เป็นคำถามที่มีหลายคนถาม ทั้งที่รถทั้งสองรุ่นอยู่คนละคลาส เพดานราคาคนละระดับ แต่ในความจริงเมื่อคุณสามารถซื้อได้ทั้งสองรุ่น ก็เกิดคำถามในใจว่า รุ่นไหน ดีอย่างไร เหมาะกับใคร ในครั้งนี้เมื่อผู้ที่กำลังจะซื้อรถเป็นคนใกล้ตัวที่มีพระคุณอย่างสูง ผู้ซึ่งมีความแน่วแน่แล้วว่าจะยังไม่โดดไปจับรถ EV ตามกระแสยุคใหม่ เราจึงนำเรื่องนี้มาเขียนแชร์ให้ฟัง จากมุมมองของสองพี่น้อง ที่คนหนึ่งเป็นสื่อฯ สายรถยนต์ อีกคนเป็นหมอที่ไม่ได้บ้ารถ แต่ศึกษาในสิ่งที่ซื้ออย่างดี
สัปดาห์นี้ Thairath Online วันอาทิตย์ เปลี่ยนบรรยากาศมาเล่าเรื่องแบบสบายๆ กัน ไม่ต้องคาดหวังเรื่องด้านวิศวกรรมอะไรมาก เพราะหลายอย่างที่คุณต้องการจะทราบ บนเว็บไซต์หรือในโบรชัวร์ก็มีอยู่แล้ว แต่ในครั้งนี้นำมาเล่าสู่กันฟังเพราะเป็นประสบการณ์ของตัวผู้เขียนเองกับพี่สาวที่อายุแก่กว่าผมไปอีก 7 ปี ในเมื่อหลายคนเรียกผมว่าอา ก็คงต้องยกยศป้าให้พี่หมอแกเป็นป้าหมอไป ถ้าบังเอิญคุณผู้อ่านรู้จักผมดี และบังเอิญรู้จักพี่สาวผมด้วย ได้โปรดไม่ต้องไปบอกแกว่าผมเรียกแกว่าป้า เพราะแกจะชกผมม้ามแตกเอาได้
...
เรื่องของเรื่องคือ พี่สาวผมเขาใช้ Suzuki Swift คันเดิมมา 12 ปีแล้ว คิดว่าถึงวาระที่ควรขาย เพราะถึงแม้ตัวรถมันจะไม่เคยมีอะไรพัง นอกจากเคลมเกียร์ไปลูกหนึ่งเมื่อ 7 ปีก่อน แต่เมื่อรถอายุมาก ผมรับประกันไม่ได้ว่าทุกการเดินทางจะไม่มีเรื่องเซอร์ไพรส์ เลยเชียร์ให้พี่สาวออกรถใหม่สักคัน ซึ่งพอซื้อมา เขาก็วางแผนว่าจะใช้ต่อไปจนเกษียณเลย คืออีกประมาณ 10 ปี เท่ากับว่าชีวิตเขาทั้งชีวิตมีการซื้อรถใหม่ป้ายแดงเกิดขึ้นแค่ 5 ครั้งเท่านั้น เพราะคันต่อไปที่เขาจะซื้อตอนอายุ 60 ก็จะใช้จนเลิกขับรถไปเลย ดังนั้นพวกเราจึงค่อนข้างซีเรียสเรื่องความทนทานและความง่ายในการซ่อม ที่ผ่านมากับ Suzuki เราก็ได้รู้ว่ารถสายอินดี้ จะมีข้อเสียอย่างหนึ่งคือ บางครั้งถ้าอยากเข้าศูนย์ที่ถูกใจ ก็ต้องขับไปไกล บ้านเราอยู่ใกล้ ม.เกษตรฯ แต่ต้องขับไปเซอร์วิสถึงบางบ่อ เพราะที่อื่นที่เคยไปมาไม่ถูกใจ
...
