ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้ ถ้าคุณจ่ายเงินซื้อรถป้ายแดงที่ราคาเกินห้าแสนบาท คุณย่อมคาดหวังว่าในรถจะมีจออะไรสักอย่างที่คอนโซลกลางให้คุณเล่น ฟังดูอาจเป็นเรื่องฟุ่มเฟือย แต่ความจริงก็คือ อีกไม่นานในบางประเทศ รถใหม่ที่ออกขายจะถูกบังคับให้มีการติดกล้องส่องตอนถอยหลังมาจากโรงงาน นั่นก็แปลว่าถ้าหน้าปัดของรถรุ่นไหนไม่ใช่จอสีสเปกแพง คุณก็ต้องฝังจอนี้ไว้ตรงกลางแดชบอร์ด หรือไม่ก็กระจกมองหลัง นี่คือข้อบังคับจากหน่วยงานรัฐ แต่จากอีกฟากหนึ่ง ผู้บริโภคสมัยใหม่ในหลายประเทศ ก็มีความต้องการซื้อรถที่สามารถเชื่อมต่อระบบ Apple CarPlay หรือ Android Auto ได้ ถ้าไม่มีให้ ไม่ซื้อ!
...
ในรถระดับชาวบ้านทั่วไปซื้อหากันได้ อย่างเช่น Hilux Revo ของผม จอทัชสกรีนอาจไม่ได้ใช้เพื่อทำอะไรมากไปกว่า การใช้เป็นกล้องส่องตอนถอยหลัง และใช้เล่นมีเดีย เพลง วิทยุ แต่ในปัจจุบัน คุณจะเห็นเทรนด์ใหม่ที่เรียกว่า “Clean Dashboard” ซึ่งก็คือการพยายามลดจำนวนปุ่มควบคุมและสวิตช์ต่างๆ ลง แล้วเอาไปยัดไว้ในจอทัชสกรีนให้ได้มากที่สุด ผลที่ได้ หากอยากดูแบบเอ็กซ์ตรีมเคสเลย ก็คือภายในของ Tesla Model 3 หรือ Model Y ซึ่งมีดีไซน์เหมือนโต๊ะวางของ IKEA ที่มีจอใหญ่ๆ อยู่ตรงกลาง ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ มันก็พิสูจน์แล้วว่าดีไซน์นี้ขายได้กับคนจำนวนมาก ซึ่งการทำแบบนี้นอกจากจะให้ผลดีเรื่องความสะอาดตาราวห้องนอนลูกชายตัวแสบที่โดนคุณแม่บุกเข้าทำความสะอาดแล้ว ยังเป็นผลดีในเรื่องต้นทุน และเทคโนโลยีอีกด้วยนะ
...
ในเรื่องต้นทุน ดียังไง..คุณลองเปิด Youtube หาคลิปฝรั่งรื้อคอนโซล Tesla เทียบกับรถยุค 2000 ดูสิครับ ในรถยุคเก่า มีสวิตช์ และมีสายไฟที่เดินไปยังกล่องควบคุม รถยิ่งมีอุปกรณ์ของเล่นเยอะ ยิ่งต้องใช้สวิตช์หลายตัว มีความยุ่งตั้งแต่การจัดหาซัพพลายเออร์แล้วไปจนถึงตอนประกอบรถ ทุกอย่างตรงนี้ใช้เงินทั้งนั้น แล้วทำไมคนยุคนั้นถึงเลือกใช้สวิตช์เยอะแยะกับระบบไฟแยกส่วนคอนโทรลแบบนี้ล่ะ? อ้าวคุณ ก็ตอนนั้น โทรศัพท์มือถือยังทำได้แค่โทร เล่นเมโลดี้ 8 Bit ติงต๊อง กับเอาไว้ปาหัวหมาหรือปาหัวแฟนตอนมันกวนส้น แค่นั้น เราเลือกทำแบบนั้น เพราะเราไม่มีทางเลือก แต่ก็เห็นได้ชัดว่า วิศวกรบริษัทรถพยายามจะรวบอำนาจระบบควบคุมเข้าส่วนกลาง เราจึงเห็นสายไฟทองแดง ถูกแทนที่ด้วยสาย LAN และได้เห็นระบบชนิดที่ เสียบปลั๊กเข้าที่เดียว สื่อสารกับระบบไฟฟ้ารถได้ทั้งคัน ซึ่งเริ่มวิวัฒนาการชัดเจนในรถบ้านหลังปี 2000 เป็นต้นมา
...
