TOYOTA ตั้งเป้าขายรถปี 68 ที่ 231,000 คัน "รถยนต์ไฮบริด" พระเอกคนสำคัญ พร้อมคาดการณ์อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ยอดขายรถในปีนี้จะอยู่ที่ 600,000 คัน ท่ามกลางเศรษฐกิจทยอยฟื้นตัว

รายงานข่าวจาก โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย หรือ Toyota เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปี 2568 จะยังคงอยู่ในสภาวะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป พร้อมกับการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจโดยรวมทั้งหมด โดยมีแรงหนุนด้านอุปสงค์จากกิจกรรมในภาคธุรกิจและการลงทุนที่จะกระเตื้องขึ้น ภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตดีขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นความต้องการรถยนต์ให้สูงขึ้น นโยบายของภาครัฐที่จะสนับสนุนการใช้จ่ายให้เร่งตัวขึ้น

นอกจากนี้การขยายตัวของการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมภายในประเทศและโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการผลักดันมาตรการสนับสนุนของภาครัฐที่มีต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ ตลอดจนกลยุทธการส่งเสริมการขายและสงครามราคาจากผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์ต่างๆที่คงจะทวีความเข้มข้นยิ่งขึ้น


อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเฝ้าดูสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่อาจส่งผลต่อการส่งออก ตลอดจนสถานการณ์ที่ทางสถาบันการเงินอาจยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์เนื่องจากความกังวลต่อความสามารถในการชำระหนี้จากภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังคงสูงและอัตราหนี้เสียที่คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงต่อไป และทิศทางของนโยบายอัตราดอกเบี้ย ทำให้คาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ในปี 2568 จะอยู่ที่ 600,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

...

TOYOTA ตั้งเป้าขายรถปี 68 ที่ 231,000 คัน

สำหรับโตโยต้าได้ตั้งยอดขายปี 2568 อยู่ที่ 231,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 5% โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 38.5% โดยมีรายละเอียดดังนี้

- รถยนต์นั่ง 79,300 คัน เพิ่มขึ้น 19% และมีส่วนแบ่งการตลาด 33.6%

- รถเพื่อการพาณิชย์ 151,700 คัน ลดลง 1.0% และมีส่วนแบ่งการตลาด 41.7%

- รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) 87,365 คัน ลดลง 4.0% และมีส่วนแบ่งการตลาด 47.8%

- รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) 73,800 คัน ลดลง 5.0% และมีส่วนแบ่งการตลาด 50.7%

ยอดขายรถยนต์ปี 67 ลดลงถึง 26.2% 

สำหรับภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปี 2567 ยังคงอยู่กับสถานการณ์ที่ท้าทายเป็นอย่างมาก จากสภาวะโดยรวมและทิศทางของตลาดในปีที่ผ่านมา สะท้อนมายังตลาดรถยนต์ในประเทศ โดยมีตัวเลขยอดขายรวมในปี 2567 อยู่ที่ 572,675 คัน หรือลดลง 26.2% เมื่อเทียบกับปี 2566

- รถยนต์นั่งยอดขายอยู่ที่ 224,148 คัน ลดลง 23.4% เมื่อเทียบกับปี 66

- รถเพื่อการพาณิชย์ยอดขายอยู่ที่ 348,527 คัน ลดลง 27.9% เมื่อเทียบกับปี 66

- รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) ยอดขายอยู่ที่ 200,190 คัน ลดลง 38.4% เมื่อเทียบกับปี 66

- รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) ยอดขายอยู่ที่ 163,347 คัน ลดลง 38.3% เมื่อเทียบกับปี 66

ทั้งนี้ มีปัจจัยหลากหลายด้านที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางของตลาดในปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นกำลังซื้อที่ลดลงตามสถานการณ์ปัจจุบันของเศรษฐกิจ รวมถึง ค่าครองชีพ อัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อที่ทรงตัวสูง ตลอดจนความเข้มงวดของมาตรฐานในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ตลาดรถยนต์ภายในประเทศยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่

...

ปี 67 รถไฮบริดโตโยต้าขายดีอันดับหนึ่ง

อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่น่าสนใจ ซึ่งส่งผลต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปีที่ผ่านมา อาทิ การที่ตลาดรถยนต์พลังงานทางเลือก โดยเฉพาะรถยนต์ไฮบริด (HEV) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เป็นแรงส่งสำคัญในช่วงที่ตลาดยังไม่ฟื้นตัว เห็นได้จากการที่รถยนต์ไฮบริดในไทยมียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้น 29% แสดงให้เห็นถึงทางเลือกเทคโนโลยีของผู้บริโภคที่หลากหลายขึ้น

สำหรับยอดขายของโตโยต้าในปี 2567 มียอดขายโดยรวมอยู่ที่ 220,356 คัน หรือลดลง 17.1% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา หากแต่ยังคงความเป็นผู้นำตลาด ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 หรือเท่ากับ 38.5% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด

ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความนิยมของรถในกลุ่มอีโคคาร์ของโตโยต้าที่เป็นส่วนหนึ่งของตลาดรถยนต์นั่ง ยังคงสามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 อย่างต่อเนื่อง รวมถึงสัดส่วนยอดขายรถยนต์ในกลุ่มรถยนต์ไฮบริด (HEV) ที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรุ่น Yaris Cross ที่ยังคงได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้านับตั้งแต่เปิดตัว

...

ขณะที่สัดส่วนยอดขายของตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ยังคงครองอันดับ 1 ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 44% จากการที่โตโยต้าพัฒนารถกระบะไฮลักซ์ให้รองรับการใช้งานต่างๆ จนได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความสำเร็จของ Toyota Hilux Champ ซึ่งให้การปรับแต่งเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าได้เป็นอย่างดี

โดยมียอดขายอยู่ที่ 11,743 คัน โดยมีส่วนแบ่งตลาด 7.2% ในกลุ่มรถกระบะ นอกจากนี้ การดำเนินกิจกรรมทางการตลาดในรูปแบบต่างๆ ตลอดจนการมีผลิตภัณฑ์ยานยนต์ที่หลากหลายของโตโยต้า ก็มีส่วนทำให้สามารถเข้าถึงและใกล้ชิดกับลูกค้าในกลุ่มเป้าหมายต่างๆได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย