหมายถึง Celica กับ MR2 หรือเปล่า? คือจริงๆ แล้วเนี่ยการที่มี Gazoo Racing มันก็เหมือนกับที่ BMW มี M Division Mercedes มี AMG หรือที่ Audi มี Audi Sport นั่นเอง คือหนึ่ง ทำรถแข่ง และสอง ทำรถสำหรับขายคนทั่วไป แต่เป็นรถที่เน้นสมรรถนะมากกว่ารุ่นปกติ นั่นก็แปลว่าในอนาคต ถ้า Toyota จะสร้างรถสปอร์ต มันจะเป็นงานของพวกผม”

ในการพัฒนา Supra ทีมงานของ Tada ไม่ว่าจะเป็นทีมวิศวกรของ Tada รวมถึงผู้บริหารระดับสูงอย่างประธาน Toyoda มีการขับทดสอบใน nurburgring เพื่อเก็บข้อมูลจำนวนมากสำหรับการปรับแต่งรถที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า Tada แจ้งว่า มีการเตรียมพัฒนา Application ในลักษณะเดียวกับ Porsche Track Precision ที่ทำให้เจ้าของรถยิ่งสนุกกับการขับและเก็บข้อมูลของตัวเองมากขึ้น นอกจากนี้ ข้อมูลที่เก็บมาจากการทดสอบและการแข่งจริง ไม่ว่าจะเป็นทางเรียบ แรลลี่ หรือวิ่งบนถนน ก็เป็นประโยชน์สำหรับผู้ขับ “ลองคิดดูว่าถ้าคุณสามารถแข่งทำเวลากับ Fernando Alonso บน Application ของคุณได้ มันจะสนุกขนาดไหน อันที่จริงมันควรจะทำได้ตั้งแต่ 2-3 ปีที่แล้ว แต่ติดขัดปัญหา ก็โชคดีว่ามี BMW มาช่วย ทำให้งานง่ายขึ้น สิ่งเหล่านี้จะทำให้นักขับรุ่นใหม่ย้ายจากการเล่นเกมและกล้ามาลองกับรถจริงมากขึ้น”

ความร่วมมือกับ BMW
เมื่อครั้งที่พัฒนา 86 Toyota ก็ลงขันร่วมกันกับ Subaru ในกรณีของ Supra ใหม่นี้ Toyota ก็จับมือลงทุนลงแรงกับ BMW ในลักษณะเดียวกัน แต่ในขณะที่ 86 กับ BRZ หน้าตาเหมือนกันราวกับแกะ Toyota ยืนยันอย่างหนักแน่นว่าจะมีแค่ 6 องค์ประกอบหลักเท่านั้นที่ใช้ร่วมกับ Z4 ซึ่งก็มีเครื่องยนต์ และเกียร์รวมอยู่ในนั้นด้วย ส่วนเกียร์ธรรมดานั้น ยังไม่มี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ทำออกมา

“พูดตามตรง ว่าธุรกิจก็ต้องคำนึงเรื่องงบประมาณ ถ้า Toyota สร้าง Supra ด้วยตัวเองทั้งหมด งบลงทุนก็มหาศาล แต่ถ้าร่วมมือกัน ต่างฝ่ายต่างก็ลดค่าใช้ง่ายของตัวเอง แล้วก็ได้บรรลุความตั้งใจเหมือนกัน แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่แต่ละฝ่ายต้องการ ที่ผ่านมาก็ต้องเจรจากันไปหลายเรื่อง ยกตัวอย่างเช่นแนวทางของรถ เราอยากให้ Supra เป็นรถที่โฟกัสเรื่องการขับขี่ ก็เลยอยากออกแบบให้คนขับมีเนื้อที่ในการขยับตัวเยอะกว่าคนนั่ง แต่ BMW ไม่อยากเอาแบบนั้น” Tada เล่า

มีอยู่บ้าง ที่ทั้งสองค่ายต้องหยุดทำงาน แล้วกลับไปคิดใหม่ เพราะทำไปทำมารถที่ได้ก็ไม่ตรงตามที่หวังไว้ ดังนั้นก็เลยสรุปว่ารถสองรุ่นนี้จะมีหลายอย่างที่ทั้งคล้ายคลึงและแตกต่างกัน แต่แค่ใช้เครื่องยนต์กับเกียร์และบางส่วนร่วมกัน สำหรับงานตกแต่งภายในต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปทำภายในให้เข้ากับเอกลักษณ์ของตนเอง 

ตอนที่ Toyota ร่วมมือกันทำรถสปอร์ตคันเล็กกับ Subaru นั้น มันคือจุดเริ่มต้นของงานร่วมมือข้ามค่าย Toyota เริ่มติดนิสัยที่จะพยายามแชร์ชิ้นส่วนต่างๆ ใช้กันให้ได้มากที่สุด แต่พอมาทำกับ BMW ไปสักพัก คนของ Toyota ก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่าเหมือนพูดกันคนละภาษา ชอบแนวทางของรถที่ต่างกัน ซึ่ง Tada ก็ไม่ทราบว่าทำไม ทั้งๆ ที่ทั้งสองบริษัทก็ต้องการรถสปอร์ตเหมือนกันทั้งคู่ อย่างไรก็ตาม Toyota ต้องกลับไปทำการบ้านมาใหม่ว่าตกลงแล้วผู้บริหารของ Toyota คาดหวังอะไรจากรถคันใหม่กันแน่

Tada เล่าต่อ “แล้วผมก็คิดได้ว่า ที่ผ่านมามันมีปัญหาเพราะเราพยายามที่จะใช้ชิ้นส่วนร่วมกันมากเกินไป เราเลยเริ่มคิดใหม่ จากเดิม คือพยายามสร้างรถสองรุ่นให้เป็นแฝดกัน แนวทางใหม่คือเราคิดสร้างรถแบบที่เราอยากได้ไปเลย แล้วค่อยมาดูว่ามีตรงไหนบ้างที่พอจะใช้ของร่วมกันได้ เมื่อ Toyota ไม่ไปโฟกัสมากเกินไปเรื่องการคุมต้นทุนจากการใช้ชิ้นส่วนร่วมกัน มันก็เปิดโอกาสใหม่ๆ เช่น แม้จะใช้เครื่องกับเกียร์เดียวกัน แต่สามารถจูนรถให้แตกต่างออกไป ทั้งการตอบสนองของเครื่องยนต์ ช่วงล่าง ดังนั้นถ้าได้ลองขับก็จะพบว่ารถสองคันนี้ไม่เหมือนกัน (ซึ่งจริงๆ แล้วคล้ายกันมาก) สำหรับ Toyota แล้ว ความง่ายในการใช้งานในชีวิตประจำวันเป็นเรื่องรอง New Supra จะเน้นความคล่องตัวและสมรรถนะมากกว่า”

ดังนั้น Supra ใหม่ นับเป็นรถสปอร์ตขนานแท้ที่สุด ทำให้นึกถึง BMW Z3M แต่มีรูปร่างที่น่ามองกว่า มันน่าจะดีกว่ารถอย่างที่ Z4 รุ่นก่อนๆเคยเป็น ถ้าเราไม่นับ Z4M ในขณะที่ Z4 จะมีแต่ตัวถังเปิดประทุน Supra ก็จะมีแต่บอดี้คูเป้หลังคาแข็ง เพื่อให้สามารถสร้างตัวถังให้แข็งและเหนียวทนแรงกระทำได้มากกว่าโดยที่น้ำหนักไม่ต่างกัน (Tada พยายามให้ไม่เกิน 1,500 กิโลกรัม) การที่ได้บอดี้แบบหลังคาแข็งก็เหมาะสมทั้งในแง่การขับขี่และยังสามารถสานต่อเอกลักษณ์ของ Supra รุ่นเดิมได้ด้วย

มิติตัวถังของ Toyota GR Supra มีความยาว 4,379 มิลลิเมตร กว้าง 1,854 มิลลิเมตร สูง 1,294 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,470 มิลลิเมตร ระยะห่างล้อหน้า-หลัง 1,600 มิลลิเมตร น้ำหนัก (รุ่น GR Sport) 1,495 กิโลกรัม ล้ออัลลอยขอบ 19 นิ้วที่แตกต่างจากล้อ M ของ Z4 M40i ยาง Pilot Super Sport ล้อหน้า 255/35ZR19 ล้อหลัง 275/35ZR19 ช่วงล่างด้านหน้าแมคเฟอร์สัน สตรัท ด้านหลังแบบดับเบิ้ลวิชโบน เบรกหน้าใช้คาร์ลิปเปอร์แบบ 4 พอต เส้นผ่าศูนย์กลางจานเบรกหน้า 348x35 เบรกหลังแบบซิงเกิ้ลพอต จานเบรก 345x24   