สำหรับเรื่องการใช้ EV ผมก็แนะนำพี่สาวผมไปแล้วว่าสมัยนี้ EV ราคาดีๆ มีตัวเลือกไม่น้อย แต่เหตุผลของเขาที่ยังเลือกคบรถไฮบริด เพราะเขารู้สึกว่า ปีหนึ่ง เขาขับรถแค่ 3,000 กิโลเมตร ดังนั้นเรื่องค่าใช้จ่ายเดินทางต่อกิโลเมตร เขาไม่ได้กำไรมากนัก ข้อต่อมา จากที่เขาสังเกต แม้จะไม่ใช่คนชอบรถ หรืออ่านสื่อฯ รถตลอด แต่ป้าหมอก็สังเกตได้ว่าภายในช่วงเวลาไม่กี่ปีรถไฟฟ้าพัฒนาไปรวดเร็วมาก วันนี้จ่ายเงินล้านต้น ได้รถอย่างไร อีกสองปีข้างหน้า รถที่ราคาเท่ากัน อาจวิ่งได้ไกลกว่า อุปกรณ์เพียบกว่า ชาร์จได้เร็วกว่า โดยส่วนตัวเวลาซื้อรถราคาข้ามล้าน เขาก็แอบเสียดายถ้าสิ่งที่ซื้อมาจะตกยุคในเร็ววัน แต่ในกรณีของรถไฮบริดนั้นป้าหมอเขามองว่าสิบปีที่แล้วกับตอนนี้มันไม่ต่างกันมาก มันเป็นเทคโนโลยีที่นิ่ง โดยเฉพาะไฮบริด Toyota ซึ่งเกิดอะไรขึ้นมา ถ้าศูนย์ซ่อมแพงนักก็ยังมีน้องๆ เพื่อนๆ ผมที่เป็นอู่นอกช่วยจัดการให้ได้ในราคาถูกกว่า
...
แล้วทำไมไฮบริด? ไม่เล่นรถสันดาปล้วน ป้าหมอก็บอกว่า เขาชินกับรถคันเก่าที่มันประหยัดน้ำมันมากสไตล์อีโคคาร์ พอเปลี่ยนรถใหม่ที่คันโตขึ้น หากยังใช้เครื่องเบนซินอยู่ก็ไม่น่าจะประหยัดน้ำมันได้เท่าเดิม อันนี้ก็แปลกดี เพราะในเมื่อหมอแกขับรถปีละแค่ 3,000 กม. ก็ไม่น่าจะเดือดร้อนเรื่องค่าน้ำมัน ป้าหมอก็ค่อยๆ เผยออกมาว่า จริงๆแล้วอยากก้าวตามเทคโนโลยีบ้าง เรื่องช่วยลดมลภาวะในเมืองบ้าง แต่หลักๆ คือ พอจะเอารถรุ่นที่อุปกรณ์ครบๆ มันก็มักจะเป็นไฮบริดเสียหมด แต่เหนืออื่นใดคือ ป้าหมอเน้นมากเรื่องความทนทาน เพราะทำงานสัปดาห์ละ 5 วันครึ่ง ได้พักผ่อนแค่บ่ายวันเสาร์กับวันอาทิตย์เต็มวัน ป้าหมอไม่อยากมีลุ้นกับการได้รถจุกจิก และแน่นอนว่าสำหรับเขา การไม่พัง สำคัญกว่า พละกำลัง อัตราเร่ง หรือความล้ำสมัย
...
