ออกขายมานานกว่า 4 ปี ล่าสุด Audi Sport ลงมือลงแรงปรับปรุง RS3 Facelift 2024 ให้ดุดันมากกว่าเดิม มีหลายจุดที่เหนือกว่า RS3 รุ่นเก่าค่อนข้างมาก เมื่อตัวชี้วัดสำหรับการปรับแต่งรถสมรรถนะสูงคันเล็กให้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนปรับโฉม ทั้งรูปลักษณ์ด้านหน้าใหม่ ล้อลายใหม่ และอาการโอเวอร์สเตียร์ที่มากยิ่งขึ้นเมื่อตัดการส่งกำลังไปที่ล้อหน้าแล้วถ่ายแรงบิดลงล้อหลัง 100% ด้วยกลไกไฟฟ้าในระบบ Quattro ที่ Audi เรียกมันว่า RS Torque Splitter


...


RS Torque Splitter สามารถกระจายแรงบิดแบบแปรผันได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว การทดกำลังจะเกิดขึ้นที่ล้อหลังโดยตรง แตกต่างจากเฟืองท้ายของเพลาล้อหลังที่ใช้คลัตช์หลายแผ่นเรียงซ้อนกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ที่เคยติดตั้งบนเพลาหลังของ RS3 โฉมท่ีแล้ว ใน RS3 รุ่นใหม่ ตัวแยกแรงบิด RS Torque Splitter ใช้คลัตช์หลายแผ่น ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ แต่ละตัวอยู่บนเพลาทดกำลังที่เกี่ยวข้อง ในระหว่างการขับอย่างรุนแรง การทำงานจะเน้นไปที่ไดนามิกของรถเป็นหลัก ตัวแยกแรงบิดจะเพิ่มแรงบิดในการขับเคลื่อน ส่งตรงไปยังล้อหลังด้านนอก เนื่องจากภารกรรมของล้อหลังด้านนอกที่สูงกว่า ช่วยลดแนวโน้มที่จะเกิดอาการอันเดอร์สเตียร์ได้อย่างมาก ณ จุดที่สมดุลนี้ทำให้รถเข้าออกโค้งได้เร็วขึ้น



...
ในโค้งซ้ายระบบจะส่งแรงบิดไปยังล้อหลังขวา ส่วนในโค้งขวาแรงบิดจะเทไปยังล้อหลังซ้าย เมื่อขับตรงไปข้างหน้า ระบบจะกระจายแรงเพื่อความสมดุลที่ล้อหลัง 100% ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำหน้าที่ของ RS Torque Splitter ก็คือความเสถียรและความคล่องตัวระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง อัดเต็มกำลังในสนามแข่ง ตัวแยกแรงบิดช่วยควบคุมการดริฟต์ได้โดยการส่งกำลังเครื่องยนต์ทั้งหมดไปที่เพลาหลังที่ตัดกำลังล้อหน้า 100% ด้วยแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร การกระจายแรงบิดทั้งหมดขึ้นอยู่กับโหมดที่เลือกและสถานการณ์การขับ RS Torque Rear ส่งแรงบิดไปยังล้อหลังแบบ 100% คลัตช์หลายแผ่น แต่ละตัวมีหน่วยควบคุมของตัวเอง เซนเซอร์ความเร็วล้อของระบบควบคุมเสถียรภาพแบบอิเล็กทรอนิกส์ ทำหน้าที่ตรวจจับหรือวัดความเร็วรอบของล้อ ปัจจัยที่มีอิทธิพลอื่นๆ กับการทำงานของระบบนี้ ได้แก่ การเร่งความเร็วทางตรงหรือในโค้ง มุมบังคับเลี้ยว ตำแหน่งของคันเร่ง ตำแหน่งของเกียร์ที่เลือก (ในโหมดแมนนวล) และมุมองศาของการหันเห เช่น การเคลื่อนที่ หมุนรอบแกนแบบการทำโดนัทด้วยการดริฟต์ นอกจากนี้ตัวแยกแรงบิดยังเชื่อมต่อกับตัวควบคุมไดนามิกแบบโมดูลาร์เพื่อความแม่นยำและตอบสนองที่รวดเร็ว นี่คือจุดที่ RS3 ใหม่ สร้างได้ทั้งความสมดุลและพลังในการดริฟต์

...
เนื่องจากแรงผลักดันที่แตกต่างกันระหว่างการขับ ค่าที่ผกผันอย่างต่อเนื่องเพื่อกระจายแรงบิดไปยังล้ออย่างสมดุล ทำให้ RS3 ให้เข้าโค้งได้ดีขึ้น ตามมุมบังคับเลี้ยวได้แม่นยำยิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดการอันเดอร์สเตียร์น้อยลง อัตราเร่งเร็วขึ้นและเร็วขึ้นไปอีกเมื่อพุ่งทะยานออกจากปลายโค้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมรถที่ต้องการความแม่นยำและคล่องตัว เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งาน ทำเวลาต่อรอบในสนามแข่งเร็วขึ้น หากมีความจำเป็น ตัวแยกแรงบิดยังชดเชยอาการโอเวอร์สเตียร์ ด้วยการส่งแรงบิดไปที่ล้อด้านในของโค้งหรือทั้งสองล้อ


...