ทางฝั่งของ BMW นั้น Z4 G29 จะมีเครื่องยนต์ให้เลือกหลายรุ่น เช่น 20i ส่วน 30i ที่เป็นเครื่อง 4 สูบ และ M40i ที่เป็นเครื่อง 3.0 ลิตร เทอร์โบ 6 สูบเรียง ซึ่ง Supra ก็จะใช้เครื่องบล็อกนี้ แต่ Software ที่ใช้ในการควบคุมเครื่องจะต่างกัน เครื่องยนต์ B58 รุ่นนี้ ใช้มาใน BMW หลายรุ่นตั้งแต่ซีรีส์ 1, 2, 3 ถึง 4 รวมถึงยังเป็นพื้นฐานของเครื่อง M-Power ใน M2 / M3 /M4 ซึ่งทำงานได้เรียบ มีความเสถียรสูง เสียงการทำงานของเครื่องยนต์และท่อระบายท้ายเพราะ และมีพลังแรงตั้งแต่ต้นยันปลาย ดังนั้นถ้าพูดเรื่องพละกำลัง Supra ใหม่ไม่มีปัญหาอยู่แล้วแม้ว่าแฟนพันธุ์แท้ Supra จำนวนไม่น้อยเลยที่ตำหนิ Toyota ข้อหาที่ไปเอาเครื่องยนต์ยุโรปมาใช้

Toyota GR Supra ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินแบบ 6 สูบเรียง เป็นเครื่องยนต์รุ่นเดียวกับ BMW Z4 M40i มาพร้อมเทคโนโลยี TwinPower Turbo อัดอากาศด้วยเทอร์โบแปรผันเดี่ยวตัวเดียวโดดๆ Twin Scroll Turbo ระบบส่งกำลังใช้เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ของ ZF กำลังถูกจูนจนมีม้าพอให้ได้เสียวสันหลังที่ 340 ตัว แรงม้าของ GR Supra เมื่อจับขึ้น Dyno test มากกว่า Z4 M40i นิดๆ แรงบิดสูงสุดทำได้ถึง 500 นิวตันเมตร หรือ 50.1 กิโลกรัม-เมตร ที่ 4,000-5,380 รอบต่อนาที อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 8.4 ลิตรต่อระยะทาง 100 กม. (11.9 กิโลเมตรต่อลิตร) อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 4.6 วินาที และ 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลา 5 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เครื่องยนต์ 6 สูบเรียงวางตามยาวโดยร่นแท่นเครื่องแท่นเกียร์ให้เข้าใกล้กับจุดศูนย์กลางของรถเพื่อการกระจายน้ำหนักที่ดี เครื่องยนต์ 6 สูบเทอร์โบเดี่ยว ติดตั้งอินเตอร์คูลเลอร์เพื่อช่วยลดอุณหภูมิไอดี ทำให้ GR Supra เป็นรถที่เร็วอย่างน่ากลัว และต้องใช้ความคุ้นเคยกันพอสมควรก่อนจะคิดปล่อยม้า 340 ตัวลงพื้นแบบเต็มๆ

การทำงานของระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบเดี่ยว Twin Scroll แรงม้าสูงสุดจากการหมุนของข้อเหวี่ยงที่ขึ้นรูปด้วยกรรมวิธีแรงดันสูงหรือฟอร์ซ เค้นกำลังออกมาได้ 340 ตัว นับว่าเป็นเครื่อง 6 สูบที่มีแรงม้าเพิ่มขึ้นพอสมควร เมื่อเทียบกับเครื่องไซส์ยักษ์แบบ V8 การปลดปล่อยกำลังของเครื่องยนต์ B58 ตัวใหม่ อยู่ในย่าน 5,750-7,000 รอบต่อนาที แรงบิดมีให้ตั้งแต่ 1,700 รอบต่อนาทีไปจนถึง 4,750 รอบต่อนาที ช่วยเสริมในจุดของแรงม้าสูงสุดได้อย่างดีเยี่ยม สำหรับชุดอัดอากาศแบบเทอร์โบเดี่ยว พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ขนาดเล็ก เทอร์โบวางแปะอยู่ข้างตัวเครื่องด้วยการใช้เทคนิคเทอร์โบ 1 ตัวรับหน้าที่บูสทั้ง 6 กระบอกสูบในการอัดอากาศ เป็นเทอร์โบแปรผันแบบ Twin Scroll เทอร์โบในเครื่องยนต์ B58 ตัวใหม่ สามารถทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพและตลอดเวลาแม้จะโดนอัดอย่างต่อเนื่องในสนามแข่งรถกำลังที่ได้รับจากเครื่องยนต์ 6 สูบเรียงเทอร์โบเดี่ยวราว 340-350 แรงม้า แรงบิดเกือบ 400lb ft หรือ 500 Nm เร่ง 0-100 ได้ภายในประมาณ 4.6 วินาที (BMW Z4 M40i ที่ใช้เครื่อง 340 แรงม้า มีแรงบิด 500 นิวตันเมตร หนัก 1,610 กิโลกรัม สามารถทำตัวเลข 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 4.8 วินาที ส่วน Porsche Cayman S รถเปรียบเทียบ ที่มี 345 แรงม้า สามารถทำเวลาได้ 4.4 วินาที

การปรับความแข็งแกร่งของผนังกระบอกสูบ เพิ่มประสิทธิภาพของระบบอัดอากาศ ทำให้สมรรถนะของเครื่องยนต์ B58 ในด้านการให้พลังงานดีขึ้นและมีการปล่อยมลพิษลดลง เครื่องยนต์ของ BMW รุ่นล่าสุดตัวนี้ พัฒนาต่อยอดมาจากเครื่องยนต์ M2 / M3 และ M4 ซึ่งเป็นเครื่องยนต์แบบ Modular สามารถเปลี่ยนปรับดัดแปลงได้ง่ายมาก ปริมาตรความจุแต่ละสูบที่ 500 ซีซี ทำให้เครื่องยนต์สามารถกลายเป็นเครื่องแบบ 4 สูบ หรือ 3 สูบได้อย่างสบายๆ ความจุกระบอกสูบที่ 500 ซีซี พอหั่นเหลือ 3 สูบ ก็จะได้เครื่องยนต์ความจุเพียงแค่ 1.5 ลิตรสำหรับรถสปอร์ตอย่าง BMW i8 และ MINI รุ่นล่าสุด หรือลดจาก 6 เหลือ 4 กระบอกสูบ ก็จะได้เครื่องยนต์แบบ 2.0 ลิตร ที่สามารถนำไปใช้กับรถยนต์หลากหลายรุ่นภายในค่าย การที่ GR Supra ได้รับประโยชน์จากขุมกำลังรุ่นใหม่ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบในด้านการบำรุงรักษาเพราะชิ้นส่วนของเครื่องยนต์สามารถแชร์อะไหล่ร่วมกับ BMW Z4 M40i ได้เกือบจะทุกจุด

สำหรับเฟืองท้ายไฟฟ้าแบบ 2 way Limited Slip Differential เป็นเฟืองแบบลิมิเต็ดไฟฟ้า มีกล่องสมองกลที่คอยรับข้อมูลที่ส่งมาจากหลายๆ ส่วน ซึ่งรวมถึงตำแหน่งของลิ้นปีกผีเสื้อ มุมองศาของพวงมาลัย ระบบควบคุมการทำงานของเฟืองท้ายไฟฟ้าจะประมวลผลไปยังชุด Differential ว่าจังหวะใดควรจะปล่อย หรือล็อกเฟืองท้าย หรือล็อกแบบ 100% มันช่วยเข้ามาแทนที่การทำงานในแบบกลไกสปริง ทำให้การเกาะถนนดีขึ้น ลดอาการอันเดอร์สเตียร์ ทำให้รีดแรงบิดลงพื้นได้อย่างเต็มที่ ระบบ 2 Way Differential เป็นเฟืองท้ายแบบกลไกควบคุมด้วยสมองกลไฟฟ้า ซึ่งจะส่งถ่ายแรงบิดไปยังล้อหลังที่ใช้ในการขับเคลื่อน และทำให้มันเป็นรถสปอร์ตที่มี 2 บุคลิก คือ เกาะถนนสุดๆ กับดริฟต์แบบควันท่วมล้อได้ทั้งสองแบบ ขึ้นอยู่กับการเลือกโหมดการขับขี่และฝีมือของผู้ที่ควบคุม

