บทความรถในไทยรัฐวันอาทิตย์นี้ ขอเขียนแบบสั้นๆ เนื่องจากวันส่งต้นฉบับตัวผู้เขียนกำลังย้ายที่นอนจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กลับมานอนที่บ้านครั้งแรกในรอบ 20 วัน ว่าจะบอกน้าฉ่าง อาคม รวมสุวรรณ ว่า “น้า วันนี้อู้นะ” ก็กลัวจะเสียเครดิตกัน เลยคิดว่าจะปั่นบทความสั้นๆ อ่าน 5 นาทีจบ เป็นการรับใช้คุณผู้ติดตามทุกท่าน
วันนี้ผมค้นเจอรูปสมัยไปเที่ยวโกดังเก็บรถเก่า Sama ของทาง Nissan ที่ญี่ปุ่น เลยนึกขึ้นได้ว่าอยากลองเขียนถึง Nissan ที่ไม่มีการนำเข้ามาขายในไทยอย่างเป็นทางการสักหน่อย เพื่อเป็นการเปิดโลกไปดูมุมที่แสงมักส่องไม่ถึงบ้าง เพราะเอ่ยชื่อ Nissan ปุ๊บ ทุกคนก็จะนึกถึงแต่ GT-R, Skyline, Fairlady Z หรือ Silvia ทั้งๆ ที่ความจริงมันมีรถอีกหลายรุ่น บางรุ่นอ่านแล้วก็ได้แต่คิดว่า “เขาจะเลิกผลิตมันทำไมวะ? ทำไมไม่ต่อยอดให้มันปัง” กับบางรุ่นที่รู้สึกว่า “เออ เลิกผลิตไปเถอะ ดีแล้วพี่” ที่แน่ๆ คือ รถเหล่านี้ ผมเลือกมาโดยกติกาว่า
หนึ่ง เป็นรถ Nissan ทำใช้เองแท้ๆ นะ..ไม่ใช่รถของชาวบ้านยี่ห้ออื่นเอามาแปะโลโก้ และสอง ต้องเป็นรถที่มีการผลิตออกมาจริง ไม่ใช่แค่ Concept Car จะมีรถรุ่นไหนบ้าง เลื่อนลงไปอ่านเลยครับผม
...
**Altra EV**
นี่คือรถ EV ยุคก่อนที่โลกจะรู้จัก Tesla รุ่นหนึ่งที่ทาง Nissan ทำขายจริง แต่ขายไปได้แค่ประมาณ 200 คัน ตัวรถนั้นมีพื้นฐานมาจาก Nissan R’nessa ซึ่งเป็นรถซุปเปอร์โคตรแห่งความครอสโอเวอร์ที่ Nissan บอกว่าเป็นดีไซน์ที่ผสมผสานความเป็นซีดาน ความเป็น SUV และความเป็น MPV เข้าไว้ด้วยกัน แล้วได้ออกมาเป็นรถที่ไม่ได้ดูแกร่งเท่า SUV และไม่อเนกประสงค์เท่า MPV และไม่ปราดเปรียวเท่ารถซีดาน แต่มันคือ EV ขายจริงรุ่นแรกของโลกที่ใช้แบตเตอรี่แบบลิเทียม-ไอออน
ซึ่งเมื่อชาร์จเต็มแล้วจะสามารถวิ่งได้ประมาณ 190 กิโลเมตร เริ่มส่งมอบในปี 1998 และทำตลาดอยู่ 4 ปีก็เลิกไป
**Hypermini**
นี่ก็อีกหนึ่งรถ EV ที่โผล่มาในยุคที่แม้แต่ไฮบริดยังถือเป็นของแปลก Hypermini อาจจะดูเล็กจ้อยร่อย แต่มีหลายสิ่งที่ล้ำสมัยมากสำหรับวันของมัน พลังมอเตอร์อาจจะไม่ได้เยอะ แค่ 32 แรงม้า ทำความเร็วสูงสุดได้แค่ 100 กม./ชม. และวิ่งได้ไกลสุดแค่ 115 กิโลเมตร แต่ตัวถังของมันเป็นอะลูมิเนียมสเปซเฟรมน้ำหนักเบา มีระบบเดินไฟเปิดแอร์ในรถปรับอุณหภูมิให้เย็นก่อนเจ้าของมาถึงรถ และแบตเตอรี่ก็ชาร์จด้วยระบบ Wireless ซึ่งมีชุดชาร์จแถมมาให้ในรถ ทำให้แม้ไม่มีแท่นชาร์จปกติของมัน ก็ยังสามารถไปเสียบชาร์จที่ไหนก็ได้ที่มีปลั๊กไฟปกติ มีการผลิต Hypermini ออกมาทั้งสิ้นประมาณ 300 คัน ขายในราคา 4 ล้านเยน ซึ่งเกือบเท่ารถอย่าง Fairlady Z TwinTurbo รถเหล่านี้ถูกส่งมอบไปที่ญี่ปุ่นและในอเมริกา แต่ในปี 2006 รถที่ถูกส่งไปให้เช่าในอเมริกาทั้งหมดถูกเรียกคืนเมื่อหมดสัญญาโดย Nissan USA หยุดให้การสนับสนุนเรื่องซ่อมบำรุงทั้งหมด
...