...
ส่วนในเรื่องเทคโนโลยี การออกแบบแนว Clean Dashboard ดียังไง? ก็ลองยกตัวอย่างเทียบ ในรถเก่า สวิตช์คุณเคยเป็นอย่างไร มันก็จะเป็นอย่างนั้นตลอดไป เวลาเสีย งัดสวิตช์ทิ้งเปลี่ยนใหม่ เวลาเบื่อหน้าตาสวิตช์รถสเปกประกอบไทย เราก็ต้องไปค้นหาอะไหล่ญี่ปุ่นแล้วหาพวกจอแอร์แฟนซี หรือสวิตช์โหมดไฮโซ มาเดินสายไฟใส่ หรือบางทีก็ใส่แบบลวงโลก ก็มีแต่สวิตช์ไว้โชว์ป๋า แต่ทำซากอะไรไม่ได้ นั่นคือการอัปเดตที่เราทำได้ในยุคนั้น แต่กับรถยุคใหม่ที่เป็นจอ สวิตช์ต่างๆ อยู่บนจอ นั่นแปลว่า หน้าตาของสวิตช์ ขนาดของปุ่ม วิธีการจัดเรียง จำนวนฟังก์ชั่น และอื่นๆ อีกมากมาย สามารถอัปเดต เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ตรงไหนที่ออกแบบมาไม่ดี ก็อัปเดตเฟิร์มแวร์ใหม่เพื่อแก้ได้ เหมือนการอัปเดตซอฟต์แวร์ที่รันบนสมาร์ทโฟนของคุณ บางทีคุณสามารถเปลี่ยนสีสัน หน้าตา เลือกตามแบบที่คุณอยากได้ สวิตช์แบบรถยุคเก่า ทำแบบนี้ไม่ได้นะครับ
ดังนั้น ถ้าใครแอนตี้จอทัชสกรีน ผมก็ไม่ว่าอะไร แต่ตัวคุณเองก็ต้องพอใจกับฟังก์ชั่นเท่าที่รถยุคไร้จอสามารถให้คุณได้ และอยู่กันไปอย่างนั้น คุณลองไปทิ่มฟังก์ชั่นต่างๆ บนจอของ BMW รุ่นใหม่ๆ ดูแล้วนึกเล่นๆ ว่า ถ้าแปลงทุกอย่างออกมาเป็นสวิตช์ 1 ชุด จอเล็ก 1 จอ แดชบอร์ดของรถคุณจะรกไม่แพ้เฮลิคอปเตอร์เลยทีเดียว หรือว่าคุณชอบแบบนั้นก็ตามใจนะครับ ยิ่งถ้าคนมีแฟน เอาเธอมาเป็นนักบินผู้ช่วยกด เปิด ดับ สับ ฟังก์ชั่นต่างๆ นึกภาพตอนไปงานแรลลี่การกุศลน่าจะกลมเกลียวกันเหมือนรัสเซียกับยูเครน
ตอนนี้ (นอกเรื่องนิด..อย่าหาว่าผมสอน..อยากรู้ว่าธาตุแท้ของแฟนว่าเป็นคนยังไง พามันไปแรลลี่การกุศลแบบวิ่งหา RC ครับ คุณจะเห็นการแสดงออกของคนเวลาหงุดหงิดได้ชัดเจนและบ่อยเท่าที่คุณต้องการ)
วกกลับมาเรื่องจอของเราต่อ..