ย้อนกลับไปในยุค 90s นั้น รถเยอรมันสายเล่นโค้งยังมักเป็นพวกรถน้ำหนักเบาหน่อยอย่าง C 36 และ M3 แต่ในระดับตัวถังขนาดกลางเช่นพวก 5-Series และ E-Class นั้น ยังมีความสบายและเน้นแรงในทางตรงเป็นหลัก สิ่งที่ได้มาคือเครื่องจักรนักล่าที่มาดดุแต่ขับใช้งานแล้วยังไม่สะเทือนไส้ รถอย่าง M5 E39 เน้นความสนุกมากกว่าด้วยแรงม้าที่สูงและใช้เกียร์ธรรมดา แต่อีกฝั่งคือ AMG E 55 W210 ซึ่งแรงแบบสบายด้วยเกียร์อัตโนมัติ มาดแก่แต่แอบโหด ในวันนี้แม้อายุเยอะแล้วแต่ยังมีความน่าเล่น
หากมีงบพอสำหรับค่าน้ำมันและค่าเลี้ยงดู
วันนี้ ผมจะพาคุณผู้อ่านไปพบกับรถอีกคันหนึ่งในบ้านของน้องตี้ ช่อง Day Dream Drive รถคันนี้เข้ามาสู่ชีวิตพวกเราในช่วงที่โรค COVID-19 กำลังระบาด โดยเป็น Project ที่คุณพ่อของน้องตี้ ตั้งใจจะปั้นรถซาลูน V8 ขึ้นมาขับสักคัน (หลังจากที่ตัวตี้เองก็มี E 55 W210 โฉมไมเนอร์เชนจ์ ทำมาใช้อยู่ไม่กี่ปีแล้วก็ขาย) ชีวิตของมันจริงๆแล้วเริ่มต้นด้วยบอดี้หลักที่เป็น Mercedes-Benz E 230 ตากลม ตัวถัง W210 จากนั้น ก็นำไปรวมร่างกับอะไหล่ชุด E 55 ยกคัน ที่คุณพ่อของตี้ท่านสั่งมา ใช่แล้วครับ รถคันนี้ไม่ใช่รถแท้ทั้งคัน เราไม่มีความจำเป็นต้องใช้ถ้อยคำใดๆ เพื่อเบี่ยงเบนในเรื่องนี้ รถทำ ก็คือ รถทำ
ไม่ต้องใช้คำว่า ทำแท้ หรือพาร์ตแท้อะไรให้เข้าใจผิด
...
ถ้าคุณคิดว่าการเอา E 230 สักคันมาปรุงให้กลายเป็น AMG E 55 มันง่าย แนะว่าลองทำดูได้เลยครับ ขนาดให้คนรู้เรื่องเบนซ์ มี Connection กับร้านอะไหล่เยอะ และเป็นแฟนพันธุ์แท้เบนซ์เหนียวแน่นอย่างไอ้ตี้ รถคันนี้ ตั้งเป้าไว้ว่าจะทำให้จบในงบห้าแสนกลางๆ แต่ท้ายสุดก็ทะลุไปเจ็ดแปดแสนครับ ถ้าคุณเป็นคนทั่วไปที่คิดว่ารู้เรื่องดี ไม่ปรึกษาใคร เข้าอู่ ซื้ออะไหล่เอง หาของเองตามใจชอบ คุณว่าล้านนึงจะอยู่ไหม? อาจจะอยู่ก็ได้นะ ลองสิครับ ลองเลย ก่อนที่จะไปเที่ยวว่ารถคนอื่นเขาขายแพง ดังเช่นพวกปากดีทั้งหลายที่เห็นได้เยอะตาม YouTube วิจารณ์เก่ง แต่ไม่รู้และมั่วเน้นด่าไว้ก่อน
หลังจากที่ยุ่งเรื่องการเดินระบบไฟ การทำสีตัวถัง การเก็บรายละเอียด หาล้อ หาพาร์ตตรงรุ่น รวมถึงรอคิวการทำจากช่างแขนงต่างๆ ในที่สุด 2 ปี รถมันก็เสร็จสมบูรณ์เสียที แต่ถึงแม้ว่านับวันที่วิ่งได้เป็นวันแรกว่าเสร็จ ก็ไม่ได้มีคำว่าเสร็จจริงหรอกครับ ปี 2022 ตี้เอารถมาให้ผมลองขับและจับอาการส่วนต่างๆ ของรถ และลองนำไปวิ่ง Drag ที่คลอง 5 ในปี 2023 เราก็พบว่าช่วงล่างหลังยังไม่นิ่ง พวงมาลัยมีอาการให้ตัวแบบแปลกๆ และอัตราเร่งควอเตอร์ไมล์ที่ปาเข้าไปเกือบ 15 วินาที ก็เป็นตัวบ่งบอกชัดเจนว่า รถคันนี้มีปัญหาสักอย่างกับเครื่องยนต์
จนกระทั่งผ่านไปอีก 8 เดือน เมื่อตี้ว่างและทยอยเก็บจนเสร็จ ผมได้มาขับ E 55 คันนี้อีกครั้งในเดือนพฤษภาคม 2024 นี่เอง ในสภาพที่สมบูรณ์ขึ้น ปัญหาเรื่องอัตราเร่งและการทำงานของเครื่อง แก้ไขโดยการเปลี่ยนชุดคอยล์จุดระเบิดและปรับตั้งค่าส่วนต่างๆ ของเครื่อง อาการสั่นที่รอบเดินเบาลดลง แต่ช่วงล่างและเบรก ทำมาจนอยู่ในสภาพที่ผมว่าน่าจะใกล้เคียงรถใหม่ จึงได้ลองขับและนำมาเล่าให้ท่านฟังในบทความนี้
...