**Leopard**
ถ้าอยากออกเสียงคำนี้ให้เพื่อนกระโดดถีบ ต้องออกเสียงว่า “เล็พ-เพิร์ด” แต่ถ้าอยากเรียกว่าลีโอปาดก็แล้วแต่ท่านละกัน มันเกิดมาเป็นรถขนาดกลางค่อนไปทางโต ยศสูงกว่า Bluebird แต่ต่ำกว่า Cedric
มีทั้ง 2 และ 4 ประตู แล้วเจเนอเรชันถัดมาก็ปรับเหลือแค่สองประตู
ไปขายแข่งกับ Toyota Soarer ก่อนที่จะยกเลิก เหลือแค่ 4 ประตูในโฉม J. Ferie ซึ่งยอดขายน้อยจนรุ่นต่อมาก็เอารุ่น Gloria มาแปะป้ายใหม่ขายจนเลิกไปในปี 1999 แต่รถเจเนอเรชัที่สอง ที่เห็นในภาพนี้ เป็นรถที่น่าจดจำที่สุด เปิดตัวในปี 1986 พัฒนาโดยใช้พื้นฐานร่วมกับ Skyline R31 และ Cefiro A31 แต่ทำตำแหน่งทางการตลาดเป็นรถคูเป้หรู ขายคู่กับ Z ซึ่งเน้นความเป็นวัยรุ่น ใช้เครื่องยนต์กลไกจาก Z โดยตัวแรงสุดเป็นเครื่อง 3.0 V6 เทอร์โบ 255 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหลัง ภายใน หรูแบบญี่ปุ่น เบาะกำมะหยี่ชั้นดี หน้าปัดดิจิตอล รุ่น Grand Selection มีโทรทัศน์ในรถและโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้เลือก ช่วงล่าง
DUET-SS ใช้โซนาร์อ่านพื้นถนนและปรับความแข็งโช้คอัพตาม
นี่คือเทคโนโลยีที่ไปอยู่ใน Cefiro A31 ในภายหลัง
...
...
**Pao**
สำหรับคนที่เกิดยุค 80s จะบอกว่านอกจากนี่จะเป็นชื่อผงซักฟอกยอดนิยมแล้ว ยังเป็นชื่อรถ Nissan รุ่นหนึ่งซึ่งผลิตขายในปี 1989 แต่หน้าตาย้อนยุคไป 1960 อันที่จริง Pao คือหนึ่งในรถซีรีส์พิเศษ “Pike Cars” ที่เกิดมาพร้อมๆ กับรถที่คนไทยรู้จักอย่าง Figaro รวมถึง Be-1 และ S-Cargo คนที่ออกแบบรถรุ่นนี้คือ Naoki Sakai ซึ่งเคยทำงานกับบริษัทกล้อง Olympus และนำดีไซน์คลาสสิกมาประยุคใช้กับรถ Pao มีทั้งรุ่นหลังคาแข็ง และหลังคาที่ตรงกลางเจาะเป็นผ้าใบเลื่อนเปิดได้ ในเชิงวิศวกรรม มันคือรถเล็กแสนธรรมดาเครื่อง 1.0 ลิตร 52 แรงม้า เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ/อัตโนมัติ 3 จังหวะ แต่เพราะดีไซน์ ทำให้เมื่อเปิดตัว ชาวญี่ปุ่นเฮโลจองกันไปกว่า 50,000 คน แต่ Nissan ผลิต Pao ออกมาแค่ประมาณ 30,000 คันแล้วก็เลิกไป แต่ก็เป็นรถที่พิสูจน์ได้ว่าบางครั้ง สิ่งที่ Nissan ควรทำเพื่อให้รถขายได้ ก็แค่ดีไซน์รถให้คนเห็นแล้วอยากซื้อนั่นแหละ เพราะในด้านเทคนิค Pao ไม่มีอะไรในกอไผ่เลยสักนิด
**Rasheen**
เชื่อหรือไม่ว่ารถคันนี้จริงๆ แล้วก็คือ Sunny B14 ที่ยกสูงแล้วติดตั้งระบบขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลา ATTESA พร้อมระบบแปรผันการส่งแรงบิด Nissan มีไอเดียเจ๋งๆ หลังจากที่เคยทำรถสไตล์ Retro ขายแล้วลูกค้าตอบรับดี คราวนี้ก็เลยวานนาย Naoki Sakai คนเดียวกับที่ออกแบบเจ้า Pao ให้มาช่วยงานอีกครั้ง แต่ Rasheen มีรูปทรงที่ขาดเสน่ห์ไปหน่อย ดูแล้วเหมือนรถอารมณ์บูดๆ จากยุโรปตะวันออกยุคคอมมิวนิสต์ แต่ความที่ตัวมันเล็ก แค่พอๆ กับ Nissan Tiida Hatchback และมีน้ำหนักเบา ทำให้ไม่ต้องใช้เครื่องแรงมากก็มีสมรรถนะที่ดี ลูกค้าสามารถเลือกได้ตั้งแต่เครื่อง GA15DE 1.5 ลิตร 105 แรงม้า ไปจนถึงเครื่อง SR20DE 2.0 ลิตร 145 แรงม้า ซึ่งยกมาจาก Bluebird U13 แต่ในปี 2000 สองปีหลังจากที่ Carlos Ghosn