ในความเห็นผม ผมยอมรับว่าเทคโนโลยีจอทัชสกรีน คือสิ่งที่มีในรถยุคนี้ ดีกว่าไม่มี แต่ปัญหาคือ เมื่อสื่อมวลชนรุ่นผมหรือรุ่นที่อาวุโสกว่าออกมาตำหนิติเตียนรถบางรุ่นที่ชอบเอาฟังก์ชั่นต่างๆไปยัดบนจอมากเกินควร ก็จะมีคนทางบ้านด่าว่าไดโนเสาร์เต่าล้านปี ด่าแบบแช่งให้ตายยังมีเลยครับ ผมเลยรู้สึกว่ามันน่าตลกปนเศร้านะ เพราะเราพูดในแง่ความปลอดภัยในการใช้งาน ไม่ใช่เอารสนิยมส่วนตัวมาด่ารถ แสดงว่าเราอาจจะไปเจอกับกลุ่มคนดูที่เทคโนโลยีสำคัญกว่าความปลอดภัยก็เป็นได้ ผมเคยเจอแม้กระทั่ง Comment ที่ว่า “มองจอนานก็ไม่เป็นไรเพราะรถมีระบบเบรกอัตโนมัตินี่ ไม่ต้องกลัวชนคันหน้า” คิดแล้วอยากให้พวกคุณทำสติกเกอร์ประจำกลุ่มไว้แปะรถนะ เวลาผมเห็นคุณขับมาข้างหลังจะรีบหลบให้เลย
ความปลอดภัย คือสิ่งที่ควรไปด้วยกันกับเทคโนโลยีเสมอ ในโลกของยานยนต์ รวมถึงแนวคิด Clean Dashboard ที่หากใช้แบบพอดีๆ มันจะสามารถเซฟต้นทุนไปได้มาก ลดความซับซ้อนไปได้มาก แต่ใช้แบบเกินพอดี มันก็นำมาซึ่งความไม่ปลอดภัย บางคนชอบบอกว่า “จะปรับอะไรกันเยอะแยะตอนขับรถ ผมก็แค่ขับ ไม่เห็นต้องปรับอะไร” หรือ “ผมใช้ระบบสั่งการด้วยเสียงเอา” ผมว่าทุกวันนี้เราจะตายกันเพราะเราอวยรถที่เราใช้แล้วหาข้อแก้ตัวแทนมัน ทั้งๆ ที่ “ดีไซน์ที่ดีกับต้นทุนที่เพิ่มอีกหน่อย” สามารถแก้ปัญหานี้ไปได้เยอะ แต่บริษัทรถอาจจะไม่แก้ ใช้ลูกค้านี่แหละแก้ตัวให้แทน ไม่เสียเงิน ไม่เหนื่อยด้วย
แล้วคุณเคยลองสมมติบ้างไหมว่าถ้ารถที่คุณเชียร์อยู่ จอเสีย ทำอะไรไม่ได้ คุณจะเสียการควบคุมอะไรไปบ้าง? ลองดูสิครับ บางคนยังไม่ทันได้ลองก็จอเสีย รอเบิกของ 2 เดือน สนุกเลยทีนี้ แต่สนับสนุนให้ลองดูนะครับสำหรับคนใช้รถมีจอ สตาร์ตรถแล้วใช้งาน 1 วันโดยไม่เอามือแตะจอหรือใช้งานอะไรบนจอเลย คุณทำอะไรได้บ้าง นั่นล่ะคือวิธีที่จะวัดกันง่ายๆ ว่า คนออกแบบระบบ Interface ต่างๆ ในรถคุณ “คิดเผื่อการใช้งาน” ให้คุณมากขนาดไหน และเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับความแพงความถูกของรถด้วยครับ อยู่ที่คนออกแบบ วิศวกร และฝ่ายบัญชีที่คุมเรื่องต้นทุน
วิธีการออกแบบ Interface ภายในรถที่ดี (ในความคิดของผม) คือการเริ่มต้นจากการดูตามความจำเป็นดังนี้ ใครจะไม่เห็นด้วยกับผมก็ไม่ว่าอะไรนะ