E 55 ในโฉมที่ท่านเห็นอยู่นี้ เราจะเรียกว่าเป็น E 55 “W210 โฉมก่อนไมเนอร์ฯ” ซึ่งในตัวถังนี้ ตอนแรกที่เปิดตัวเวอร์ชัน AMG ออกมานั้น จะมีขุมพลังสองแบบ คือ E 36 AMG ซึ่งใช้เครื่องยนต์ 6 สูบเรียงบล็อก M104 3.6 ลิตร 273 แรงม้า ที่ยกมาจาก C 36 AMG ตัวถัง W202 รถรุ่นนี้จะมีขายในจำนวนที่น้อยมากคือทั้งโลกนี้มีไม่ถึง 400 คัน รุ่นที่ขายดีจริงๆ คือ E 50 AMG ซึ่งใช้เครื่องยนต์ V8 บล็อก M119 ซึ่งมีพื้นฐานมาจากเครื่องที่อยู่ในพวก S 500 และ SL 500 ซึ่งล้วนเป็นรถที่ตัวหนักมาก พอมาอยู่ในบอดี้ขนาดกลางตัวไม่หนักอย่าง W210 สมรรถนะเลยกระดี๊กระด๊าเป็นพิเศษ ด้วยเครื่องยนต์ที่ปรับแต่งจากสำนัก AMG เพิ่มพลังแรงม้าจาก 318 ในรถ 5.0 ลิตรรุ่นปกติเป็น 347 แรงม้า นี่คือปี 1996 นะครับ รถซาลูนที่วิ่งได้ 270 กม./ชม.จากโรงงาน (เมื่อปลดล็อก) มันก็เลยกลายเป็นดาราหน้าปกนิตยสารรถอยู่พักใหญ่ โดย BMW มีแต่ M5 E34 ชราภาพคอยออกโรงกันซีนไว้ จนกระทั่ง M5 E39 ตัว 400 แรงม้ามาถึงนั่นล่ะถึงเป็นคู่ชกที่สมน้ำสมเนื้อบนหน้าปกนิตยสารรถฝั่งยุโรป
ทีนี้ ในช่วงปี 1996 นั่น Mercedes-Benz ก็เพิ่งจะเปิดตัวเครื่องยนต์ Modular Engine ซึ่งหมายถึงเครื่องยนต์หลายแบบที่มีชิ้นส่วนใช้ร่วมกันได้เยอะมากเป็นพิเศษ คือเครื่อง M112 V6 สูบ และเครื่องยนต์ M113 V8 สูบ ซึ่งในตอนที่ E 50 AMG ออกวางขายนั้น เวอร์ชัน AMG ของเครื่องเหล่านี้ ยังพัฒนาไม่จบครับ ต้องรอมาจนถึงปี 1998 ถึงนำมาวางใส่ในบอดี้ W210 แล้วไอ้ความพิลึกของเครื่อง 112 และ 113 นี่คือ การกลับไปใช้ฝาสูบแบบ SOHC หรือเพลาราวลิ้นเดี่ยวเหนือฝาสูบในแต่ละข้าง ในขณะที่ชาวบ้านชาวช่องที่ไม่ใช่อเมริกันหรือออสเตรเลียสมัยนั้นเขาไปแบบ Quad-Cam หรือเพลาราวลิ้นคู่เหนือฝาสูบแต่ละข้างไปกันหมดแล้ว รวมถึง BMW, Lexus และ Infiniti อเมริกันบางเจ้าอย่าง Cadillac ก็ใช้แล้วด้วย
...