ชุดเฟืองท้าย ประกอบด้วย Multiple Plate Clutch สองชุด แยกการทำงานฝั่งซ้ายและขวา โดยระดับของการกระจายแรงบิดไปยังแต่ละล้อขึ้นตรงกับ ECU ระบบ Driveing Stability Control หรือตัวช่วยควบคุมการทรงตัวถูกอัพให้มีความแตกต่างจาก Z4 M40i ในสไตล์การจูนของ Toyota เพื่อทำให้มีความเหมาะสมกับแรงม้า 340 ตัว และแรงบิดระดับ 500 นิวตันเมตร 

ภายในของ GR Supra
รถ GR Supra นั้นมีงานตกแต่งภายในต่างจากรถ Z4 G29 อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงของแดชบอร์ด คอนโซล หน้าปัดมาตรวัด ระบบเครื่องเสียง ซุ้มเกียร์ แผงประตู จอแสดงผลกลาง พวงมาลัย ส่วนปุ่มและสวิตช์ต่างๆ ยังคงมีหน้าตาที่คล้ายกับอุปกรณ์ภายใน BMW

GR Supra เวอร์ชั่นผลิตขายจริงออกแบบมาเพื่อเอาใจผู้ขับเป็นหลัก ถึงขนาดยอมจัดเนื้อที่และคอนโซลเพื่อให้คนขับมีเนื้อที่สำหรับขยับตัวได้มากกว่าฝั่งคนนั่ง หลังคาทรง Double-bubble ก็แหวกพื้นที่ให้สามารถนั่งได้ถนัด แม้จะใส่หมวกกันน็อกขับก็ตาม ตำแหน่งท่านั่งขับเหมาะสม การตัดพื้นที่เบาะหลังออกไปให้เหลือแค่ 2 ที่นั่งกลายเป็นเรื่องที่ดีและถูกใจลูกค้าส่วนใหญ่ เบาะหลังที่คับแคบในรถสปอร์ตทั่วๆไปเหมาะกับการวางของกระจุกกระจิกมากกว่าจะเอาคนเข้าไปนั่ง

GR Supra มีคันเกียร์ และสวิตช์ควบคุมจอกลางลักษณะเหมือน iDrive ของ BMW เพราะเครื่องยนต์และอุปกรณ์หลายอย่างเป็นของ BMW การที่หลีกไปใช้สวิตช์ควบคุมแบบอื่นน่าจะสร้างปัญหาตามมา ว่าจะทำยังไงให้ระบบของ Toyota กับ BMW คุยกันรู้เรื่อง และระบบของ BMW นั้นก็ใช้ได้ดีอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไรให้มากเรื่อง ปุ่มและสวิตช์ต่างๆ ของ BMW ทำออกมาสวยงามและใช้งานได้ดี การมีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้ทำให้การขับของมันด้อยลงแต่อย่างใดทั้งสิ้น 

รถใหม่ ราคาก็ใหม่
Toyota ยังไม่กำหนดว่าจะขาย GR Supra ใหม่ในราคาเท่าไร แต่จากที่ Tada บอก ราคาก็ไม่น่าจะแพงเกินไปนัก สมัยก่อน Supra เป็นคู่แข่งกับ GT-R แต่ในยุคนี้ GT-R กลายเป็นเครื่องจักรสังหาร 580 แรงม้าที่ราคาสูงระดับ 10 ล้านบาทไปแล้ว ดังนั้น Supra ใหม่ก็คงตามไปไม่ได้ เพราะจะผิดนโยบายที่ Tada กำหนดไว้ว่า ต้องอยู่ในระดับราคาที่คนทั่วไป (ที่อาจจะรวยหน่อย) ซื้อหามาใช้ได้บ้าง ราคาของ Z4 M40i ในประเทศไทยอยู่ที่ 4,999,000 บาท และ GR Supra ก็น่าจะมีราคาที่ไม่แพงไปกว่านั้น คู่แข่งอย่าง Cayman รุ่นมาตรฐาน ตั้งราคาไว้ที่ 6,600,000 บาท ส่วน Cayman S รุ่นที่แรงกว่ามีราคาพุ่งไปถึง 7,800,000 บาท ดังนั้น ลูกค้าของ Toyota อยากจะเห็นราคาของ GR Supra ใหม่อยู่ในระดับที่ถูกกว่ารถสปอร์ตคู่แข่งซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก เรื่องขนาดตัวรถก็ถือว่าเหมาะสม GR Supra มีความยาว 4,379 มิลลิเมตร กว้าง 1,854 มิลลิเมตร สูง 1,294 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,470 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1,495 กิโลกรัม ซึ่งใกล้เคียงกับ Porsche Cayman

จากข้อมูลของ Z4 เราบอกอะไรเกี่ยวกับ Supra ได้บ้าง?

ผมมีโอกาสได้ลองขับ BMW Z4 ใหม่รุ่น M40i มาแล้วบนถนนในประเทศไทยนานถึง 8 วัน ก่อนการเดินทางไปทดสอบ GR Supra แค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น Z4 M40i ทำให้รู้สึกประทับใจกับความคล่องตัวของรถ ความง่ายในการควบคุมคันเร่ง และสมดุลที่ดีระหว่างความหนึบแน่น เกาะถนน การบังคับควบคุมทิศทางและการซับแรงสะเทือน Z4 มีพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้าเหมือนกับ GR Supra โช้คอัพแบบ Adaptive dampers ที่แตกต่างจาก GR Supra ซึ่งใช้โช้คอัพแบบค่าตายตัวไม่กระโดดไปมาจากการปรับของระบบอิเล็กทรอนิกส์ เฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปคล้าย M Differential ของ M5 แต่มีขนาดเล็กกว่า เวลาขับไปตามเส้นทางปกติ มันเป็นรถสปอร์ตโรดสเตอร์ 2 ที่นั่งที่ใช้สบาย นั่งแล้วนุ่มเหมือนรถ GT และถ้าอยู่ใน Comfort Mode ก็จะสบายตัวสุดๆ แต่พอเริ่มเล่นโหมด Sport พวงมาลัยจะหนักขึ้น เครื่องยนต์และระบบเกียร์ตอบสนองดุดันขึ้น ด้วยการที่มีเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปกับช่วงล่างที่สามารถปรับความแข็งได้ ทำให้พอปรับไปโหมด Sport + ก็กลายเป็นรถแข่งที่ขับสนุกอย่าบอกใคร มันสามารถเร่งความเร็วได้สูสีกับ 718 Boxster ดูทรงแล้วทั้ง Z4 กับ GR Supra ก็มีสมรรถนะไม่แพ้คู่แข่ง และที่สำคัญ ในคลาสและราคาระดับนี้ ก็จะมีแต่พี่น้องคู่นี้ที่ได้เครื่อง 6 สูบเรียงเทอร์โบเดี่ยว เพราะคนอื่นขายกันแต่แบบ 4 สูบ ไม่เว้นแม้แต่ 718 Cayman และ Boxster ที่วางเครื่องเล็กในรถรุ่นมาตรฐาน

Toyota ใช้เฟืองท้ายแบบเดียวกันกับ Z4 M40i เป็นเฟืองท้ายไฟฟ้าแบบ 2 way limited slip differential แต่มีช่วงล่างแบบปรับความหนืดด้วยไฟฟ้าไม่ได้ ช่วงล่างแบบค่าตายตัวมาดมั่นกว่าและปรับจูนให้ลงตัวได้ง่ายกว่ามากและเมื่อปรับตั้งเรียบร้อยมาจากโรงงานก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปวุ่นวายกับการตั้งค่าของโช้คและสปริงให้มากเรื่อง นอกจากคุณจะเป็นทีมแข่งและซื้อ GR Supra มาสำหรับการแข่งขันเท่านั้น Tada เป็นวิศวกรของ Toyota ที่ประธานใหญ่ Toyoda ไว้วางใจ เป็นคนที่ชอบขับรถแข่งแบบจูนรถทีเดียวให้ขับได้สมรรถนะดีที่สุด แล้วก็ไม่ต้องไปปรับแต่งอะไรให้มากเรื่องมากราวอีกต่อไป ดูแนวทางอย่างที่ Tada ทำกับ 86 ก็ได้ ถ้าลูกค้าไม่ชอบ ก็ไปโมดิฟายเอาเองตามใจภายหลัง รถอย่าง 86 มีโช้คอัพแบบธรรมดา และพวงมาลัยเพาเวอร์ก็ไม่มีระบบเพิ่มความหนักในโหมด Sport สำหรับชุดบังคับเลี้ยวแบบไฟฟ้าของ GR Supra เซตมาให้หนักเท่า Z4 ในโหมด Sport สำหรับน้ำหนักของการขับแบบปกติที่ยังไม่เข้าสู่โหมด Sport ของ GR Supra ก็คล้ายกับ Z4 M40i ในโหมด Comfort สำหรับ Z4 มีจุดอ่อนอย่างเดียวคือตัวถัง ซึ่งจะมีอาการให้ตัวนิดๆ เวลาวิ่งเข้าโค้งแรงๆ บอดี้คูเป้หลังคาแข็งอย่าง Supra ไม่พบปัญหานี้แม้แต่นิดเดียว