หวยมันก็เลยมาออกที่รถในเครือ Toyota ไม่ใช่ว่าแกพิศวาสอะไรแบรนด์นี้หรอกครับ แค่ว่าแนวโน้มที่รถจะพังมันน้อยในความคิดของเขา แล้วพี่ผมเขามีความคิดแปลกๆ อย่างหนึ่งคือ เขาตั้งใจว่าตลอดชีวิตนี้จะไม่เลือกรถซ้ำแบรนด์เดิม และไม่เลือกซ้ำสีเดิม แกผ่าน Volkswagen Vento สีเขียว, Honda Civic สีดำ, Suzuki Swift สีน้ำเงินมาแล้ว ครั้งนี้จะลงหลักกับ Toyota ก็ไม่ได้ผิด แกมองว่า ไว้แกเกษียณแล้วไม่มีงานรัดตัว ตอนนั้นอาจจะอยากเล่นรถแบรนด์แปลกๆ ค่อยว่ากัน
ด้วยการที่ป้าหมอก็ไม่ได้ว่าจน..คือแกไม่มีผัวไม่มีลูก เงินเก็บเยอะ ผมเลยถามแกเล่นๆ ว่า ไม่คิดจะมีเบนซ์หรือบีเอ็มไว้ประดับบารมีบ้างหรือ เพราะเพื่อนผมที่เป็นหมอยังไงก็ต้องมีสองยี่ห้อนี้ในชีวิตสักครั้ง ป้าหมอก็หัวเราะแล้วบอกว่า “ชั้นไม่ได้เจอใคร ทำแต่งาน รถก็ขับแค่นั้น ไม่ได้มีใครมาคอย Judge ว่าชั้นจะขับรถอะไร ชั้นเลยมองว่าขับอะไรที่มันไม่พัง ขับสบายพอ แล้วค่าดูแลถูกๆ ดีกว่า จะได้เหลือเงินไว้ดูแลพ่อกับแม่” อันนี้ไม่ได้บอกว่าใครซื้อเบนซ์เป็นลูกไม่ชวนป๋วยปีแป่กอนะครับ ความคิดคนเราไม่เหมือนกัน บางบ้าน การมีเบนซ์ให้พ่อให้แม่นั่ง ก็คือความภูมิใจของพ่อแม่ด้วย เราแค่มีบริบทไม่เหมือนกัน
มาที่โจทย์วันนี้ ป้าหมอแกตกลงใจแล้วว่าจะจบกับรถหนึ่งในสองรุ่น ระหว่าง Yaris Cross ตัวท็อป กับ Corolla Cross รุ่น Premium Luxury ก็เลยพาไปโชว์รูม Buzz สาขาเสรีไทย เพราะภรรยาของรุ่นน้องผมเป็นเซลส์ที่นั่นพอดี ให้ลองจับ ลองขับและลองนั่งได้เทียบกันจะจะไปเลย หลายคนก็คงเคยมีคำถามนี้บ้างว่า ทำไมเราต้องจ่ายต่างกันถึงเกือบสามแสนบาท เพื่อไปซื้อ Corolla Cross ในเมื่อ Yaris Cross ก็ตอบทุกอย่างได้พอเพียง
เมื่อป้าหมอลองพิจารณา เริ่มจากรูปทรงภายนอก เขาบอกว่า Corolla Cross ดูแก่ แต่ Yaris Cross ดูวัยรุ่นกว่า โดยเฉพาะส่วนท้ายของ Yaris Cross นั้นสวยโดนใจป้ามาก เรื่องนี้อธิบายง่ายว่า กลุ่มเป้าหมายของรถมันคนละกลุ่มกันชัดเจน คุณดูจากพรีเซนเตอร์ก็ได้ครับ Yaris Cross ใช้คุณอิงค์ ผู้ซึ่งอายุกำลังจะ 30 แต่หน้าตาเหมือนมหา'ลัยปีสี่ กลุ่มเป้าหมายของ Yaris Cross จึงมีตั้งแต่คนเพิ่งได้ใบขับขี่มาเลย ในขณะที่ Corolla Cross นั้นใช้คุณลิเดียกับครอบครัว นั่นก็คือเล็งพวกวัยทำงานไปจนถึงลูกเล็ก นอกจากนี้ Corolla Cross นั้นบอดี้หลักจริงๆ เปิดตัวตั้งแต่ปี 2020 ความสดในหน้าตาจึงสู้น้องวัยรุ่นอย่าง Yaris Cross ไม่ได้