ข้อแรก แอร์ครับ! รถคันไหนที่เปิดแอร์ ปรับอุณหภูมิแอร์ไม่ได้โดยไม่ใช้ทัชสกรีน ผมหักหนึ่งคะแนนละครับ ประเทศไทยเป็นเมืองโคตรร้อน ถ้าสมมติว่าจอกลางรถคุณเสีย หากยังใช้เปิดแอร์ให้เย็นตัวเย็นใจได้ รถคันนั้นก็ยังใช้ขับไปไหนมาไหนได้บ้างระหว่างรออะไหล่จอ ไม่มีแผนที่ระบบนำทางใช้ ก็เอามือถือแปะกระจกเล่นไปก่อนได้ แต่ไม่มีแอร์ คุณอยู่ไม่ได้ครับ
ข้อต่อมา อะไรที่มักต้องถูกปรับระหว่างที่เราขับรถ ก็ควรมีสวิตช์ และไม่ใช่ทำสวิตช์แบบหน้าเรียบ เรียบซะจนเอามือคลำให้ตายก็ไม่เจอ แบบนั้นผมว่าได้แค่สวยแต่ไม่ได้เรื่องการใช้งาน ปุ่มปรับ Driving Mode คือหนึ่งในนั้น มีใครไหมครับ จู่ๆ เจอถนนน่าซัดอยากปรับโหมดสปอร์ต แล้วคุณจอดรถสนิทก่อนค่อยปรับ..มันก็ปรับตอนขับทั้งนั้นแหละ รถบางรุ่นที่ต้องปรับโหมดขับบนจอ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำเป็นปุ่มโคตรเล็กชนิดที่ตอนจอดนิ่งๆ ยังทิ่มยาก นับประสาอะไรกับตอนขับอยู่แล้วรถมีการเขย่า ทิ่มถูกทิ่มผิดน่ารำคาญเป็นบ้า คนที่ออกแบบการปรับ Driving Mode แบบนี้ ผมรู้เลยว่า ไม่ใช่คนรักการขับรถ แค่เป็นคนชอบเล่น iPad แค่นั้น ระบบปัดน้ำฝน ถึงแม้รถคุณจะมีปัดน้ำฝนอัตโนมัติ ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะทำงานได้ตามปริมาณฝนจริงทุกยี่ห้อ (ถ้าทำได้ดีจริงไม่ว่านะ) ไฟหน้า หรืออย่างรถ EV ก็มีพวกโหมดการหน่วงความเร็ว
สิ่งที่ผมว่าพออนุโลมได้คือพวกรถที่มีการปรับตั้งโหมดการตอบสนองรถแบบละเอียดมากๆ เช่น ปรับความแข็งช่วงล่าง ปรับความหนักของพวงมาลัย ปรับความไวการตอบสนองของคันเร่ง คือถ้าเราเป็นรถสปอร์ต หรือซุปเปอร์คาร์ มันจะมีสวิตช์แยกสำหรับการปรับค่าแต่ละอย่างก็ไม่แปลก แต่สำหรับรถบ้านหรือรถบ้านกึ่งซิ่ง การปรับค่าอย่างละเอียดพวกนี้ไปอยู่บนจอก็ได้ โดยสวิตช์หรือคันโยก ก็เอาไว้ปรับโหมด โหมด Sport ก็พวงมาลัยหนัก คันเร่งไว ช่วงล่างแข็ง พ่วงไปด้วยกัน หรือถ้าชอบของแปลก คันเร่งไว พวงมาลัยเบาโหวง ช่วงล่างนุ่ม รถยุโรปส่วนมากมี Individual Mode ให้เลือกอยู่แล้ว ก็ปรับให้ละเอียดตามใจชอบ แล้วก็เซฟจำนวนปุ่มที่ไม่จำเป็นไปพึ่งบนจอเอา แล้วอย่างที่บอกก่อนหน้านี้ มันคงดีไหม ถ้าจอคุณพัง แล้วยังปรับโหมดการขับขี่ได้บางโหมด?