อนาคตของ Supra
ก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการนั้น Toyota ใช้รถ GR Supra เวอร์ชั่นแข่งในการค่อยๆ เปลื้องผ้าให้ผู้ชมทางบ้านดูอย่างช้าๆ ในขณะเดียวกัน ก็เป็นการยืนยันว่า Toyota จะส่ง GR Supra เข้าไปแข่งใน World Endurance Championship คลาส GTE ด้วย ดังนั้นของแต่งที่ใส่มา ไม่ใช่ให้มาเก๋ๆ แต่ทำเพื่อให้เตรียมตัวรถสำหรับการแข่งจริง เพราะ GR Supra ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการแข่ง ผู้บริหารระดับสูงในแบรนด์ 3 ห่วงเองก็มีการแข่งเหล่านี้ในใจอยู่แล้ว และสร้างรถมาให้พร้อมสำหรับภารกิจนี้ในแบบเดียวกันกับที่ Ford ทำกับรถรุ่น GT คลาสแข่งขัน GTE นั้นมีความสนุก ยิ่งได้เห็น GR Supra มาร่วมแล้วจะยิ่งน่าดูกว่าเดิมเพราะมีแอ็กชั่นมันๆ ให้ติดตามตลอดเวลา มันจะไปเจอคู่แข่งอย่าง Ford GT, Porsche 911 RSR, Ferrari 488 GTE Evo, Aston Martin Vantage และ BMW M8 GTE ซึ่งถ้าดูรายชื่อรถเหล่านี้ คุณจะเห็นได้ว่าถ้าเป็นเวอร์ชั่นขายจริง รถที่ถูกที่สุดน่าจะเป็น 911 ซึ่งรุ่น GT3 ก็มีราคา 112,000 ปอนด์ หรือ 18.4 ล้านบาท แล้ว ส่วน Aston ก็ราคา 121,000 ปอนด์ หรือ 16,490,000 บาท ในรุ่น 503 แรงม้า ส่วน Ferrari 488GTB มีราคาแพงกว่านั้นสองเท่าที่  31,500,000 บาท และไม่ต้องพูดถึง Ford ซึ่งตั้งราคาไว้สูงถึง 450,000 ปอนด์ (ยังไม่รวมอัตราภาษีนำเข้า) 

แล้วรถอย่าง GR Supra ที่ราคาน่าจะไม่เกิน 5,000,000 บาท และมีกำลังแค่ 340 แรงม้าจะสามารถต่อกรกับรถพลังสูงเหล่านี้ได้หรือไม่? แน่นอนว่าทีมวิศวกรต้องพยายามอย่างหนักที่จะใช้ประโยชน์ตามขอบเขตที่กำหนดไว้ตามกฎของคลาส GTE ดูคู่แข่งอย่าง BMW M8 GTE นั้น ใช้เครื่อง 4.0 ลิตร V8 500 แรงม้า Ford ใช้เครื่อง 3.5 ลิตร V6 ในขณะที่ Supra ใช้เครื่องยนต์ BMW แบบ 6 สูบเรียงเทอร์โบ มีความจุแค่ 3 ลิตร อาจจะต้องใช้การวางแผนในการวิ่ง/แวะเข้าพิทเพื่อเติมเชื้อเพลิง ซึ่งรถอย่าง GR Supra เครื่องเล็ก น่าจะใช้น้ำมันต่อ 1 รอบวิ่งน้อยกว่า อย่าลืมว่าพื้นฐานของเครื่องยนต์ B58 ของ BMW นั้น ถูกวางในรถ M Car อย่าง BMW M2 / M3 /M4 ที่เป็นทั้งรถบ้านพลังเหลือล้นและรถแข่งประสิทธิภาพเหลือร้ายที่พร้อมจะฟาดฟันกับรถเครื่องโตได้อย่างไม่อายฟ้าดิน! ความคงทนและสมรรถนะด้านแรงบิดจะยิ่งกลายเป็นตัวแปรสำคัญในสนามแข่ง และแม้จะใช้งานในชีวิตจริง GR Supra ก็ยังแรงมากและทำให้ผมหรือใครก็ตามที่ได้ลองขับรู้สึกติดอกติดใจอยากได้มาขับเล่นในวันหยุดเหมือนกับคนรวยทั่วไปที่สามารถซื้อรถเหล่านี้ได้แบบไม่ต้องคิดอะไรกันมากนัก

Toyota GR Supra ที่ผมได้ลองขับทั้งบนถนนและในสนามแข่งของเมืองเซนไดเป็นรถเวอร์ชั่นถนนที่มีศักยภาพสูง สวยงามทันสมัยและมีแรงบิดมากพอที่จะพุ่งออกจากจุดหยุดนิ่งโดยทิ้งรอยยางดำๆ เอาไว้เป็นทาง! การสร้างเวอร์ชั่น GR หรือ Gazoo Racing ที่เบาและไปได้เร็วทำให้เกิดความรู้สึกที่เชื่อมโยงกับมอเตอร์สปอร์ต เป็นความต้องการของประธานบริษัท Toyota ที่ชอบการแข่งรถเป็นชีวิตจิตใจ อารมณ์หลังพวงมาลัยออกมาในแบบที่รถสปอร์ตสองที่นั่งควรจะเป็น เสียงของท่อระบายท้ายหวานราวกับเครื่องยนต์ V8 แบบหายใจเองไม่มีเทอร์โบและความมาดมั่นของช่วงล่างจะยิ่งทำให้คนที่ได้ลองรู้สึกติดอกติดใจ

ผมเคยเห็นผลงานของ Gazoo Racing มาแล้วในสนามแข่งรถมหาโหดอย่าง Nürburgring-Nordschleife ในรายการ ADAC Nürburgring 24h รถอย่าง Corolla Altis ซึ่งขับดีมากและวิ่งจนครบจบอย่างสวยในปี 2016 ทำให้มันคว้าอันดับที่ 2 และที่ 4 ในรุ่น SP3 เป็นการคว้าชัยชนะครั้งแรกของทีมไทยในสนามนรกเขียว รวมระยะทางในการแข่งแบบเอนดูลานซ์ในสนามสุดโหดไกลถึง 3,300 กิโลเมตร รวมถึง C-HR Toyota Gazoo Racing Thailand ของทีมไทยที่เพิ่งจะคว้าอันดับที่สามรายการเอนดูลานซ์ 24 ชั่วโมงในปีนี้ที่ Nürburgring เพราะได้เครื่อง 3SGE เฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปแบบกลไก ช่วงล่างกับแอร์โรพาร์ทใหม่ มันมีรุ่น Hybrid ที่ขับสนุกและขายในประเทศไทยด้วยราคาแค่ 1 ล้าน ซึ่งก็ได้รับความนิยมอย่างท่วมท้นสำหรับคนรุ่นใหม่วัยทำงาน วิศวกรของ Toyota Gazoo Racing Thailand ที่ลงมือปรับจูนรถครอสโอเวอร์ธรรมดาสามัญให้กลายร่างเป็นรถแข่งเล็กพริกขี้หนูอย่างเจ้า C-HR Nürburgring Class SP3 นั้นสุดยอดมากจนสามารถเอาชนะรถแข่งแสบๆ ของเยอรมนีและฝรั่งเศสในสนามหลังบ้านของพวกเขาเองนี่แหละที่เจ๋งสุดๆ รวมไปถึงทีมวิศวกรของ Tada ที่ลงมือลงแรงพัฒนา GR Supra ร่วมกับค่าย BMW ถ้าให้คนเหล่านี้มาเซตรถสปอร์ตขับเคลื่อนล้อหลังที่มีพลังสูงกว่า และสามารถนับได้เป็น Porsche Cayman เวอร์ชั่นญี่ปุ่น เชื่อได้เลยว่างานนี้ต้องไม่ธรรมดา และมันเป็นอย่างนั้นจริงเมื่อได้ลองขับทดสอบทั้งในสนามแข่งและบนถนนปกติของเมืองเซนได 