ส่วนภายใน พอเปิด Corolla Cross ป้าหมอบอก “มันดูโบราณเนอะ” ผมล่ะกลัวคนใช้ Corolla Cross จะมาทัวร์ลงชะมัด ส่วน Yaris Cross นั้นเส้นสายต่างๆ ดูทันสมัยกว่า หลายคนที่เคยดูระหว่างสองรุ่นนี้ จะบอกว่าวัสดุของ Yaris ดูไม่ดีเท่า ผมมองว่า ก็เป็นไปตามราคาของรถนั่นล่ะครับ เรื่องนี้พี่สาวผมกลับไม่รู้สึกอะไรมาก เพราะแกไม่ได้ไปไล่เพ่งไล่คลำทุกจุด แต่พอลงไปนั่งเบาะคนขับ ป้าหมอก็บอกว่าแดชบอร์ดตอนล่างของ Yaris Cross ทำให้รู้สึกว่าท่อนล่างของร่างกายมีที่ให้ขยับน้อยกว่า แล้วป้าหมอนั้นก็ไม่ใช่ผู้หญิงตัวใหญ่นะครับ แต่ตัวสูงและพอจะใช้คำว่าทรงนี้ฆ่าหมีด้วยมือเปล่าได้
บางสิ่งที่พวกเราสังเกตเจอ และคิดว่าคุณควรทราบก็คือ ถึงแม้ Yaris Cross จะตัวสั้นกว่า แต่ความสูงใต้ท้องวัดจากพื้นถึงจุดเตี้ยสุดของรถนั้น Yaris Cross สูงกว่ามากนะครับ ประมาณ 4-5 เซนติเมตรได้ และพื้นที่จุของด้านท้ายรถนั้นก็แลกคนละตุ้บกับรุ่นพี่ กล่าวคือ Corolla Cross นั้นปากทางจะกว้าง และห้องเก็บสัมภาระก็กว้างกว่าราวคืบเศษๆ แต่ Yaris Cross จะลึกกว่ากันราวคืบนึง วัดจากขอบกระโปรงไปชนฐานเบาะหลังด้านใน นอกจากนี้ถ้าบ้านไหนต้องมีคนแก่นั่งหลังประจำ หรือบางบ้านต้องพาคุณย่าไปโรงพยาบาลแล้วต้องให้เวรเปลอุ้มลงมานั่งรถเข็นตลอด คุณจะพบว่าประตูหลังของ Yaris Cross นั้นโตกว่า ขึ้นลงง่ายกว่า รวมถึงพื้นที่ห้องโดยสารซีกหลังก็กว้างขวางกว่า โดยเฉพาะพื้นที่ระนาบไหล่ อันนี้ผมลองนั่งเองระหว่างพี่สาวลองขับ ก็รู้สึกแบบนั้น เรื่องนี้ป้าหมอแกก็คิดเผื่อไว้ เพราะตอนนี้พ่อพวกเราอายุ 81 และแม่ก็กำลังจะ 78 ขวบแล้ว
เรื่องอุปกรณ์ในรายละเอียด ถ้าจะเอาทุกอย่างรบกวนไปดูในโบรชัวร์นะครับ แต่เท่าที่จำได้จากสเปกคร่าวๆ Yaris Cross แทบจะให้ทุกอย่างที่ Corolla Cross มี แต่จะมีบางจุดที่เขาต้องทำให้ต่างกัน ไม่งั้นใครจะมาซื้อพี่ใหญ่ล่ะครับ อย่างเครื่องปรับอากาศของ Corolla Cross นั้นจะปรับแยกอุณหภูมิห้องโดยสารฝั่งซ้ายกับขวาได้ หน้าปัดของ Corolla Cross เป็นจอสีทั้งจอ ของ Yaris Cross เป็นจอสีบวกตัวเลขแบบดิจิตอล ที่เหลือคือแทบจะ Copy ตารางกันมา เบาะหลังของ Yaris Cross เอนได้เหมือนกัน แต่ไม่ละเอียดองศาเท่า