นอกเหนือจากแอร์ และระบบที่มักจำเป็นต้องมีการใช้งานระหว่างการขับ ฟังก์ชั่นอื่นๆ เหรอครับ..เอาไปยัดจอเลย ใช้ให้คุ้ม ระบบนำทางเอย การเซตความละมุน เบส เสียงแหลม เสียงกลางเอย การปรับสีสันของไฟตกแต่งบรรยากาศในรถเอย การเปิดปิดระบบเบาะนวด ระบบอำนวยความสะดวกที่ถ้าไม่ได้ปรับไม่ได้ใช้แล้วคุณยังสามารถขับกลับบ้านได้ หรือแม้กระทั่งการปรับการทำงานระบบ Active Safety เปิด/ปิด จะทำบนจอก็ได้แต่ก็ระบบก็ต้องฉลาดพอที่ หนึ่ง มีทางเลือกให้ปรับเปิด/ปิดบนหน้าปัดได้อีกที่ หรือ สอง ถ้ารถไม่มีหน้าปัด มีแค่จอกลาง หากจอกลางเสีย ระบบความปลอดภัยระบบไหนควรเปิดค้างไว้ตลอดเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ถนนคนอื่น
ผมเคยเป็นคนที่เชื่อว่า ภายในของรถรุ่นเก่าๆ นั้นปลอดภัยกว่า ใช้ง่ายกว่า ซึ่งแม้จะมีส่วนจริงอยู่บ้าง แต่เราก็ต้องเข้าใจว่าหากพยายามทำรถยุคเก่าให้ทำสิ่งต่างๆ ได้เท่ารถยุคใหม่โดยไม่ใช้จอ มันอาจจะลงเอยกลายเป็นว่ารถคันนั้นใช้งานยากกว่าในภาพรวมก็เป็นได้ ผมอ่านข่าวจากเว็บไซต์สวีเดนชื่อ Vi Bilagare เขาลองเอารถมา 11 รุ่นที่มีทั้งรถภายในโบราณหน่อยและรถที่ใช้จอเป็นส่วนมาก แล้วก็ให้กลุ่มตัวอย่างทำความคุ้นเคยกับการใช้งานก่อน จากนั้นให้กลุ่มตัวอย่างไปขับรถที่ความเร็ว 110 กม./ชม. แล้วทำการต่อไปนี้ เปิดฮีตเตอร์ที่นั่ง, ปรับอุณหภูมิแอร์ 2 องศา, เปิดไล่ฝ้า, เปิดวิทยุแล้วปรับไปยังสถานีที่กำหนด, ปรับความสว่างของหน้าปัดลงต่ำสุด และสุดท้ายคือปิดภาพจอกลาง คุณอาจจะบอกว่า ในชีวิตจริงใครมันจะปรับแบบนี้กันล่ะ แต่มันก็เหมือนการทดลองให้เห็นความยากในการใช้งานระหว่างขับล่ะครับ
ผลที่ได้ค่อนข้างเซอร์ไพรส์ รถที่ใช้เวลาน้อยสุดในการปรับทุกอย่างให้ครบ คือ Volvo V70 จากปี 2005 ซึ่งเขาเอามาใช้เป็นตัวเทียบเฉยๆ เพราะต้องการพิสูจน์ว่ารถรุ่นเก่าใช้ง่ายกว่าไหมถ้าเราสั่งให้คนขับใช้งานในสิ่งเดียวกัน ก็ดูเหมือนจะจริง แต่ส่วนที่เซอร์ไพรส์คือ Volvo C40 รถ EV รุ่นล่าสุดที่ในไทยก็มีจำหน่าย ใช้เวลาในการทำตามคำสั่งทุกอย่างนี้ มากกว่า V70 แค่ 3.5 วินาที (10 วิถ้วนๆ vs 13.5 วินาที) นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าคุณตั้งใจจะออกแบบให้สิ่งต่างๆ บนจอใช้งานได้ง่าย หรือใช้ลูกเล่นระหว่างจอกับสวิตช์ดีๆ รถใหม่ๆ ก็สามารถจัดวางรูปแบบการควบคุมให้ใช้ได้ง่ายไม่แพ้รถจากอดีตเลย