Singleframe' ของ Audi ถ่ายทอดทรงของกระจังหน้าใหม่ที่แตกต่างออกไปจากรุ่นก่อนปรับโฉม ดูเรียบขึ้นและกว้างกว่าเดิมนิดเดียว ช่องระบายอากาศด้านข้างทำให้อากาศพลศาสตร์ส่วนหน้าดีขึ้น ไฟหรี่กลางวัน LED Daytime Running Light แบบใหม่คล้ายกับการจัดวางรูปทรงสี่เหลี่ยมเล็กๆ ท่ีเอามาเรียงซ้อนกันและเรืองแสงได้ ดีเทล Black Edition ด้วยชิ้นส่วนตกแต่งตัวถังพลาสติกสีดำเงา สีใหม่ที่โดนใจวัยรุ่น พร้อมไฟตกแต่งภายในห้องโดยสารที่เน้นบรรยากาศของรถ One Make Race รวมถึงเบาะคาร์บอนไฟเบอร์สุดกระชับที่นั่งโคตรสบายตัว (ออปชันเสริมราคากว่า 500,000 บาท)

เครื่องยนต์ 5 สูบ 20 วาล์วเทอร์โบ ที่ได้รับรางวัลเครื่องยนต์ยอดเยี่ยม Best Engine of The Year 6 ปีติดต่อกัน ความจุ 2.5 ลิตร พร้อมสูบเลขคี่ที่เปล่งเสียงคำรามราวกับปิศาจ กำลัง 396 แรงม้า เร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 3.8 วินาที ความเร็วท็อปสปีด 280 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้วยกลไกขับสี่ quattro สุดบรรเจิด เสริมด้วยชุดแต่ง Carbon Vorsprung
เครื่องยนต์ 5 สูบ 20 วาล์ว ใน Audi RS 3 Quattro Sportback มีกำลังมากกว่าและให้แรงบิดที่สูงกว่า แทนที่จะเป็น 480 นิวตันเมตร เครื่อง 2.5 TFSI ที่สืบสานมาจากเครื่องยนต์ในตำนานวงการแรลลี่ระดับโลก มีแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ในช่วงรอบเครื่องยนต์ที่กว้างตั้งแต่ 2,250-5,600 รอบต่อนาที ECU หรือหน่วยควบคุมเครื่องยนต์แบบใหม่ยังเพิ่มความเร็วและความแรง ด้วยส่วนประกอบของระบบขับเคลื่อนที่สื่อสารกันทั้งหมด ทำให้ RS3 ตอบสนองเร็วขึ้น โดยเฉพาะในช่วงรอบต่ำ กำลังสูงสุด 294 กิโลวัตต์ หรือ 400 แรงม้า ในช่วงตั้งแต่ 5,600-7,000 รอบต่อนาที ซึ่งเร็วกว่าและลากรอบได้ยาวกว่า RS3 รุ่นก่อน อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 3.8 วินาที รุ่นสปอร์ตแบ็ก ทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 250 กม./ชม. โดยมีออปชันให้เลือกที่ 280 กม./ชม. ด้วยแพ็กเกจ RS Dynamic สามารถเร่งความเร็วสูงสุดได้ถึง 290 กม./ชม. ทำให้ RS3 เป็นแฮตช์แบ็กที่เร็วสุดเมื่อเทียบกับรถสปอร์ตในระดับเดียวกัน ในแง่ของอัตราเร่งและความเร็วสูงสุดนั้น เจ้าปิศาจสี่ห่วงคันจิ๋วถือว่าเหนือชั้นกว่า ระบบส่งกำลังคลัตช์คู่ 7 สปีด (DCT 7 Speed) ส่งถ่ายแรงบิดของเครื่องยนต์ห้าสูบลงบนพื้นถนน ผ่านล้อทั้งสี่ด้วยกลไกทดกำลัง Quattro เวอร์ชันล่าสุด ระบบขับเคลื่อนมาพร้อมการออกแบบและวัสดุที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น มีการคำนึงถึงแรงบิดที่เพิ่มขึ้น และการกระจายอัตราทดเกียร์ที่เน้นอารมณ์สปอร์ต การโต้ตอบอย่างชาญฉลาดในส่วนประกอบของระบบขับเคลื่อนทั้งหมด รวมถึงระบบควบคุมการออกตัว ช่วยให้ RS3 เปลี่ยนเกียร์ได้เร็วมาก ทำให้รถออกตัวได้เร็วปานสายฟ้า ตามด้วยการเร่งความเร็วต่อเนื่องที่เร้าใจและน่ากลัวไปพร้อมๆ กัน
Audi Sport เพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมวาล์วระบายไอเสียระหว่าง 2,200 รอบต่อนาที ถึง 3,500 รอบต่อนาที เพื่อให้เครื่องยนต์ห้าสูบ สามารถสร้าง "เสียงที่สม่ำเสมอและเต็มอิ่ม" ไม่ว่าจะเลือกโหมดใดก็ตาม"
อัลกอริธึมที่ควบคุมเสถียรภาพของรถมีการปรับปรุงสำหรับตัวแยกแรงบิด (ที่ช่วยให้ RS3 ลื่นไถล) โช้คอัพไฟฟ้าแบบปรับได้ และระบบควบคุมเสถียรภาพที่มาพร้อมซอฟต์แวร์ใหม่ เพื่อความเสถียรที่ดีขึ้นและการเข้าโค้งที่เร็วกว่า (ของเดิมก็เร็วมากแล้ว) RS3 ซีดาน ทำเวลาในเนือร์บูร์กริงได้ที่ 7 นาที 33.12 วินาที เร็วกว่า BMW M2 มากกว่าห้าวินาที!
ค่าเพิ่มเติมและซอฟต์แวร์ควบคุมแบบใหม่ทำให้ RS3 โอเวอร์สเตียร์เร็วขึ้น ก่อนหน้านี้โอเวอร์สเตียร์ถูกสร้างขึ้นโดยความต้องการของคนขับ หรืออีกนัยหนึ่งคือการเหยียบคันเร่งจนสุด ตอนนี้โอเวอร์สเตียร์ทำได้ง่ายขึ้นใน RS3 ใหม่ ผ่านทางมุมบังคับเลี้ยวของพวงมาลัยแบบใหม่




