ถามกันเข้ามาว่า เมื่อไหร่ควรถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนยาง เอาเป็นว่า ยางคืออุปกรณ์ที่มีความสำคัญในลำดับต้นๆของการขับเคลื่อน ถ้ายางมีปัญหาขณะเดินทางก็ทำให้ไปต่อไม่ได้ ทุกวันนี้ เทคโนโลยียางรถยนต์ก้าวล้ำไปไกลมาก สูตรส่วนผสมในเนื้อยางช่วยยืดอายุการใช้งานได้มากกว่า 10-15% ขึ้นอยู่กับวิธีการขับ น้ำหนักบรรทุก แรงดันลมยางและสภาพเส้นทาง และไม่มียางยี่ห้อไหนที่เหมาะสมและดีที่สุดสำหรับรถทุกประเภท ยางแต่ละแบบถูกออกแบบมาให้แตกต่างกันจากรูปแบบของรถ ขนาดและน้ำหนัก แรงม้าแรงบิดรวมถึงตัวแปรอื่นๆ

เปลี่ยนยางเมื่อไหร่ดี ?

...

เปลี่ยนยางเมื่อไหร่ดี ?

1- รอยปะ รอยบากหรือโดนเศษของมีคมบาดบนยาง ไม่ควรปล่อยให้รถวิ่งบนยางที่มีตำหนิหรือเศษสิ่งแปลกปลอมติดบนยาง เพราะอาจเป็นเหตุให้ยางแตก รั่ว และเกิดอันตรายได้ กรณีที่ยางจำเป็นต้องปะซ่อม แนะนำให้ใช้วิธีการซ่อมแบบดอกเห็ดเท่านั้น และหลีกเลี่ยงการปะยางแบบแทงใยไหมหรือสตรีมโดยเด็ดขาด เพราะทำให้ยางเกิดความเสียหาย

2- ยางที่ใช้เริ่มควบคุมรถบนถนนที่ลื่นได้ยากขึ้น ความลึกของดอกยางจะลดต่ำลงตามระยะทางขับขี่ที่ใช้งานไป และจะส่งผลต่อการยึดเกาะถนนของรถเมื่อขับรถบนถนนที่ลื่นหรือที่เรียกว่าอาการเหินน้ำ ซึ่งทำให้รถเสียการทรงตัวระหว่างการขับขี่ โดยเฉพาะเมื่อความลึกดอกยางน้อยกว่า 3 มม.

3-ระยะทางในการเบรกยาวขึ้นกว่าปกติ การใช้งานยางเมื่อผ่านไปในช่วงระยะเวลาหนึ่งจะเป็นเรื่องธรรมดาที่ดอกยางจะตื้นลง จึงควรเปลี่ยนยางทันทีเมื่อความลึกดอกยางน้อยกว่า 3 มิลลิเมตร เพราะจะส่งผลต่อระยะเบรกที่ยาวขึ้นโดยเฉพาะเมื่อขับขี่บนถนนเปียก

4-ดอกยางสึกไม่สม่ำเสมอกัน การสึกหรอไม่เท่ากันของดอกยาง เกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการเติมลมยางที่ไม่ถูกต้อง หรือปัจจัยอื่น สังเกตได้จากจุดต่อไปนี้

ขอบด้านนอกหรือขอบด้านในสึกมากกว่า (Toe wear) - เกิดจากการตั้งศูนย์ล้อ มุมบังคับเลี้ยว (มุม Toe) ไม่สมดุล

หน้ายางด้านในหรือด้านนอกสึกมากกว่า (Camber wear) - เกิดจากการตั้งศูนย์ล้อแนวตั้ง (มุม Camber) ไม่ถูกต้อง

ส่วนกลางของหน้ายางสึกหรอเป็นพิเศษ (Center Wear) - เกิดได้จากแรงดันลมยางที่มากเกินไป

ส่วนขอบของหน้ายางทั้งด้านในและด้านนอกสึกหรอเป็นพิเศษ (Edge Wear) - บริเวณขอบทั้งสองด้านสึกมากเป็นพิเศษ เกิดจากแรงดันลมยางน้อยเกินไป.

...