นอกจากนั้นแล้วจำนวนวาล์วก็ลดจาก 4 เหลือ 3 วาล์วต่อสูบ แต่เพิ่มหัวเทียนขึ้นมา 1 หัวต่อ 1 สูบ จากเดิม 8 หัวเทียน 48 วาล์ว ก็กลายเป็น 16 หัวเทียน (Twin-spark ถ้าเรียกตามภาษา Alfa-Romeo) และ 24 วาล์ว ซึ่งในเชิงการออกแบบเพื่อการไหลเข้าออกของอากาศนั้น 3 วาล์วยังไงก็ห่วยครับเมื่อเทียบกับ 4 วาล์วต่อสูบถ้าออกแบบด้วยมันสมองระดับเดียวกัน แต่เบนซ์น่าจะต้องการเน้นเรื่องการพยายามลดมลภาวะ เผาไหม้หมดจดมากกว่า ซึ่งในภายหลัง เบนซ์ก็เลิกใช้เครื่องฝาสูบ 3 วาล์วนี้ คิดดูก็แล้วกันว่า เพื่อที่จะให้พละกำลังไม่น้อยหน้า E 50 เบนซ์ต้องอัปความจุเครื่องเป็น 5.4 ลิตร เพื่อให้ได้ 354 แรงม้า มากกว่า E 50 แค่ 7 ตัวเองครับ แต่แรงบิด 530 นิวตันเมตรนั้นขยับขึ้นเยอะอยู่ (เดิม 481)
สมัยนั้น เบนซ์เคลมอัตราเร่งเอาไว้ ถ้าอากาศเย็น น้ำมันพรีเมียม และคนขับน้ำหนัก 75-80 กิโลกรัม E 55 AMG จะทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 5.3 วินาที และวิ่งผ่านหลักควอเตอร์ไมล์ได้ ภายใน 13.5 วินาที เทียบกับ EV สมัยนี้อาจดูธรรมดามากในโลกที่รถ 12 วิ ราคาล้านต้นมีขายแล้ว
...
แต่ในปี 1998 นี่คือเลขที่ไล่ล่า Nissan Skyline R33 ได้สบาย แต่อยู่ในรถมาดป๋า เกียร์อัตโนมัติ ที่ดูแล้วเหมือน E 230 ของป้าข้างบ้านเอาไปใส่ล้อแต่ง แล้วจากภายนอก มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ แหละครับ
ตอนที่ผมยืมตี้มาขับใช้อยู่นั้น ความเอ็นจอยอย่างคนโรคจิตของผมก็คือ หาที่ที่มีอุโมงค์ลอดทางหลัก ขับเจ้า E 55 ลงไปในอุโมงค์นั่น เปิดกระจก แล้วคิกดาวน์ ฟังเสียงเครื่อง V8 ชั้นดีที่ไม่มีอะไรหน้าตาคล้ายหอยเชอรี่มาขวางทางการไหลออกของไอเสีย แรงไม่แรง เรื่องของแก! แต่เสียงที่รถคันนี้สร้างในอุโมงค์ทุกครั้งที่ผมกดคันเร่ง มันเหมือนกับเสียงร้องโอเปร่าที่หนักแน่น น่าเกรงขามของ Placido Domingo
แล้วมันเป็นความงามของเสียงที่ไม่ลั่นเกินไป มันดังอยู่แค่ในวงใกล้ๆ ตรงนั้น แรกๆ คุณจะคิดว่าคุณเป็นบ้า...แต่ทำไปสักพัก คุณก็จะรู้สึกแล้วว่าคุณมันบ้าจริงๆ นั่นแหละ คุณแค่เลิกแคร์สายตาคนอื่น
แต่คุณต้องเข้าใจความเป็นเบนซ์ยุค 90s ก็คือ พอเป็นรถที่ตัวขนาดกลางหรือใหญ่เข้าหน่อย มันไม่ใช่รถที่ชอบการเข้าโค้งเล็กๆ หักเน้นๆ ครับ การจูนพวงมาลัย ช่วงล่าง ไม่ได้เอื้ออำนวยต่อการขับแบบนี้ อันที่จริง เยอรมันคาร์ยุค 90s. ถ้าไม่ใช่พวกเด็กแสบอย่าง 190E 16 วาล์ว หรือ M3 E30 มันจะมีนิสัยไม่ว่องไวในทางเล็กเท่าไร แต่กับโค้งกว้างความเร็วสูง นั่นคือจุดหวานของรถอย่าง E 55 ด้วยช่วงล่างหน้าดับเบิลวิชโบน หลังมัลติลิงก์ พร้อมโช้คอัพและสปริงที่เซตมาสำหรับการใช้งานที่ความเร็วสูง