เข้ามามีอำนาจในบริษัท Rasheen ก็โดนใบสั่งกำจัดทิ้ง แล้ว Nissan ก็พัฒนา X- Trail มาทำตลาดแทน
**S-Cargo**
นี่ก็คือหนึ่งในรถที่ออกมาจากโรงงานพิเศษ กับสไตล์ตัวถังพิเศษในช่วงเวลาเดียวกันกับ Figaro และ Pao คือปี 1989 เจ้า S- Cargo นี้ถ้าคุณอ่านออกเสียง จะพ้องกับคำว่าเอสคาโกต์ที่เป็นหอยทากฝรั่งเศส
จริงๆ แล้วนั่นก็เป็นความตั้งใจส่วนหนึ่งของคนขาย เพราะตัวรถก็ดูคล้ายหอยทาก และหอยทากก็คือชื่อเล่นของ Citroen 2CV เวอร์ชัน Delivery Van ซึ่ง Nissan นำโครงร่างคร่าวๆ มาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ แต่โดยทางการแล้ว S ในชื่อย่อมาจากคำว่า Small นั่นเอง เพราะรถคันนี้เป็นรถขนส่งสินค้าขนาดเล็ก ลูกค้าสามารถเลือกสั่งได้ว่าจะเอาแบบตู้หลังทึบ หรือเจาะหน้าตาวงรี และเลือกหลังคาได้ว่าจะเอาหลังคาแข็งหรือหลังคาผ้าใบ เนื่องจากไม่น่าจะได้ใช้ขนอะไรหนักมาก เครื่องยนต์จึงมีเพียงแบบเดียว คือ E15S คาร์บิวเรเตอร์แบบเก่า 85 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 3 จังหวะ หน้าตาจัดว่าน่ารักทีเดียว แต่ Nissan ก็ผลิตมาขายในญี่ปุ่นแค่ 8,000 คันแล้วก็เลิกไป ในไทย ก็มีวิ่งอยู่แต่พบเห็นได้ยาก วันไหนเจออย่าลืมซื้อสลากกินแบ่งด้วย
**Xterra**
ถึงแม้ว่าเห็นซีกหน้าจะคุ้นๆ ว่าเอ๊ะ นี่มัน Nissan Big M ปิคอัพบ้านเราหรือเปล่า ก็ต้องบอกว่าใช่แหละครับ แต่ส่วนที่เหลือของรถนั้น เป็นงานของ Nissan ฝั่งอเมริกาที่ California เขาทำมาให้ Xterra เกิดขึ้นมาจากแนวคิดของผู้บริหาร Nissan ภาคทวีปอเมริกาว่า อยากได้รถสักคันที่ทนทาน ลุยงานหนักได้ ใช้แบบโหดๆ ทิ้งขว้างแล้วไม่เสียดาย ผลออกมาก็อย่างที่เห็น ถ้าคุณถามหาความหรูจาก Xterra รับรองว่าผิดหวัง
แต่มาดรถลุยพอได้แม้คันไม่ใหญ่เท่าพวก SUV อเมริกัน มีทางเลือกให้ทั้งรุ่น 2.4 ลิตร 4 สูบ 143 แรงม้า และ V6 3.3 ลิตร 170 แรงม้า
และที่สำคัญคือวางราคาเอาไว้ถูกเหมือนรถเก๋งเล็กๆ และโหมแคมเปญประชาสัมพันธ์ในเชิงว่า “รถคันนี้ชอบอยู่แบบเลอะๆ มากกว่าคลีน” พาลุยโคลนได้ ใช้งานหนักได้ ไม่ต้องเสียดาย ซึ่งทั้งหมดก็ช่วยได้แค่เพียงทำให้รถรุ่นนี้ มีการไมเนอร์เชนจ์ 1 ครั้ง โมเดลเชนจ์อีกหนึ่งครั้ง แล้วก็ตายจากไปในปี 2015 เพราะยอดขายเข็นไม่ขึ้น ในบางตลาดที่เคยมี Xterra จำหน่าย Nissan ก็ส่งรถรุ่นใหม่เข้าไปแทน ไอ้รุ่นนี้คุณรุ้จักแน่นอน มันคือ Terra แบบเดียวกับบ้านเราล่ะครับ.
Pan Paitoonpong