แอสตัน มาร์ติน แบงคอก ฉลองครบรอบ 75 ปี เปิดตัว Aston Martin DB12 ในไทยราคาเริ่ม 21.9 ล้าน
เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 66 แนนซี่ เฉิน ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท แอสตัน มาร์ติน ลากอนดา จำกัด หรือ Aston Martin กล่าวว่า ปี 2023 นี้นับว่ามีความหมายกับ แอสตัน มาร์ติน เป็นพิเศษ เนื่องในโอกาสครบรอบ 110 ปี แห่งประวัติศาสตร์ของผู้ผลิตยนตรกรรมสปอร์ตจากประเทศอังกฤษ นับตั้งแต่การคว้าชัยชนะในการแข่ง แอสตัน ฮิลล์ ไคลม์ ไปจนถึงการนำรถเข้าแข่งรายการ ฟอร์มูลาวัน กรังด์ปรีซ์
ปัจจุบันเรายังได้เฉลิมฉลองการครบรอบ 75 ปี ของยนตรกรรมสายพันธุ์ DB ที่นับเป็นต้นกำเนิดของรถ จีที หรือ GT-Grand Tourer ด้วยการเปิดตัวยนตรกรรมรุ่นล่าสุด แอสตัน มาร์ติน DB12 หรือ ผู้กำหนดนิยามใหม่ The World’s First Super Tourer

ฉัตรชัย แก้วผ่องศรี ผู้จัดการทั่วไป แอสตัน มาร์ติน แบงคอก กล่าวว่า ชาวไทยจะได้สัมผัสกับ แอสตัน มาร์ติน DB12 ซึ่งได้รับการขนานนามให้เป็นยนตรกรรม ซุปเปอร์ทัวเรอร์ คันแรกของโลกนับเป็นการยกระดับให้กับรถประเภท จีที ผ่านการผสมผสานความหรูหราเข้ากับสมรรถนะของซุปเปอร์คาร์ และเทคโนโลยีอันล้ำสมัยได้อย่างลงตัว
...
สำหรับความน่าสนใจของ Aston Martin DB12 มีดังนี้
Fiercer-แรงจัด ทรงพลังมากที่สุดในรถกลุ่มเดียวกัน ด้วยเครื่องยนต์เบนซินทวินเทอร์โบ วี8 สูบ 4.0 ลิตร 680 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 800 นิวตันเมตร ที่ 2,750-6,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ (ZF 8HP75) อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 3.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 325 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
Purer-Drive Modes แบบใหม่ เน้นการใช้งานที่ง่าย สะดวก และมีประสิทธิภาพสูงสุดในการควบคุมรถ การันตีการขับที่สนุกและปลอดภัยทุกสถานการณ์ ด้วย 5 โหมดการขับ คือ Wet, Individual, GT (พื้นฐาน), Sport และ Sport+
พร้อมติดตั้งระบบออกตัว (Launch Control) สำหรับการทะยานจากจุดสตาร์ท รวมถึงมีระบบควบคุมการทรงตัว (ESP-Electronic Stability Programme) ที่สามารถปรับได้ 3 แบบ คือ ON, TRACK และ OFF ที่เปิดโอกาสให้ผู้ขับได้สัมผัสกับความท้าทายในการควบคุมรถอย่างเป็นธรรมชาติ

ส่วนอีกหนึ่งความพิเศษของ แอสตัน มาร์ติน DB12 คือ ช่วงล่างหน้า-ดับเบิลวิชโบน และหลัง-มัลติลิงก์ พร้อมโช้คอัพอะแดปทีฟ BILSTEIN DTX ที่มีความความยืดหยุ่น นุ่มหนึบ และความละเอียดในการขับมากขึ้นถึง 500% (เทียบกับ DB11 V8)
นอกจากนี้ถือเป็นครั้งแรก ที่มีการติดตั้งเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิป ควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-diff) สายพันธุ์ DB ควบคุมรถอย่างมั่นใจด้วยคาลิปเปอร์เบรกหน้า 6 พอต หลัง 4 พอต จับคู่จานเบรกโลหะเจาะรูระบายความร้อน หน้า-หลังขนาด 400 และ 360 มิลลิเมตร พร้อมด้วยจานเบรกคาร์บอนเซรามิก เจาะรูระบายความร้อน หน้า-หลังขนาด 410 และ 360 มิลลิเมตร เป็นออปชั่น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการชะลอความเร็ว และลดน้ำหนักใต้สปริงได้ถึง 27 กิโลกรัม
สำหรับการดีไซน์ตัวถังใหม่ให้กว้างและดูดุดันยิ่งขึ้น เน้นจุดเด่นของ แอสตัน มาร์ติน ด้วยกระจังหน้า แบบ single vaned โลโก้สัญลักษณ์ (Aston Martin Wing Badge) แบบใหม่ โดดเด่นยิ่งขึ้น และเป็นการนำมาติดตั้งบน แอสตัน มาร์ติน DB12 เป็นรุ่นแรก

นอกจากนี้ยังมาพร้อมช่องระบายอากาศบนฝากระโปรง เพื่อระบายความร้อนจากเครื่องยนต์และเทอร์โบคู่ ที่อยู่บริเวณกลางห้องเครื่อง ไฟหน้าแอลอีดี พร้อมเดย์ไทม์รันนิงไลท์แบบใหม่ (6-block pattern) กระจกข้างทรงสปอร์ตไร้กรอบ เพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะช่วงความเร็วสูง ด้วยระบบแอโรไดนามิกส์ Aeroblade
...
โดยใช้หลักอากาศพลศาสตร์ในการสร้างแรงกด พร้อมสปอยเลอร์หลังแบบอัตโนมัติ รวมไปถึงความประทับใจใหม่ กับ Presenting Door Handles เมื่อกดปุ่มปลดล็อกบนกุญแจรีโมต มือจับประตูจะเปิดขึ้นอัตโนมัติ ช่วยให้จับได้สะดวกยิ่งขึ้น
สำหรับราคา Aston Martin DB12 เริ่มต้นอยู่ที่ 21,900,000 บาท