ถ้าใครจำบทความสัปดาห์ก่อนๆ ของผมได้ จะเข้าใจว่าถ้ารถใช้ช่วงล่างสปริงกับโช้คอัพแบบที่ปรับความหนืดไม่ได้แล้วนั้น คุณจะต้องเลือกเอาว่าจะให้ชุดช่วงล่างนั้นสำแดงเดชได้ดีที่สุดกับการใช้งานแบบไหน สำหรับ E 55 AMG ในความคิดผม เขาเหมาะกับการเหาะไปตามทางด่วนยามค่ำคืนด้วยความเร็ว 100-200 นั่นคืองานที่เขาถนัด
ด้วยบอดี้รถหน้าตาประหลาด เหมือนตั๊กแตนตำข้าวป่วยๆตัวนึง แต่ในความอัปลักษณ์ของหน้าตามันนี่ล่ะครับ คือการออกแบบที่เล่นกับอากาศพลศาสตร์ถึงขีดสุดของรถซาลูนในยุคนั้น Mercedes-Benz ไม่ได้ใช้แค่อุโมงค์ลมนะครับ แต่ยังทำแบบจำลองแล้วทดสอบการไหลด้วยอุโมงค์น้ำอีกต่างหาก ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานของรถจึงออกมาแค่ 0.27 และเมื่อคำนวณจากพื้นที่หน้าตัดของรถที่ไม่ได้ใหญ่โตมากแบบรถ Full size สมัยนี้ มันจึงเป็นรถที่ลื่นลมมาก บางคนขับ ก็จะสังเกตได้ว่า ตีนต้นมันไม่ได้กระชากจิตอะไร..แต่ทำไมตีนปลายมันไหลดีจังวะ ลองถามพวกวัยรุ่นขับรถ 400 ม้าบนทางด่วนดูได้ครับ เคยไหม ขับเล่นกับเพื่อนอยู่ จู่ๆมีรถแก่ๆ ไฟซีน่อนมัวๆ วิ่งไล่ในกระจกหลังทั้งที่คุณอัดอยู่ 260 แล้ว นั่นแหละ E 55 แต่ถ้าไปคลอง 5 ไม่ต้องสืบนะ ไม่ใช่ที่ของลุงเขา ต่อให้สุขภาพ 100% ถ้าไม่โมดิฟายเครื่อง 0-402 เมตร โดนกระบะเทอร์โบ F55 แซงเอาได้ ถ้าไม่ใช่ว่าเห็นกับตา รู้แก่ใจ ไม่บอกหรอกครับ แต่แค่ไม่อยากอวยอะไรจนเคลิ้มกันจนลืมความจริง
ความแรง..เสียง..คาแรกเตอร์ คือสิ่งที่เราคาดหวัง และพึงได้รับถ้าเลือกรถถูกครับ ถ้าเกิดมาแคร์แค่อัตราเร่งแล้วไม่อยากปวดหัว ไม่ต้องจ่ายหลายแสนสร้างเบนซ์ 354 แรงม้าครับ เอาไปซื้อ EV จีน 400-530 ม้า สะดวกชีวิตมากกว่า แต่คนที่ใจรักอยากเล่น V8 ไม่ได้สนแค่อัตราเร่ง..หรือเปล่า..บางคนสนตรงที่ชีวิตไม่ใช่เกมแข่งทำ 0-100 แล้วคว้าถ้วยรางวัลกลับบ้าน ก็ว่ากันไป สิ่งที่ได้มากกว่าความคลาสสิค การสัมผัสกลิ่นไอ “ซูเปอร์ซีดาน” แห่งยุค 90s ก็คือ ถ้ามันไม่พัง E 55 เป็นรถที่ขับสบายมากครับ เพราะขนาดตัวรถ คิดตามมาตรฐานปัจจุบันก็ออกจะเล็กกว่า Honda Accord เยอะ
