McLaren 765LT ถือเป็นซุปเปอร์คาร์รุ่นล่าสุดจากประเทศอังกฤษ ตัวเลข 765 และอักษรย่อต่อท้าย LT เข้ามาสานต่อความแรงของรถรุ่น F1 และ 675LT โดยมีการปรับปรุงเพื่อทำให้รถมีน้ำหนักเบาขึ้น เครื่องยนต์มีกำลังมากขึ้น รวมไปถึงการขับที่มีส่วนร่วมกับเทคโนโลยีมากขึ้น พูดง่ายๆ ก็คือมันขับได้ง่ายขึ้น โดยได้รับความช่วยเหลือจากระบบต่างๆ และยังคงเอกลักษณ์การขับในสไตล์ของ McLaren ไว้ทั้งหมด นี่คือบทต่อไปของรถแรงรุ่น Longtail จาก McLaren ซึ่งเริ่มต้นด้วยรุ่น F1 ตามด้วย 675LT และล่าสุดกับรถรุ่นใหม่อย่าง McLaren 765LT แน่นอนว่า LT เป็นชื่อย่อของรถรุ่นพิเศษจาก McLaren สำหรับคำว่าหางยาวหรือ Longtail (LT)  ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้ครั้งแรกในปี 1997 สำหรับ McLaren F1 ออกแบบโดย กอร์ดอน เมอร์เรย์ ซึ่งได้รับการขยายตัวถังด้านหลังเพื่อปรับปรุงระบบอากาศพลศาสตร์

...

ตัวถังด้านหลังของ 765LT นั้นยาวกว่า 720S โดยได้รับความช่วยเหลือจากงานดีไซน์กันชนหลังแบบใหม่ และสปอยเลอร์หลังแบบแอคทีฟเต็มความกว้างของส่วนท้าย ซึ่งช่วยเพิ่มแรงกดหรือ Downforce ที่เพลาหลังมากขึ้นอีก 25 เปอร์เซ็นต์ หางหลังไฟฟ้า จะพลิกขึ้นตั้งชัน หรือในตำแหน่งแนวตั้งทันทีที่ผู้ขับแตะเบรก หางหลังที่ยกจนทำให้เกิดแรงต้านทานอากาศ เพื่อช่วยชะลอความเร็ว และรักษาเสถียรภาพของรถ ส่วนหน้าออกแบบให้มีความยาวมากขึ้น เมื่อเทียบกับ 720S ตัวแยกอากาศด้านหน้าแบบใหม่ กันชนหน้า ขยายครีบด้านหน้าเพิ่มอีก 1.6 นิ้ว เพื่อช่วยเพิ่มแรงกดที่เพลาหน้า จากการทำตัวเป็นรถเครื่องยนต์วางกลางลำ น้ำหนักที่ตกลงไปยังส่วนท้ายจะมากกว่าด้านหน้าเล็กน้อย

...

การเปลี่ยนแปลงของระบบกันสะเทือน รวมถึงการจูนสปริงแบบ LT-spec ปรับการทำงานของฮาร์ดแวร์ที่ควบคุมโช้คอัพ ด้วยซอฟต์แวร์ใหม่สำหรับระบบกันสะเทือนแบบ hydraulic active suspension ที่เชื่อมโยงกับไดนามิก ความสูงของเบาะนั่งถูกปรับใหม่ให้ต่ำลง แทร็กด้านหน้าได้รับการขยายให้กว้างขึ้น ระบบเบรกยกมาทั้งชุดจาก McLaren Senna ทำให้ 765LT หยุดนิ่งจาก 124 ไมล์ต่อชั่วโมงในระยะไม่ถึง 360 ฟุต วิศวกรของ McLaren แจ้งว่า ยางมาตรฐานคือยาง Pirelli P Zero Trofeo R ที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษ มีขนาด 235/35 ZR19 ที่ล้อคู่หน้า และ 305/30 ZR20 ที่ล้อหลัง

...

การอัปเกรดเฉพาะของรุ่น LT มุ่งไปที่เครื่องยนต์เบนซิน V-8 เทอร์โบคู่ ขนาดความจุ 4.0 ลิตร ติดตั้งตรงกลางระหว่างแผ่นหลังของคนขับกับส่วนท้าย รวมถึงการเพิ่มขนาดของลูกสูบอะลูมิเนียม เปลี่ยนชุดปะเก็นเป็นแบบสามชั้นจาก McLaren Senna พร้อมกับระบบเชื้อเพลิงที่ปรับการทำงานให้เข้ากับรอบเครื่องยนต์ Low-Back แบบใหม่ ท่อไอเสียทำจากไทเทเนียม สามารถปล่อยแรงดันของไอเสียได้เร็วและมากกว่าเดิมด้วยการออกแบบช่องสี่ช่องบริเวณกึ่งกลางของชุดท่อระบาย การเปลี่ยนแปลงฮาร์ดแวร์เหล่านี้รวมกับระบบการจัดการเครื่องยนต์ที่ปรับใหม่ ช่วยเพิ่มกำลังเครื่องยนต์เป็น 765 แรงม้า แรงบิด 590 ปอนด์ฟุต (800 นิวตันเมตร) แรงม้าเพิ่มขึ้น 45 ตัว ส่วนแรงบิดมาเพิ่มอีก 22 ปอนด์ฟุต หรือ 30 นิวตันเมตร เมื่อเทียบกับกำลังและแรงบิดของ 720S ระบบเกียร์คลัตช์คู่เจ็ดสปีด มีอัตราที่ถูกปรับใหม่ ช่วยทำให้อัตราเร่งในเกียร์ต่างๆ เร็วขึ้น 15 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลลัพธ์ให้รถ 765LT ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 205 ไมล์ต่อชั่วโมง ในเกียร์ 7 

...