สุดท้าย นอกจากขับดีขึ้นกว่าเดิมแล้ว Audi ทำงานอย่างหนักเพื่อปรับแต่งกลิ่นหอมภายในของ RS3 ใหม่ ทีมนักเคมีของแบรนด์สี่ห่วง แสดงให้เห็นว่า Audi มีมาตรฐานด้านกลิ่นภายในห้องโดยสารที่ยอดเยี่ยม ส่วนประกอบภายในทั้งหมด เช่น หนัง โพลีเมอร์ และสารฟอกหนังที่เป็นส่วนประกอบเกือบ 200 ชิ้นต่อคัน ได้รับการวิเคราะห์ทางเคมี จากนั้นชิ้นส่วนเหล่านี้จะถูกให้ความร้อนในห้องพิเศษ และวิเคราะห์กลิ่นที่เป็นผลลัพธ์ กระบวนการนี้ใช้เวลาสองถึงสามชั่วโมงต่อหนึ่งชิ้นส่วนประกอบ ในที่สุดการทำงานร่วมกันของวัสดุต่างๆ ก็ได้รับการทดสอบภายใน RS3 อย่างสมบูรณ์ วัสดุเหล่านี้ควรมีกลิ่นหอมเมื่อรวมกันและภายใต้อุณหภูมิที่ผกผันอยู่ตลอดเวลา งานวิจัยเรื่องกลิ่นได้รับการประเมินผลโดยทีมนักเคมีของ Audi ห้าคน เพื่อให้แน่ใจว่ากลิ่นใหม่ในห้องโดยสารของ Audi ต้องตรงตามมาตรฐานระดับสูงของลูกค้า




RS3 Sportback Facelift 2024 มีราคาเริ่มต้นที่ 59,510 ปอนด์ (2,648,000 บาท) และเพิ่มเป็น 64,160 ปอนด์ (2,856,000 บาท) สำหรับรุ่น Carbon Black และมีราคาสูงสุดที่ 68,650 ปอนด์ (3,056,000 บาท) สำหรับรุ่น Carbon Vorsprung สำหรับ RS3 ซีดาน เริ่มต้นที่ 60,510 ปอนด์ (2,693,000 บาท) RS3 ซีดาน Carbon Black ราคา 65,160 ปอนด์ (2,900,000 บาท) ส่วน RS3 ซีดานรุ่นท็อปสุด Carbon Vorsprung ราคา 69,650 ปอนด์ (3,099,000 บาท) ตัวเลขราคาคิดเป็นเงินไทยยังไม่รวมอัตราภาษีนำเข้า.
อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/