ช่วงล่างที่ไม่ได้เน้นการสาดโค้งแคบ ยางและล้อที่ใช้ขนาดแค่ 18 นิ้ว ทำให้มันเหลือความนุ่มนวลแบบปรานีต่อทวารของคุณเอาไว้มาก ลองขับ E 55 บนถนนที่ไม่เพอร์เฟกต์สักที่สิครับ แล้วคุณจะรู้สึกได้เลยว่าไอ้ที่ต่ออยู่กับล้อตรงนั้น เป็น “ระบบกันสะเทือน” และไม่ใช่ “ระบบสะเทือน” มันคือสิ่งที่เบนซ์ยุคเก่าให้คุณได้ แต่ E-Class W213 ทำไม่ได้เหมือนจริงๆ ครับ
เรื่องของการใช้งานและอุปกรณ์ภายใน ตรงนี้คุณต้องเข้าใจนิดนึงว่า ในยุค 90s นั้น ณ วันที่ E 55 AMG เปิดตัว ผมยังจีบสาวโรงเรียนสายน้ำผึ้งผ่านเพจเจอร์อยู่เลยครับ ดังนั้นพวกเทคโนโลยีกล้องและเรดาร์ต่างๆ ย่อมไม่ดีเท่ารถยุคหลัง 2005 แต่อย่างไรก็ตาม ความที่น้องตี้ตัดรถ E 55 จากเมืองนอกมา แล้ว “ตรวจของทุกชิ้น” ชิ้นไหนไม่ครบก็หาเพิ่ม ทำให้ได้อุปกรณ์มาในระดับที่ทำให้เราได้เห็นภาพความหรูของรถตัวท็อปในยุค 90s
เบาะไฟฟ้าของเบนซ์ มีความน่ารักตรงที่เอาสวิตช์ไว้บนแผงประตู คนผอมๆจะรู้สึกว่ามันอยู่ผิดที่ผิดทาง แต่สำหรับคนมือกับแขนใหญ่ เวลาจำเป็นต้องปรับเมื่อขับรถอยู่แล้วเมื่อย สวิตช์เบาะบนแผงประตูทำให้ชีวิตง่ายขึ้นมากครับ ในกรณีที่ต้องรีบเอามือขวากลับไปจับพวงมาลัย นอกจากนี้ยังมีระบบความจำตำแหน่งเบาะมาให้ 3 ตำแหน่งด้วย เบาะเบนซ์ 90s จะต่างจากรถญี่ปุ่นตรงที่ ญี่ปุ่นชอบใช้ฟองน้ำแข็ง เน้นความทนทาน แต่เบนซ์ใช้เบาะสปริงครับ นั่งแล้วจะยู่ตัวเยอะ บางคนชอบ แต่บางคนก็ไม่ชอบ อย่างไรก็ตามความชั่วของเบาะ เฉพาะคันนี้คือ เวลาปรับเดินหน้า มันเดินหน้า แต่เวลาจะปรับถอยหลัง มันไม่ยอมถอยเพราะคอนแทกต์สวิตช์เสื่อม วิธีแก้แบบส้นเท้าสุดของน้องตี้คือพยายามต่อสายดันเบาะให้ถอยหลังสุดแล้วกด Memorize ตำแหน่งเอาไว้ เวลาคนขายาวตัวสูงจะขึ้นไปขับแล้วอยากเลื่อนถอยหลังก็กดปุ่ม Memory เลข 2 ที่มันบันทึกไว้ ให้เบาะถอย แล้วค่อยเลื่อนมาข้างหน้าปรับเอาตามใจชอบ
นี่คือส่วนหนึ่งของวิถีรถเก่า ซึ่งแก้ได้ถ้าเจ้าของจะทำครับ ไอ้ตี้มันแค่ยังไม่มีเวลาไปแก้
รถเบนซ์ยุค 90s เขาจะมีเรื่องอวดแข่งกัน ก็คือ บนแดชบอร์ดหรือคอนโซลกลาง รถใครมีปุ่มเยอะกว่า คนนั้นชนะครับ อย่างรถคันนี้ คุณจะเห็นปุ่มต่างๆมากกว่า E 230 ปกติ นิดหน่อย ที่เห็นเลยก็มีปุ่มฉีดน้ำล้างไฟหน้า ปุ่มกดโหมดสำหรับรถยก ปุ่มปรับแรงลมเป่าเบาะ ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นลมเฉยๆหรือฮีทเตอร์
ส่วนสวิตช์ที่คันเกียร์นั้น ไม่ใช่ E/S แบบเบนซ์ 124 แต่เป็น W/S ซึ่งย่อมาจาก Winter กับ Standard (ไม่ใช่ Sport) แล้วรอบๆคันเกียร์ยังมีสวิตช์ ESP (Electronic Stability Program)