เครื่องยนต์เบนซิน V8 เทอร์โบคู่ พร้อมเทคนิคในการปรับจูนเพื่อสร้างพลังงานในรูปของแรงม้าและแรงบิด ทำให้ซุปเปอร์คาร์รุ่นนี้ มีกำลังมากถึง 765 แรงม้า (PS) กับแรงบิดอย่างโหดที่ 800 นิวตันเมตร  เครื่องยนต์ทวินเทอร์โบ V8 ของ McLaren ยังเร่งความเร็ว 0 ถึง 60 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 2.7 วินาที หรือ 0-100 กม. / ชม. (62 ไมล์ต่อชั่วโมง) ใน 2.8 วินาที กระชากจาก 0-200 กม. / ชม. (124 ไมล์ต่อชั่วโมง) ใน 7.0 วินาที พุ่งทะยานจากจุดหยุดนิ่ง ไปจนถึงความ 300 กิโลเมตร หรือ 0-300 กม. / ชม. (186 ไมล์ต่อชั่วโมง) ด้วยเวลาเพียงแค่ 18.0 วินาที เท่านั้นเอง นับเป็นเครื่องยนต์วางกลางลำที่มีพละกำลังมหาศาล แม้จะมีความจุไม่มาก แต่ความสามารถในการปรับแต่งเครื่องยนต์ของ McLaren นั้น นับว่าสุดยอด! 

McLaren 765LT นำระบบเกียร์รุ่นใหม่ที่มีการปรับความสมดุลสูงสุด มีการปรับปรุงเพื่อทำให้เกียร์ทวินคลัตช์ 7 สปีด สามารถตอบสนองต่อองศาของคันเร่งอย่างว่องไวมากกว่าเดิม อัตราทดเกียร์ถูกปรับให้ทำงานเร็วขึ้นถึง 15% มากกว่ารุ่น 720S และยังทำความเร็วต่อรอบในสนามแข่งได้ดีที่สุด เหนือกว่ารถรุ่นอื่นของ McLaren Super Series น้ำหนักที่เบากว่าบรรดารุ่น LT ทั้งหมด 765LT เบากว่า McLaren 720S 80 กิโลกรัม น้ำหนักตัวรถทั้งคันที่ 1,339 กิโลกรัม (น้ำหนัก DIN) ขณะตัวถังเปล่าหนักแค่ 1,229 กิโลกรัม หนักสูสีกับ Mazda 2 ทำให้ McLaren 765LT เบากว่าซุปเปอร์คาร์คู่แข่งที่มีสมรรถนะใกล้เคียงมากที่สุดในสเปกถึง 50 กิโลกรัม คือโคตรเบาละครับ 

อัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักอยู่ในระดับ 622 แรงม้าต่อตัน แชสซีและโครงสร้างของตัวถัง ใช้วัสดุที่มีความแข็งแกร่งสูง แต่น้ำหนักเบา จากเทคโนโลยีคาร์บอนไฟเบอร์ขั้นสูง แบรนด์ McLaren นั้น เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีวัสดุน้ำหนักเบาในวงการแข่งรถและรถยนต์ซุปเปอร์คาร์ของโลก โดยเฉพาะการใช้คาร์บอนไฟเบอร์พิเศษลิขสิทธิ์เฉพาะของ McLaren ได้เปลี่ยนแปลงวงการแข่งรถมาตั้งแต่การผลิตรถ McLaren P1 เข้าสู่วงการแข่งขัน F1 มาจนปัจจุบัน

หนึ่งในเส้นทางของความสำเร็จที่ประจักษ์ต่อชาวโลกมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของการแข่งรถ คือความรุ่งโรจน์ของ McLaren ที่เริ่มต้นเมื่อกว่า 50 ปีที่แล้ว เส้นทางแห่งความภาคภูมิใจของ McLaren เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผู้คนที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้สืบสานความสำเร็จในวงการแข่งรถปัจจุบัน คือวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกลของ บรูซ แม็คลาเรน ความล้ำยุคของงานวิจัย และแนวคิดวัสดุศาสตร์ ด้วยการผลิตชิ้นส่วนน้ำหนักเบาแต่แข็งแรงกว่าเหล็กหลายเท่า McLaren คิดค้นเทคโนโลยีนี้ เพื่อผลิตทุกชิ้นส่วนของรถซุปเปอร์คาร์ โดยเฉพาะซุปเปอร์คาร์ McLaren 765LT ห้องวิจัยและการผลิตที่ประเทศอังกฤษ นำวัสดุสมรรถนะสูง แต่เบาพิเศษ มาผลิตระบบท่อไอเสีย ด้วยโลหะน้ำหนักเบาอย่างไทเทเนียม ระบบถ่ายทอดพลังขับเคลื่อนขั้นสูง คล้ายรถแข่ง Formula One รวมไปถึงการผลิตกระจกโพลีคาร์บอเนต สไตล์มอเตอร์สปอร์ต กระจกรถมีความบางแต่แข็งแรงกว่าเดิม กลายเป็นกระจกมาตรฐานของ McLaren 765LT 