ถนนในบริเวณภูเขาที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเซนไดนั้นมีสภาพเส้นทางที่ใช้พิสูจน์สมรรถนะของรถได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะเส้นทางวกวนขึ้นลงเขาใกล้ๆ กับสนามแข่งรถ เรียกได้ว่าถ้าช่วงไหนไม่ใช่โค้ง ก็เป็นช่วงที่คุณต้องเล่นเกียร์ให้เหมาะกับสถานการณ์ตลอด ผมอยู่ในรถ GR Supra ที่ Toyota เชิญมาให้ทดลองขับ และที่นั่งอยู่บนเบาะข้างๆ ก็คือ instructor ซึ่งเป็นนักแข่งของทีม Toyota ในรายการ Japan Super GT Class GT300  ชื่อ Hideto Yasuoka คอยแนะนำเส้นทางและบอกจุดเลี้ยวเพื่อกันไม่ให้ผมขับหลงทาง แม้ว่าจะไม่สามารถใช้ความเร็วได้มากนักเนื่องจากกฎหมายจราจรที่เข้มงวดของประเทศญี่ปุ่น แต่ GR Supra ก็แสดงออกถึงศักยภาพในด้านความคล่องตัวจากการลัดเลาะไปบนทางลาดยางสองเลนสวนกันที่ค่อนข้างคับแคบ เครื่องยนต์ 6 สูบเรียง เทอร์โบเดี่ยว 340 แรงม้าในโหมดปกติมีเสียงที่ไม่ได้ดังมากจนเกินไป ตำแหน่งการขับขี่ที่ต่ำแบบรถสปอร์ตสายพันธุ์แท้ทำให้รู้สึกดีมากเมื่อหย่อนก้นลงไปนั่ง พวงมาลัยวางตำแหน่งคล้ายกับ GT86 สามารถปรับได้อย่างหลากหลายเพื่อให้เข้ากับสรีระของคนขับ การหักเลี้ยวที่คล่องตัวจากตัวถังที่บาลานซ์มาดีเยี่ยม ก็ทำให้มันเป็นรถที่ขับในย่านความเร็วต่ำได้สนุกเหมือนกับบรรดารถสปอร์ตสปอร์ตคู่แข่ง สิ่งที่เหนือกว่าก็คือ มันขับสบายมากกว่า Porche Cayman ไม่ว่าจะเป็นท่านั่ง พื้นที่ภายใน ความนุ่มนวลของช่วงล่างและการซับแรงสั่นสะเทือน ในจุดนี้ถือว่าทำออกมาได้ดีแม้จะมีกลิ่นของ BMW โชยออกมาเป็นระยะๆ ก็ตาม

สำหรับ GR Supra รุ่นใหม่ มันเป็นรถสปอร์ตคูเป้ที่มีบางสิ่งบางอย่างเหมือนกับ GT 86 และมีบางสิ่งที่แตกต่างกันออกไป มันคือรถที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยวิศวกรหัวใสของ Toyota นามว่า Tetsuya Tada ซึ่งในปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการของหน่วยสร้างรถสมรรถนะสูง Gazoo Racing ภายใต้ปีกของ Toyota นั่นเอง Tada คือเบื้องหลังความสำเร็จของทั้ง 86 และ GR Supra นอกจากนี้ ในขณะที่ 86 เป็นรถที่เกิดจากความร่วมมือข้ามค่ายกับ Subaru เจ้า GR Supra ก็เป็นรถแบบเดียวกัน นั่นก็คือความร่วมมือกันอย่างเหนียวแน่นจากความสัมพันธ์ของ Toyota Motor และ BMW Group ซึ่งบางคนอาจมองว่ามันไม่ใช่ Supra ที่แท้จริง แต่จะไปสนใจอะไรกับเรื่องแบบนั้นเพราะทุกวันนี้การทำธุรกิจก็ต้องหวังกำไรบ้างเป็นเรื่องธรรมดา การแชร์ชิ้นส่วนร่วมกันทำให้ทั้งสองบริษัทประหยัดค่าใช้จ่ายลงไปได้เยอะพอสมควร ปัจจุบัน รถสปอร์ตนั้นถูกผลิตและขายในจำนวนที่น้อยกว่ารถอเนกประสงค์ SUV อยู่แล้ว การเพิ่มค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็นในขั้นตอนของการพัฒนาอาจทำให้มันถึงแก่กาลอวสานได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นการร่วมมือร่วมแรงที่จะได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย

Toyota GR Supra ได้แชสซี เครื่องยนต์ เกียร์ และช่วงล่างมาจาก BMW แน่นอนว่ามันต้องขับได้ดีอยู่แล้ว แต่ก็มีจุดที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เช่น เปลือกตัวถังที่ไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง ลองสังเกตดูให้ดีคุณจะเห็นว่าบั้นท้ายของ GR Supra นั้นโหดร้ายดุดันกว่า Z4 ไม่ว่าจะเป็นท่อระบายไอเสียสไตล์รถแรงของแดนปลาดิบ ครีบรีดอากาศที่สวยงามและใช้งานได้จริง ฝาท้ายแบบตูดเป็ดที่ทำให้นึกถึงฝาท้ายของ Porsche 911 บางรุ่น! ไฟท้ายที่เฉียบคมกับช่องระบายอากาศด้านข้างของโป่งซุ้มล้อหลัง งานตกแต่งภายในห้องโดยสารที่ถึงแม้จะคล้ายกับ BMW แต่สไตล์ของ Toyota ก็ยังปรากฏอยู่ทั่วไปหมด ระบบรองรับที่เปลี่ยนจาก Adaptive Suspension มาเป็นช่วงล่างแบบตายตัวก็ยังปรับมาได้อย่างสมดุล มันมีให้คุณทั้งความนิ่มนวลเมื่อขับผ่านผิวถนนที่ขรุขระและเกาะหนึบเป็นตุ๊กแกเมื่ออัดเข้าโค้งแรงๆ พวงมาลัยชั้นเลิศที่จูนน้ำหนักตรงตามความต้องการของเจ้าของรถที่ต้องควักเงินเกือบๆ 5 ล้านบาท โดยภาพรวม GR Supra แม้จะคล้ายกับ Z4 ในด้านของสัมผัสหลังพวงมาลัยแต่กลับต่างอย่างสิ้นเชิงในด้านของรูปทรงและสไตล์การใช้งาน  

ไม่ต้องใช้ความพยายามกันให้มากเรื่องคุณก็สามารถขับ GR Supra ได้ง่ายเหมือนกับการขับ Vios หรือ Yaris เครื่อง 6 สูบเทอร์โบและมีกำลังมหาศาลหลับใหลไปตามสภาพของการจราจรที่ถูกกำหนดให้ใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นการขับออกถนนปกติบนเกาะญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกของผมหลังจากใช้ชีวิตส่วนใหญ่ทดสอบรถอยู่แต่ในสนามแข่งหรือสนามทดสอบของบริษัทรถญี่ปุ่นมาโดยตลอด GR Supra เลี้ยวไปตามทางที่คดเคี้ยวได้อย่างแม่นยำ ในโค้งมันก็ยังทำตัวได้อย่างสมดุลจากการกระจายน้ำหนักที่โดดเด่นและมีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำกว่ารถทั่วไป ทางตรงช่วงขึ้นเขา GR Supra ดีดตัวพุ่งทะยานทิ้งรถคันอื่นเอาไว้ข้างหลัง Hideto Yasuoka ปรับโหมดการขับด้วยการกดไปที่สวิตช์ Sport ผมทำตามด้วยการส่งคันเร่งเต็มที่ GR Supra โต้กลับทันทีด้วยแรงดึงมหาศาลระดับ 500 นิวตันเมตรและกระชากพรวดเดียวก็มาถึงจุดสูงสุดของสันเขาพร้อมกับเสียงท่อท้ายที่ไพเราะเพราะพริ้งราวกับเครื่อง V8 ของซุปเปอร์คาร์จากอิตาเลียน เมื่อถึงจุดแวะพัก พอจอดรถเรียบร้อย Hideto Yasuoka หันมาถามว่า เป็นยังไงรู้สึกอะไรบ้างมั้ย ถ้าคุณยังไม่สาแก่ใจในถนนชนบทของญี่ปุ่นเดี๋ยวตอนบ่ายเราจะไปมันกันต่อในสนามแข่ง!  