ส่วนพละกำลังและอัตราเร่ง หลายคนชอบบอกว่า Yaris Cross เป็นไฮบริด 1.5 ลิตร แล้ว Corolla Cross เป็นไฮบริด 1.8 ลิตร แล้ว Corolla Cross แรงกว่าเยอะ ผมอยากทราบเหมือนกันว่าวัดด้วยความรู้สึกหรือเปล่า เพราะอันที่จริงถ้าเราว่ากันในช่วงความเร็วไม่เกิน 120 นะครับ มันไม่ได้ต่างกันขนาดนั้นเลย กดคันเร่งจมตั้งแต่ออกตัวไปก็ถึง 100 ภายในประมาณ 11 วินาทีนิดๆ ทั้งคู่ และถือว่าแรงเพียงพอต่อการขับไปรอบประเทศได้ทั้งคู่ และดีกว่า Corolla Cross โฉม 2020 ซึ่งตัวนั้นเขาจะมีอัตราเร่งอืด แต่มีดีตรงที่กระแทกคันเร่งซ้ำๆ หลายๆ ครั้ง แรงไม่ตกเร็วเท่า Honda HR-V
เมื่อให้ป้าหมอลองขับ ทางน้องจุ๊บแจง เซลส์ที่ดูแลเราก็เตรียมรถให้ขับเทียบกัน จุดนี้ผมกับป้าหมอเห็นตรงกันอย่างหนึ่งว่า ทัศนวิสัยด้านหน้าของ Yaris Cross นั้นดูโปร่งกว่า แต่ไม่โปร่งเท่า Nissan Kicks ในขณะที่ Corolla Cross จะตีบหน่อย และมีความรู้สึกว่าแดชบอร์ดหน้ามันลึกไปหากระจก ตัวกระจกลาดมาก และบางครั้งเสา A Pillar ก็แอบบังสายตา คุณสงสัยไหมว่า Daihatsu (Toyota-Daihatsu) ออกแบบยังไงให้รถที่สั้นกว่า กลับมีพื้นที่ในเคบินเยอะ มันอยู่ที่ส่วนหน้าๆ ของรถนี่ล่ะครับ เพราะเลยจากเบาะคนขับไปท้ายรถนั้นพื้นที่เกือบจะเท่ากัน
สิ่งที่แม้แต่คนไม่เล่นรถอย่างป้าหมอรู้สึกได้คือ พวงมาลัยของ Yaris Cross รู้สึกหลวมและเบากว่า เสียงรบกวนจากการทำงานของช่วงล่าง และเสียงลมกรีดผ่านขอบประตูรถก็ดังกว่า Corolla Cross แบบที่คนไม่บ้ารถสามารถรู้สึกได้ ส่วนผมที่นั่งเบาะหลังและเงี่ยงหูฟัง ชัดเจนมากครับ Corolla Cross ที่เอาแผงบังสัมภาระออก ยังเก็บเสียงจากหลุมยางอะไหล่ได้ดีกว่า Yaris Cross ที่ติดตั้งแผงบังสัมภาระกางเต็ม และลักษณะการซับแรงกระแทกของช่วงล่างก็แตกต่างกัน เมื่อวิ่งบนถนนปุปะแถบรามคำแหงแถวศูนย์ Tesla ก็รู้สึกได้ว่าซับแรงสะเทือนได้ดี เป็นช่วงล่างแนวนุ่มทั้งคู่ แต่เมื่อขึ้นสะพานโดดช่วงเลี้ยวซ้ายวนกลับเสรีไทย อาการช่วงล่างจะต่าง Yaris จะยืด ยวบ ยืด เซพอรู้สึกได้ แต่ Corolla Cross ขึ้นท่าเดียวกัน จะยืด ยุบ แล้วจบการดิ้นแต่เพียงเท่านั้น
มันก็มีแค่เรื่องอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่เราทดสอบไม่ได้ในวันนี้นั่นล่ะครับ แต่บางจุดที่พี่สาวผมสังเกตได้คือ ระบบเตือนรถในจุดบอดกระจกมองข้างของ Yaris Cross จะมีเสียงปี๊บด้วย แต่ของ Corolla Cross จะมีแค่ไฟกะพริบปลายกระจกมองข้าง พวกเราพยายามหาเมนูเผื่อมีซ่อนให้เปิดเสียงได้ แต่หาอยู่หลายนาทีก็ไม่เจอครับ และไม่อยากเสียเวลาเปิดคู่มือดู เพราะมีลูกค้าอีกรายรอคิวทดลองขับอยู่ด้วย