แล้วรถที่เป็นจอเกือบทั้งหมดเลยอย่าง Tesla Model 3 ล่ะ? ใช้เวลาไป 20.2 วินาทีครับ ซึ่งแม้อาจจะดูแย่ แต่ก็ยังทำงานทุกอย่างจบได้เร็วกว่า Nissan Qashqai และ Hyundai Ioniq 5 และทำคะแนนได้ดีอยู่ระดับกลางๆของกลุ่ม ส่วนรถที่ทำเวลาได้แย่สุดในการทดลองนั้นคือ MG Marvel R ..ลองไป Google ดูแล้วกันครับว่ามันคือรุ่นอะไร แต่ใช้เวลาไป 44.9 วินาที ซึ่งผมไม่แปลกใจเท่าไหร่ ผมว่าผู้ผลิตรถจากจีนยังติดนิสัยทำจอกลางมีปุ่มเล็กเหมือนว่าคนขับจะปรับมันแค่ตอนรถอยู่นิ่ง และบางฟังก์ชั่นกว่าจะปรับได้ก็เอาเข้าไปอยู่ใต้เมนูหลักอย่างลึก คุณไม่ต้องเชื่อผม แต่เวลาไปตามงานโชว์รถ ลองไปเล่นดูได้ หรือจะลองทดสอบตามสคริปต์แบบของ Vi Bilagare ดูแล้วตัดเรื่องฮีตเตอร์ออกก็ได้ครับ น่าจะเหมือนกับการใช้งานโดยคนไทยมากกว่า แล้วลองจับเวลาดู
ถ้ามีเวลามาก คุณอาจไปลองดูระบบใน Mazda รุ่นใหม่ๆ ซึ่ง มีจอ แต่ไม่เป็นทัชสกรีน ..Mazda แหวกแนวครับ เขาเชื่อว่า ถ้าเอาจอวางให้มือแตะถึงมันก็จะเป็นตำแหน่งที่ไม่อยู่ในระดับสายตา เขาจึงเอาจอไว้ระดับสายตา แล้วเปลี่ยนจากทัชสกรีนเป็นสวิตช์โรเทเตอร์กับปุ่มแทน ลองดูครับว่ายากหรือง่ายสำหรับคุณ ส่วนตัวผมชินกับจอทัชสกรีนมากกว่าเพราะเวลาใช้ Android Auto มันสะดวกกว่า
โดยสรุป ผมว่าเทคโนโลยีจอ ไม่ใช่ศัตรูของโลกรถยนต์ครับ มันคือสิ่งที่มาแล้วและจะอยู่ต่อไปจนกว่าเราจะมีอะไรทันสมัยมาแทนมัน คุณประโยชน์ของมันนั้นชัดเจน ในแง่ของความปลอดภัย คุณเอาจอกลางออกจากรถหรูๆ สมัยใหม่ ความสวยงามและลูกเล่นในรถคันนั้นจะหายไปเกินครึ่ง คนที่ยังไม่ชอบจอ ควรปรับความชินแล้วรับเทคโนโลยีนี้ไว้บ้าง คุณจะพบว่าถ้าใช้งานได้ถูกวิธี มันมีอะไรที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้คุณได้เยอะ แต่ในขณะเดียวกัน การใช้งานจอทัชสกรีนให้ได้อย่างปลอดภัย ผู้ผลิตรถยนต์ จำเป็นต้องศึกษาพฤติกรรมการใช้ และออกแบบเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้งานระหว่างการขับขี่ได้ดีที่สุด คุณเคยถามตัวเองไหมว่าในเครื่องบินโดยสาร คุณต้องเน้นเรื่องความปลอดภัยขนาดไหน ทำไมต่อให้ทุกวันนี้เครื่องบินมีหน้าปัดเต็มไปด้วยจอ แต่ก็ไม่ได้เป็นจอไปทั้งหมด?
เทคโนโลยีที่ดี คือเทคโนโลยีที่ออกแบบมาโดยคำนึงถึงความปลอดภัยครับ ไม่ใช่เทคโนโลยีที่ออกแบบมาอย่างลวกๆ ละเลยความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน แล้วเอาอีกเทคโนโลยีที่มีมาชูเป็นจุดกลบปัญหาที่เกิดจากเทคโนโลยีนั้นๆ นี่ผมใช้คำว่าเทคโนโลยีเยอะไปหรือเปล่าเนี่ย
Pan Paitoonpong