ซึ่งในยุคนั้นก็จัดว่าเป็นระบบรักษาเสถียรภาพการทรงตัวรุ่นแรกๆ ของเบนซ์นะครับ สมัย 500 E W124 ยังไม่มีระบบนี้ แต่ใช้เป็น ASR – Anti-Skid Regulation ซึ่งการทำงานสู้พวกระบบใหม่ไม่ได้เพราะประสิทธิภาพสมองกลคนละเจเนอเรชันกัน
ความแปลกตามนิสัยเบนซ์แต่เป็นในแง่ดี ยังมีอีกแบบ สำหรับคนที่ไม่เคยขับเบนซ์เก่า เวลาคุณจะปิดไฟหน้า ลูกบิดต้องอยู่ในตำแหน่งตั้งตรง 12 นาฬิกานะครับ เพราะถ้าบิดไปซ้ายกว่านั้น จะเป็นการเปิด Parking Light ซึ่งเป็นการเปิดไฟหรี่หน้าฝั่งซ้ายหรือขวา อย่างใดอย่างหนึ่ง เอาไว้ใช้เวลาจอดริมทางมืดๆ เปลี่ยวๆ แล้วเราติดเครื่องยนต์ไม่ได้ การใช้ไฟแบบนี้อาจจะกินไฟแบตบ้าง แต่มันปลอดภัยต่อคนที่สัญจรไปมา ถ้าเป็นบ้านเราคงไม่คิดอะไรมาก แค่เปิดไฟฉุกเฉินเอาก็สิ้นเรื่อง แต่เบนซ์มองว่า “เอ้า ฉุกเฉินก็เรื่องนึง อันนี้มันคือจอดเฉยๆ”
โดยรวมแล้ว ถ้าคุณชอบเบนซ์ยุค 90s และอยากได้ความนุ่มนวลแบบเยอรมันยุคนั้นเฉยๆ คุณไม่จำเป็นต้องใช้ E 55 W210 ก็ได้ครับ เพราะรถ W210 ใส่โช้คแก๊สอัป Step สักหน่อยก็ให้ฟีลลิ่งดีแบบนี้ได้ สิ่งที่ทำให้คุณอยากได้ E 55 มันคือสุ้มเสียงเครื่อง 8 สูบ ที่มาจากสำนัก AMG เพราะถ้าคุณแค่ชอบเสียง 8 สูบเฉยๆ ก็ไปเพิ่ง Lexus LS400 สิครับ V8 ตรงบอดี้ตรงรุ่น เสียงดี ในราคาที่จบถูกกว่าการปั้น E 55 แต่นี่คือคุณต้องชอบเสียง 8 สูบที่มาจากโคตรเดียวกันของมันเอง และอย่างน้อยคุณต้องชอบความแรงแบบเหนือกว่ารถปกติทั่วไป เพราะเพื่อให้ได้สิ่งนี้ คุณต้องเตรียมทำใจกับการเติมน้ำมัน 500 บาท แล้วขับแค่ไม่นาน รถจะเสกน้ำมันเหล่านี้ให้หายไปอย่างน่างุนงง..เว้นเสียแต่ว่ารถคันปัจจุบันของคุณ คือ Ford Ranger Raptor V6 3.0 ถ้าเป็นเช่นนั้น คุณจะรู้สึกว่า E 55 ประหยัดน้ำมันครับ ไม่ได้โม้
และเหมือนกับรถหลายคันของน้องตี้ ที่มันก็มา แล้วมันก็ไป สำหรับรถคันนี้ ถ้าใครสนใจ ก็โทรคุยกับตี้ได้ที่เบอร์ 095-542-6522 ผมบอกให้แค่นี้แหละครับ เพราะจากเดิมที่พ่อตี้จะเล่นคันนี้ ตอนนี้เปลี่ยนใจ จะไปสร้าง Project Car คันอื่นต่อแล้ว ลองคุยกันดูได้ครับถ้าสนใจจริง รับรองว่ามองท่าไหนก็ถูกกว่าซื้อรถมาปั้นเอง ณ นาทีนี้ครับ
ถ้าคุณต้องการให้ได้ของครบ แต่ถ้าสนใจแค่เครื่องอย่างเดียวไม่สนเรื่องอื่น ซื้อ E-Class E210 มาวางเครื่องเองให้จบ อาจจะถูกกว่า.
Pan Paitoonpong