ท้ายสุดเมื่อกลับมาที่ศูนย์ ป้าหมอแกลองให้น้องเซลส์กดเครื่องคิดเลข ดูยอดผ่อน ยอดจัด เทียบกันสองรุ่นแล้ว แกก็ตกลงใจเอา Corolla Cross HEV Premium Luxury โดยที่จริงๆ แล้วป้าหมอก็เสียดายดีไซน์ภายนอกและภายในของ Yaris Cross ที่มันดูวัยรุ่นกว่า
ผมถามป้าหมอว่า แล้วทำไมเลือก Corolla Cross ล่ะ แกบอกว่า เวลานั่งขับจริงๆ แล้วรู้สึกว่าตำแหน่งเบาะ พื้นที่ มันเข้ากับตัวแกมากกว่า ขับแล้วรู้สึกใกล้เคียงกับรถคันเดิม ไม่ต้องปรับตัวมาก แต่ข้อที่แปลกมากคือ แกบอกว่า หลังคา Panoramic ของ Yaris นั้นมันจะมีคานพาดขวางตรงกลาง แต่ Corolla Cross นั้นจะเป็นหลังคากระจกใสตลอด
ผมก็เกาหัวแกร็กๆ..“หมอ..หมอขับรถแค่บ่ายวันเสาร์ กับเช้ามืดวันจันทร์ใช่ปะ” หมอก็พยักหน้า “แล้วเวลาขับ หมอมีเวลามาดูดาวดูเดือนอะไรงี้เหรอ” หมอบอกว่า “ก็ดูท้องฟ้า ดูตึก ผ่อนคลายสายตาบ้างเวลารถติด” ผมเลยถามยิงไปอีกดอกว่า “ไอ้คานหลังคาของ Yaris Cross มันอยู่ข้างหลังเบาะคนขับไปอีก เวลาหมอมองท้องฟ้า หมอแหงนคอไปข้างหลังขนาดนั้นเลยเหรอครับ” อันนี้ป้าหมอแกค่อยๆ อมยิ้มแล้วบอก “เอาเหอะ บางทีชั้นก็มองไปทางซ้ายบ้างขวาบ้าง หรือบางทีเวลาแม่นั่งหลัง เขาจะได้ดูโล่งตาไง”
ผมก็ยิ้ม เพราะจริงๆ แล้วด้วยเหตุผลมันไม่น่าจะมีความจำเป็นอะไรเลยกับการที่มีคานหรือไม่มี แล้วจะบอกว่า การทำหลังคากระจกให้ไร้คานกลางน่ะ ต้นทุนเพิ่มมากนะครับ เพราะบริษัทรถก็ต้องชดเชยความแข็งแรงของตัวถังส่วนบนด้วยการเสริมความแข็งแรงให้เสาและโครงสร้างส่วนอื่นของรถแทน ทำนองเดียวกับการที่รถแบบแฮตช์แบ็คที่พับเบาะลงแล้วไม่มีคานลำโพงหลังขวางในห้องโดยสาร การจะได้โครงรถส่วนท้ายที่แข็งแรงเท่าเดิม ก็ต้องเพิ่มความแข็งในจุดอื่นชดเชยกัน นั่นล่ะครับทำให้รถมันแพง ผมเลยเป็นคนหนึ่งที่ถ้าหากเลือกได้ จะไม่เลือกและไม่ใช้รถหลังคากระจก
แต่ผมว่าป้าหมอแกเลือก เพราะชีวิตแกตอนนี้เลยครึ่งอายุขัยมนุษย์มาแล้ว บางทีก็มีอารมณ์อยากมีรถหลังคากระจกกับเขาบ้าง ในเมื่อเงินที่ซื้อก็เป็นเงินเขา และหลังคากระจกที่ซีลปิด ไม่ได้มีบานเลื่อนเปิดได้ ก็ไม่ได้ต้องกังวลเรื่องหลังคารั่วเหมือนพวกมูนรูฟทั่วไป ผมเลยตามใจพี่หมอไป แต่สำหรับท่านอื่นๆ ที่กำลังดูเทียบสองรุ่นนี้ ผมช่วยสรุปให้อีกรอบครับ