765LT ไม่เพียงแต่มีกำลังและแรงบิดมากกว่า 720S แต่ยังมีน้ำหนักเบากว่า ด้วย โปรแกรมลดมวลอย่างพิถีพิถัน ช่วยลดน้ำหนักได้ 176 ปอนด์ หรือกว่า 80 กิโลกรัม จากรถที่เบาที่สุดในกลุ่มนี้ ล้ออัลลอยแบบใหม่ ยึดด้วยสลักเกลียวไททาเนียม ช่วยลดน้ำหนักได้มากกว่า 48 ปอนด์ หรือ 21 กิโลกรัม มีการเปลี่ยนเบาะนั่งใหม่ ด้วยเบาะนั่งแบบชิ้นเดียวที่เบาเป็นพิเศษ ซึ่งก็ยกออกมาจาก McLaren Senna ในจุดนี้ เบาะคาร์บอน ลดน้ำหนักลงไปได้อีก 40 ปอนด์ หรือ 18 กิโลกรัม ในส่วนของแซสซี มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการสร้างอ่างคาร์บอนไฟเบอร์บริเวณห้องโดยสาร ผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุศาสตร์ของ McLaren ในเมือง Sheffield ประเทศอังกฤษ ทำให้โครงสร้างตัวถังโดยรวม มีน้ำหนักลดลง 32 ปอนด์ หรือ 14.5 กิโลกรัม ท่อไอเสียไทเทเนียม หั่นน้ำหนักของระบบระบายไอเสียออกไปได้อีก 40 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับการใช้ท่อเหล็กแบบเก่า

765LT ในสเปกสูงสุด ที่เบาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทำให้วัวเถื่อน Lamborghini Huracán มีน้ำหนักมากกว่า 400 ปอนด์ หรือ 181 กิโลกรัม! น้ำหนักเบาและกำลังขนาดมโหฬาร หมายความว่า 765LT นั้น เป็นซุปเปอร์คาร์รุ่นใหม่ที่เร็วจี๋ McLaren อ้างว่ามันจะวิ่งจาก 0 ถึง 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลาแค่ 18 วินาที ซึ่งเป็นตัวเลขที่บ้าเอามากๆ รถรุ่น 675LT ที่ผมเคยทดสอบในเซปังเร่งจาก 0-300 ได้ในเวลา 22.4 วินาที ซึ่งถือว่าเร็วมากจนแทบจะบินได้แล้ว 

McLaren 765LT เป็นรถที่ทรงพลังและเต็มไปด้วยแรงดึงดูดสำหรับนักขับรถที่ไม่มีความกลัวในด้านการทำความเร็ว สมรรถนะการขับถูกปรับให้มีประสิทธิภาพ ด้วยจำนวนการผลิต McLaren 765LT แค่ 765 คัน และขายหมดไปหมดเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ก่อนการเปิดรับจอง! ความต้องการ McLaren 765LT ในรอบการผลิตของปี 2021 หลั่งไหลเข้ามาเกินกว่าจำนวนรถที่สามารถผลิต เพื่อตอบสนองให้กับลูกค้าจำนวนมาก รถแต่ละคันมีหมายเลขตัวถังเลขลำดับการผลิตแค่ 765 หมายเลข 

วิทวัส ชินบารมี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ McLaren Bangkok แถลงในวันเปิดตัวที่โชว์รูมย่านมอเตอร์เวย์ว่า  “ประเทศไทย ในฐานะที่ McLaren Bangkok เป็นผู้แทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว ได้รับโควต้า McLaren 765LT มาเพียงแค่ 8 คันเท่านั้น และทั้ง 8 คันนั้นได้มีผู้สั่งซื้อไปหมดแล้ว”

สัมผัสกับรถซุปเปอร์คาร์ต่างๆของ McLaren เช่น McLaren 720S ตัวแทนแห่งรถสไตล์ดุดันแต่หรูมีระดับบนท้องถนน หรือ McLaren GT ซุปเปอร์คาร์ที่ออกแบบมาอย่างหรูหรา นุ่มนวลมีระดับ สามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวัน รวมถึงรถรุ่นใหม่อย่าง McLaren 756LT ที่โชว์รูม McLaren อาคาร McLaren Bangkok Motorway.

อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/