ตัวถังของ Supra ใหม่ ทั้งเตี้ย และกว้าง ดูดุดันสมกับเป็นรถที่เกิดมาเพื่อความสปอร์ต เสียงรอบเดินเบาทุ้มและมีความดังในระดับที่บ่งบอกได้ว่าเป็นรถไม่ธรรมดา เครื่องยนต์เทอร์โบ 3.0 ลิตร 340 แรงม้าวางอยู่ข้างหน้า แน่นอนว่าเป็นเครื่องยนต์ของ BMW แต่ใช้ Software คุมเครื่องของ Toyota เกียร์ และเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปไฟฟ้าจาก BMW เฟืองท้ายไฟฟ้านี้ ทำงานโดยใช้มอเตอร์ปรับอัตราทดส่วนต่างของเฟืองภายในเวลาอันรวดเร็วโดยใช้เฟืองทดแยกอีกตัว รูปทรงของรถนั้นมีจุดเด่นที่หลังคานูนคู่ เส้นสายด้านข้างค่อยๆ บานออกเหมือนขวดโค้ก กระจกหน้าและข้างแบบ Wraparound คล้ายแว่นกันแดดทรงทันสมัย และท้ายรถที่มีขนาดใหญ่ ทำให้รถดูโตกว่าความเป็นจริงทั้งที่ขนาดตัวมันก็เท่าๆ กับ Porsche Cayman

พอพูดถึง Cayman ขึ้นมา Tada อมยิ้ม พร้อมกับเล่าว่าอันที่จริงในช่วงที่เริ่มโครงการกับ BMW พวกเขาก็คิดจะสร้างรถรุ่นใหม่เป็นแบบเครื่องวางกลางลำเหมือนกัน “โดยทางเทคนิคแล้ว รถเครื่องวางกลางลำนั้นมีความได้เปรียบรถเครื่องวางหน้า รถหักเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางได้คล่องกว่าการมีเครื่องยนต์อยู่ด้านหน้า สปอร์ตเครื่องวางกลางยังไม่ต้องแบกน้ำหนักเพลากลางเส้นยาว รวมไปถึงการจัดพื้นที่ต่างๆ ก็ไม่ยากในแง่ของการเป็นรถสปอร์ต ดังนั้นถ้ามองอย่างนี้ รถเครื่องวางหน้าก็สู้รถเครื่องวางกลางไม่ได้ แต่พอมาเป็นการขับบนถนนจริง เราพบว่ารถขับหลังจะให้ความรู้สึกในการควบคุมที่สนุกกว่า คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่า ผมว่านี้เป็นเรื่องสำคัญ และท้ายสุด ผมเคยไปหา Akio Toyoda แล้วเสนอไอเดียจะทำ Supra เป็นรถเครื่องวางกลางลำ เขาก็บอกว่าไม่มีทาง! ก็เลยหยุดความคิดไปโดยปริยาย”

ในช่วงบ่าย หลังจากขับบนถนนสาธารณะของเมืองเซนไดก็มาถึงการอัดสปอร์ตรุ่นใหม่ของ Toyota ในสนามแข่ง Sugo International Racing Course ความยาว 3.737 กิโลเมตร เป็นสนามแข่งรถเล็กๆ ที่อุดมไปด้วยโค้งอันน่าหวาดหวั่นมากถึง 13 โค้ง จุดอันตรายที่สุดในสนามมีอยู่ทั่วไปหมดและทำให้คนที่ไม่เคยลองขับในสนามแข่งแห่งนี้ถึงกับขนหัวลุก

ผมขึ้นรถ GR Supra สีเทาที่ขับตั้งแต่ตอนเช้าบนถนนของเมืองเซนได แล้วขับออกไป เพียงแค่ 2-3 โค้งแรกก็รู้สึกได้แล้วว่าแม้วงพวงมาลัยจะอวบอ้วนและมีน้ำหนักตึงมือกับแป้นเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ Paddle Shift สไตล์ BMW แต่น้ำหนักเวลาหักเลี้ยวนั้นจะไม่ขืนมือมากเท่า BMW Z4 M40i โรดสเตอร์สายพันธุ์แรงที่ผมขับก่อนหน้าที่จะเดินทางมาทดสอบในญี่ปุ่นแค่อาทิตย์เดียว และที่สำคัญ การตอบสนองของรถมีความคล้ายกับ GT86 อย่างมาก คือเลี้ยวเท่าไร เร่งเท่าไร มันก็ให้เราตามที่เราสั่ง ไม่มากหรือน้อยเกินไป คาดเดาอาการได้ง่าย GR Supra ไม่ได้กวาดท้ายออกง่ายอย่างที่คิด เว้นเสียแต่ว่าคุณตั้งใจทำ ตอบสนองไว แต่ไม่กระโชกโฮกฮาก เกาะถนนดี แชสซีและช่วงล่างแบบค่าตายตัวรู้อาการทุกอย่างที่เกิดกับหน้าและท้ายรถ ขับสนุกและง่ายต่อการควบคุมแบบรถเครื่องวางหน้าขับหลังตามที่คาดหวัง แต่อันที่จริง ตัวเครื่องยนต์เกือบทั้งหมดถูกวางไว้หลังแนวแทร็คล้อหน้า คล้ายกับของ Lexus LC500 ดังนั้นจะเรียกว่าเป็น Front/Mid Engine ก็คงจะไม่ผิด การกระจายน้ำหนัก 50/50 แบบ Z4 ก็ยิ่งทำให้รถมีความเสถียรมากยิ่งขึ้นเมื่อขับเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงอาการโคลงตัวแทบจะไม่ปรากฏออกมาให้เสียวสันหลัง 

ผมลองใช้ความเร็วเข้าโค้งเพิ่มขึ้นจนถึงจุดที่คิดว่าจะมีอาการหน้าดื้อ แต่ก็ไม่มีอาการดังกล่าวโผล่ออกมาให้เห็น Hideto Yasuoka ครูฝึกสอนหรือ instructor ชาวอาทิตย์อุทัยซึ่งเป็นนักแข่งชั้นนำที่นั่งไปด้วย ให้ความเห็นระหว่างที่ผมกำลังจัดการกับโค้งในสนามแข่ง Sugo International Racing Course ว่า คุณลองสังเกตการทำงานของช่วงล่างที่แน่นตึบ มันเป็นรถที่คุมการยวบและยืดได้ดีมาก Hideto ยังบอกว่าผมสามารถเข้าโค้งได้เร็วกว่าเดิม เมื่อลองเบรกให้ช้าลงแล้วไปตามไลน์ที่บอกก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เหล็กกันโคลงหน้าของ Supra จะมีลักษณะที่ต่างจากของ BMW Z4 ซึ่ง Tada บอกว่านี่คือเคล็ดลับที่ทำให้ล้อหน้าของ Supra เกาะถนนดีขึ้นมาก ดังนั้นคุณจึงมีความมั่นใจในโค้งเหมือนเวลาขับ 86 ทั้งที่รถมีน้ำหนักมากกว่าพอสมควร แต่ก็มีพละกำลังมากเกินพอเช่นกัน และรถสปอร์ตทั้งสองรุ่นก็ต่างกันมาก ดูจากอัตราเร่งตอนออกจากโค้งแล้ว ไม่มีทางที่ GT86 จะตามทันได้เลย บนทางตรง กำลัง 340 แรงม้าพาเจ้า GR Supra พุ่งลิ่วๆ เป็นลูกธนูโดยสามารถทำความเร็วทางตรงได้ 197 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก่อนที่จะใช้เบรกแบบเต็มกำลังเพื่อมุดเข้าสู่โค้ง 1 ซึ่งเป็นโค้งขวาที่มีแรงเหวี่ยงมหาศาล พูดถึงเครื่องยนต์แบบ 6 สูบเรียง Tada ก็เล่าให้ฟังว่า เขาได้รับการติดต่อจากแฟนพันธุ์แท้ Supra หลายคนถามมาเหมือนกันว่าจะยกเครื่อง BMW ออกแล้ววาง 2JZ-GTE แทนได้หรือไม่ อย่างไรก็ตามสื่อมวลชนจำนวนมากรวมถึงผมรู้สึกว่าเครื่องยนต์ BMW B58 ก็ยอดเยี่ยมมากแล้ว และควรปล่อยให้ 2JZ-GTE กลายเป็นอดีตไปซะ เพราะอย่าลืมว่ามันก็คือเครื่องที่มาจาก BMW รุ่นที่ไม่ธรรมดา อย่างเช่น M40i ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะผมเพิ่งลงจาก Z4 M40i เลยทำให้รู้สึกว่า GR Supra เครื่องแรงมากและขับสนุกสูสีกันมากแตกต่างแค่สไตล์ของตัวรถเท่านั้น แต่อันที่จริงนอกจากแรงแล้วยังเจ๋งอีกด้วย เครื่อง B58 มีแรงบิดมหาศาลให้ใช้ตั้งแต่รอบกลาง และเมื่อกระแทกคันเร่ง ก็กวาดไปหาเรดไลน์อย่างรวดเร็ว เสียงท่อโคตรจะเพราะ มีเสน่ห์จนทำให้เจ้าของต้องกดคันเร่งลึกๆ เพื่อฟังเสียงการทำงานของเครื่องยนต์และท่อท้าย เครื่องยนต์ตัวนี้ยังเดินเรียบแม้ในยามลากรอบสูง โหมด Sport มันจะมาพร้อมเสียงระเบิดปังๆ ที่ทำให้ย้อนกลับไปสู่วัยเด็กซนๆ อีกครั้ง