ถ้าหากการซื้อ Yaris Cross ใช้เงินในระดับที่คุณหามาก็รู้สึกเหนื่อยอยู่แล้ว แต่สงสัยว่าถ้ายอมเหนื่อยหนักตัวแทบขาดให้ได้รถที่แพงขึ้น จะคุ้มไหม ผมบอกได้เลยว่า นกน้อยทำรังแต่พอตัวก็ดีครับ การขับรถคลาสใหญ่กว่า บางครั้งก็เป็น Luxurious stuff คือเป็นเรื่องที่ถึงขาดไปเราก็ไม่ได้ตาย แต่ขับรถคลาสสูงกว่าแล้วกินเส้นบะหมี่อาบโซเดียมไปหลายมื้อ หรือต้องร้อนรนใจทุกครั้งเวลาใกล้วันชำระค่างวด แบบนั้นอย่าเลยครับ เพราะผมกล้าพูดว่า ถ้าขับใช้งานแบบปกติไม่ซิ่ง Yaris Cross ให้คุณได้ใช้ประสิทธิภาพ 80% ของ Corolla Cross ในราคาที่ไม่ได้ผกผันตามอัตราส่วนนั้น
ข้อต่อมาคือ ถ้าหากคุณไม่ใช่คนประเภทที่เดินตรวจรถรอบคันหาจุดจับผิดแบบพวกนักรีวิวรถ (เช่นผม) ไม่ได้สนใจเรื่องช่วงล่าง การขับขี่ การทรงตัว ต้องการแค่รถไว้ใช้แบบ Day-to-day Driving แบบนั้น Yaris Cross ก็ตอบโจทย์ได้เช่นกัน
อ้าวแล้วคนที่เขาจ่ายเงินเพิ่มสามแสนซื้อ Corolla Cross เขาจ่ายไปเพื่ออะไร เท่าที่ผมสังเกตมาก็มีอยู่ครับ ถึงแม้ว่าเบาะหลังจะแคบกว่ารุ่นน้อง แต่พื้นที่ด้านหน้า เมื่อนั่งโดยคนไซส์ไม่ใหญ่กว่าปกติ หลายคนจะบอกว่า Corolla Cross สบายกว่าครับ ไม่ใช่แค่พี่สาวผม ข้อต่อมาก็คือเรื่องของคุณภาพการประกอบ วัสดุ และการเก็บเสียง พวกที่คุ้นชินกับงานละเอียด เปิดดูรถทุกซอกทุกมุม แบบนั้นจะประสาทน้อยกว่าถ้าไปกับ Corolla Cross ครับ เสียงรบกวนจากการทำงานของช่วงล่าง เสียงจากลม รวมถึงความสั่นสะเทือนเวลาเครื่องยนต์ติด ก็น้อยกว่า Yaris Cross เช่นกัน
พูดง่ายๆ คือ ถ้าคุณซื้อ Corolla Cross เพราะมันคันใหญ่กว่า พื้นที่เยอะกว่า คุณอาจกำลังคิดไปเองครับ มันต่างกันที่จุดอื่นมากกว่า
เชื่อผม..บริษัทรถไม่ใช่องค์กรการกุศลครับ แต่เป็น Business คือเป็นธุรกิจที่อยู่ได้ด้วยกำไรและการบริหารคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้คนซื้อรับได้ อย่างเวลาคุณขึ้นเครื่องบิน ก็มีสายการบินแบบ Full Service กับ Low Cost ซึ่งคุณสามารถเลือกได้ว่าจะเอาแบบไหน บิน Low Cost ก็ไปถึงจุดหมายได้เหมือนกัน เครื่องบินก็บินเร็วเท่ากัน แต่คนที่จ่ายเงินซื้อ Full Service ก็มีจุดรายละเอียดที่สำหรับบางคนก็เป็นเรื่องใหญ่ สำหรับบางคนเป็นเรื่องเล็ก Yaris Cross ให้ความอเนกประสงค์เท่ารุ่นพี่ อุปกรณ์ต่างกันไม่มาก แต่ราคาต่างกันมาก ก็ต้องมีจุดที่เขาตัดออกเพื่อทำราคา มันอยู่ที่คุณนั่นล่ะ จะมองจุดที่ตัดออกว่าสำคัญแค่ไหน
ถ้าอ่านที่ผมเขียนแล้วยังนึกไม่ออก เชื่อผม ลองขับเทียบกันครับ บางทีมันจะตอบได้เลย อย่างป้าหมอ แกมีโจทย์มาสองคันแต่ไหนแต่ไร พอได้ขับรอบเดียว ตัดสินใจได้ทันทีเลย.
Pan Paitoonpong