ภายในรถ GR Supra แม้จะพยายามออกแบบงานตกแต่งต่างๆ เช่น แดชบอร์ดและคอนโซล เบาะ พวงมาลัย มาตรวัด ให้แตกต่างจาก Z4 แต่ก็ยังพบชิ้นส่วนประกอบที่ดูคล้าย BMW แทบจะทุกส่วน ตั้งแต่คันเกียร์ ไปจนถึงจอมอนิเตอร์กลาง ยังดีที่แผงหน้าปัดกับจอ HUD ของ GR Supra ไม่เหมือนกับของ BMW อย่างชัดเจน รวมถึงเครื่องเสียง JBL ของ GR Supra ที่แตกต่างจาก harman kardon surround sound system ของ Z4 M40i ในภาพรวม ผมคิดว่าการที่ GR Supra จะมีส่วนเหมือน BMW บ้างก็คงไม่ใช่ปัญหา ลองคิดดูว่าถ้าการที่เรายอมให้มีชิ้นส่วน BMW มาปะปนบ้างแล้วมันจะทำให้ Toyota สามารถฟื้นคืนชีพ Supra ได้ มันก็คุ้มค่ามิใช่หรือ?

Tada ยืนยันความคิดนั้น “คือถ้าสมมติว่าเราสร้าง Supra ด้วยตัวเองทั้งหมด ก็ต้องลงทุนเยอะมาก โอกาสที่จะได้ไฟเขียวจากกรรมการบริหารบริษัทก็แทบจะไม่มี เราก็เลยต้องมีการร่วมมือกันในลักษณะนี้ แต่เราก็ทำ GR Supra ให้แตกต่างจาก Z4 ในส่วนที่เราทำได้ เช่นการที่ Supra เป็นรถที่ให้ความสำคัญกับความสนุกในการขับ ห้องโดยสารจึงถูกออกแบบให้ฝั่งคนขับมีพื้นที่ให้ขยับตัวได้มากกว่า แต่ Z4 จะมีแนวทางที่ต่างกัน กล่องควบคุมเครื่องยนต์และช่วงล่างแบบสปอร์ตที่เซตค่ามาแบบตายตัวก็แตกต่างกัน ในระหว่างที่ Toyota พัฒนารถช่วงแรก ก็พบว่ามีความคิดหลายอย่างไม่ตรงกัน สงสัยเหมือนกันว่าทำไมจึงเป็นอย่างนั้นทั้งๆ ที่เราก็มีเป้าหมายในการสร้างรถสปอร์ตเหมือนกัน ท้ายสุดแล้วผมก็คิดได้ว่าเราต้องเริ่มจากกระดาษขาวแผ่นใหม่ถึงจะถูก แต่เดิม เราเริ่มด้วยดีไซน์และรถแบบเดียวกับของ BMW แล้วพยายามทำให้มันเป็นรถของ Toyota วิธีคิดใหม่ของผมในเวลานั้นก็คือ เราต้องออกแบบรถของเราเองต่างหาก แล้วค่อยมาดูว่าตรงไหนบ้างที่สามารถใช้ชิ้นส่วนร่วมกับ BMW ได้ ดังนั้นผมบอกได้เลยว่านี่จะทำให้รถเราต่างกัน แม้จะเป็นเครื่องยนต์และเกียร์แบบเดียวกัน แต่การปรับจูนที่ทำโดย Toyota รวมไปถึงช่วงล่าง และการขับขี่ รถทั้งสองคันนี้จะให้ประสบการณ์ในการขับที่ไม่เหมือนกัน”

ส่วนที่แตกต่างกันชัดเจนที่สุด น่าจะเป็นหลังคา เพราะในขณะที่ BMW Z4 G29 จะมีแต่เวอร์ชั่นหลังคาผ้าใบ Toyota ก็จะทำแต่รถ GR Supra เฉพาะรุ่นคูเป้หลังคาแข็งเท่านั้น ดังนั้นความได้เปรียบเรื่องความแข็งแรงของตัวถังจึงน่าจะมากกว่า Z4 Tada ยังเคลมอีกว่าตัวถังเหล็กธรรมดาของ GR Supra นั้นมีดีกรีทนต่อแรงบิดเค้นมากกว่าตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์ของ Lexus LF-A เสียอีก การกระจายน้ำหนักของตัวถังก็อยู่ในเกณฑ์ 50:50 และยังมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำกว่าของ Toyota 86 ด้วยซ้ำ ตำแหน่งการนั่งเตี้ยแบบรถสปอร์ต มีเบาะนั่งที่โอบอุ้มตัวคนนั่งไว้ได้อย่างรัดกุม หลังคาแบบนูนทำให้มีพื้นที่เหนือศีรษะเพิ่มขึ้น ทัศนะวิสัยรอบคันดีกว่าที่คาด เสียงรบกวนในขณะขับขี่ก็น้อยกว่าใน 86 ตามที่ Tada บอก “ก็รถมันแพงกว่า ดังนั้นลูกค้าก็จะคาดหวังจาก Supra มากกว่า เราก็ต้องทำให้มันสมราคาครับ”

ในการขับขี่แบบ Normal Mode นั้น ช่วงล่างยังมีความนุ่มให้สัมผัสอยู่ ขนาดล้อที่ใช้เป็นแบบ 19 นิ้วทั้งหน้าและหลัง ยาง Michelin Pilot Super Sport แบบแก้มแข็งที่มีลวดลายดอกยางโคตรจะเกาะถนน ยางหน้าไซส์ 255/35ZR19 ยางหลัง 275/35ZR19 บวกกับการเลือกความแข็งของสปริงมาอย่างดีกับจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำทำให้รถขับดีโดยธรรมชาติ (ยิ่งจุดศูนย์ถ่วงอยู่สูง ก็ต้องใช้เหล็กกันโคลงที่มีขนาดใหญ่ขึ้นรถจึงจะเข้าโค้งได้ดี) Tada อาศัยความได้เปรียบจากช่วงล่าง Adaptive Suspension ของ BMW และปรับความแข็งในแต่ละโหมดตามที่เขาเห็นชอบ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องความสั่นสะเทือนที่รถฐานล้อสั้นมักพบเวลาขับบนถนนที่สภาพไม่ดี จึงได้มีการออกแบบให้โช้คอัพปรับความแข็งแยกระหว่างคู่หน้าและหลังเพื่อรักษาสมดุลในการวิ่งของรถ เย็นวันทดสอบในสนามแข่ง Sugo International Racing Course รอบท้ายๆ ผมได้มีโอกาสลองขับ GR Supra ใน Normal Mode รอบสนาม 3 รอบ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็น Sport Mode อีก 3 รอบ ซึ่งทำให้ได้เสียงเครื่องยนต์ที่ดังหวานหูมากขึ้น เกียร์เปลี่ยนเร็วขึ้น พวงมาลัยหนักขึ้น ช่วงล่างแข็งขึ้น (แต่การปรับหนืดของโช้คอัพนั้น จะหนืดขึ้นเฉพาะจังหวะ Compress-ยุบตัวเท่านั้น ส่วน Rebound เท่าเดิม) ระบบ Active 2 Way Differential จะสั่งจับล้อหลังซ้ายกับขวาแน่นขึ้น และเหมือนกับ 86 คือถ้าคุณกด VSC 1 ครั้ง ก็จะเป็น VSC Sport ซึ่งทำให้คุณห้าวได้มากขึ้นแต่ก็ยังเหลือความปลอดภัยอยู่ แต่ถ้ากดค้างไว้ 6 วินาที จะเป็นการปิดระบบทั้งหมด เรื่องการปรับจูนรถนี้ Tada มีความภูมิใจมาก เขาบอกว่าในขณะที่รถต้นแบบ GR Supra ไปทดสอบในสนาม Nurburgring ก็ได้มีการนำไปทดสอบบนถนนจริงที่อยู่รอบๆ สนามด้วย และยังได้นำไปทดสอบวิ่งบนไฮเวย์สภาพสุดโทรมของอเมริกาอีกต่างหาก ดังนั้นนอกจากจะขับสนุกในสนามแข่งแล้ว GR Supra ยังขับได้ดีมากบนถนนจริง และยังเหลือความนุ่มมากพอ สำหรับใครที่ต้องการรถที่เป็นแบบ Track-focused จริงๆ เดี๋ยวจะมีรุ่น GRMN Supra ออกมาอีก แต่แม้กระทั่งรุ่นปกติที่ผมขับในสนามวันนี้มันก็ดีมากพอแล้ว ด้านหน้ารถยึดเกาะถนนได้ดีมาก เบรกของ Brembo นั้นทำงานได้ดี กดไปกี่รอบก็ไม่ออกอาการเฟดให้เห็น เครื่องยนต์ให้แรงดีทุกช่วง สามารถควบคุมการส่งพลังได้ง่ายด้วยคันเร่ง ไม่มีมากหรือน้อยเกินไป ที่สำคัญคือเครื่องยนต์ B58 ทำงานเรียบมาก แม้กระทั่งตอนกำลังดริฟต์กวาดท้าย รอบดีดเกือบเรดไลน์ เป็นของขวัญชิ้นงามจาก BMW Z4 M40i ที่เหมาะสมกับ GR Supra อย่างที่สุด

รอบสุดท้ายของการขับทดสอบ ผมปล่อยของหมดแม็ก กดคันเร่งเต็มเหนี่ยวแบบลืมความกลัวไปชั่วขณะ เบรกช้าลงและเข้าโค้งแรงขึ้นชนิดที่ครูฝึกยังหันมาอมยิ้ม เห็นได้ชัดเลยว่าการที่ Supra เป็นรถฐานล้อสั้น ทำให้มันคล่องมากจนสามารถเข้าโค้ง เบรก และเร่งโดยที่มีอาการหน้าทิ่มท้ายยกไม่มาก ยิ่งในวันนี้ที่สนาม Sugo International Racing Course มีอากาศเย็น มีฝนตกโปรยปรายบางๆ ซึ่งทำให้พื้นแทร็คชื้น แต่ไม่สร้างปัญหาให้กับยาง Pilot Super Sport แต่อย่างใดทั้งสิ้น ส่วนผสมทั้งหมดของลักษณะทางกายภาพที่เป็นรถสปอร์ตกับพละกำลังทำให้ GR Supra เป็นรถที่ขับสนุก พร้อมความยากของสนามทดสอบปรุงแต่งให้  GR Supra กลายเป็นรถสปอร์ตที่ท้าทายทุกต่อมประสาท มันให้ความพึงพอใจ ความเสียวสยอง ทุกอย่างที่ว่ามานี้โผล่มาหาผมพร้อมๆ กันในรอบสุดท้ายทั้งหมด Toyota GR Supra เป็นรถที่มีความน่าหลงใหลจากการขับแบบนี้ แต่ถ้าหากคุณไม่ได้ต้องการความโหดระดับนี้ ขับง่ายขึ้น ใช้ชีวิตอยู่ด้วยง่ายขึ้น ก็อย่าลืมว่ายังมี BMW Z4 M40i ให้เลือก แต่ถ้าอยากได้ Z4 M Coupe ก็ต้อง GR Supra เท่านั้นละครับ.

Exterior
19-in. forged-aluminum twin-spoke wheels with matte-black finish High-performance Michelin® Pilot® Super Sport tires (summer tires) (F: 255/35ZR19, R: 275/35ZR19)

Glossy-red auto-folding, heated outside mirrors with memory function

LED front turn signal indicator and Daytime Running Lights (DRL)

6-lens auto-leveling LED headlights (three low-beam, three high-beam)

LED taillights and rear combination lights

LED backup light

Auto-tilting passenger-side outside mirror (when in Reverse)

Auto-dimming driver's-side outside mirror

Built-in rear spoiler

Aerodynamic underbody panel

Dual rear exhaust outlets with brushed stainless steel exhaust tips

Interior

8.8-in. full-digital TFT LCD gauge cluster including tachometer, speedometer and MID

14-way power-adjustable sport seat with driver's-seat memory function with lumbar and bolster adjustment

Black leather-trimmed sport seats

Red leather-trimmed sport seats

Large knee-support cushions

Carbon-fiber interior trim

Sport pedals

Serialized Launch Edition badge in carbon fiber

Leather-wrapped 3-spoke steering wheel with paddle shifters

12-speaker JBL® HiFi Surround Sound system (500W)

8.8-in. touch-screen with Supra Command featuring touchpad control with navigation, AM/FM, Digital Audio, SiriusXM®, wireless Apple CarPlay® compatible, voice recognition and USB/Bluetooth® wireless connectivity

Toyota Supra Connect featuring Emergency Calling, Battery Guard, Remote-Control Lock/Ventilation, Real-Time Traffic Information, Map Updates, Concierge Service and Toyota Supra Online (services available online; app available for iOS only)

Qi-compatible wireless charging62 tray with light indicator

Safety

Smart Key System with Smart Entry and Start

Dual zone automatic climate control

Auto-dimming rearview mirror with garage door opener

Full-color Head-Up Display (HUD)

Heated seats

Automatic rain-sensing windshield wipers

Manual tilt/telescopic steering column

Electric Parking Brake (EPB)

Lined, locking glove box with 7-liter capacity

Storage net for small items (passenger side)

Charging socket (DC12V) and USB port 

Charging socket (DC12V) and USB port 

Luggage compartment (10.2 cu. ft.) with bag hooks

Cruise control

Hill Start Assist Control (HAC)

Directional parking lights

3-point seatbelts for both seating positions
Driver and front passenger Advanced Airbag System: front, side, curtain and knee airbags

Pre-Collision System (PCS) with Pedestrian Detection

Lane Departure Warning with Steering Assist (LDW w/SA)

Automatic High Beams (AHB)

Rearview camera with parking aid lines

Vehicle Stability Control (VSC)

Brake Assist (BA)

Anti-lock Brake System (ABS)

Traction Control (TRAC)

Child restraint system on passenger side

Tire Pressure Monitor System (TPMS)

Engine
3.0L twin-scroll single turbo, DOHC 24-valve inline six-cylinder 340 hp; 365 lb.-ft. 500 Nm of torque
0-60 mph (seconds) 4.1
Max output (hp/rpm) 340/5000-6500
Max torque (lb.-ft./rpm)365/1600-4500
Top track speed (electronically controlled) 155mph
Front engine, Rear-Wheel Drive (RWD)
Bore x stroke, 82.0mm x 94.6mm
Compression ratio 11.0: 1
Displacement 2998 cc
Fuel system Direct-injection
Engine oil type, grade and weight 0W-20 C5
Engine oil capacity 6.5 liters


Drivetrain
ZF 8-speed AT with paddle shifters
Gear shifter with manual mode
Launch Control
Active rear sport differential
Active exhaust
Automatic engine start/stop
1st gear 5.25
2nd gear 3.363
3rd gear 2.172
4th gear 1.72
5th gear1.316
6th gear 1
7th gear 0.822
8th gear 0.64
Reverse 3.712
Axle ratio 3.154


Suspension
Double-joint-type MacPherson strut front suspension
Multi-link independent rear suspension
Adaptive Variable Sport (AVS) suspension
Hollow front and rear stabilizer bars

Stabilizer bar diameter, front/rear (mm.) 23.5 / 18.0

Sport-calibrated Electric Power Steering (EPS); power-assisted rack-and-pinion

Steering
Steering wheel turns (lock-to-lock) 2.1
Turning diameter (ft.) — curb-to-curb 34.67

Brembo® 4-piston ventilated disc brakes with red calipers (front)

Front rotor size, diameter x thickness, mm. (in.)
348 mm. x 36 mm. (13.7 in. x 1.4 in.)

Ventilated disc brakes with red calipers, cast iron (rear)

Rear rotor size, diameter x thickness, mm. (in.)
345 mm. x 24 mm. (13.6 in. x 0.94 in.)

อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/