เกรท วอลล์ มอเตอร์ ผนึกกำลังแบรนด์รถยนต์สัญชาติจีน ดันไทยเป็นฮับผลิตยานยนต์เทคโนโลยีพลังงานใหม่ หรือ NEV ท่ามกลางความท้าทายของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในภาวะตลาดหดตัวอย่างต่อเนื่อง
ไมเคิล ฉง กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) หรือ GWM กล่าวว่า ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีพลังงานใหม่ หรือ NEV ของประเทศจีน เกิดจากความร่วมมือผู้ประกอบการ และกรอบนโยบายทางการเมืองที่แข็งแกร่ง เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรม NEV ของจีนเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลก
เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีตการพัฒนา NEV เป็นกลยุทธ์ระดับชาติที่รัฐบาลจีนริเริ่มจากเหตุผลหลากหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น ความมั่นคงด้านราคาน้ำมัน มลพิษทางอากาศ และการพัฒนาอุตสาหกรรม โดยเมื่อสิบปีก่อน ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง กล่าวไว้ว่า การพัฒนา NEV เป็นหนทางเดียวสำหรับจีนในการขึ้นสู่การเป็นมหาอำนาจด้านยานยนต์ ส่วนสำคัญของกลยุทธ์การพัฒนา NEV ของจีน คือ การมีส่วนร่วมในการแข่งขันและประสบความสำเร็จในระดับโลก
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยกำลังประสบกับปัญหาในการดำเนินธุรกิจด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว อย่างต่อเนื่อง รวมถึงผลกระทบในวงกว้างจากสงครามราคาที่ดุเดือดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การดำเนินธุรกิจ มีความท้าทายเป็นอย่างมาก จากข้อมูลล่าสุด ยอดการผลิตและยอดขายของรถยนต์ในประเทศไทยมีอัตราที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
...
โดยตั้งแต่เดือนม.ค.-มิ.ย.67 มียอดขายรวม 307,810 คัน ลดลง 24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 66 โดยเมื่อเทียบเป็นรายปี พบยอดขายของรถยนต์พีพีวี ลดลง 43% รถกระบะลดลง 40% รถยนต์นั่งส่วนบุคคลลดลง 14% และรถยนต์เอสยูวีลดลง 11%
ในทางกลับกัน แบรนด์รถยนต์ สัญชาติจีนที่หลากหลายกว่า 10 แบรนด์ ที่ได้เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ให้แก่อุตสาหกรรมยานยนต์ ด้วยการมอบประสบการณ์ทางเลือกที่ดีกว่า สู่การเดินทางและการขับขี่ที่อัจฉริยะ และมาพร้อมพลังงานสะอาดเพื่อการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในทุก ๆ เส้นทาง เป็นตัวเลือกที่มีคุณภาพ และล้ำหน้าไปด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยของแบรนด์รถยนต์สัญชาติจีน และตลอดทั้งอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นด้านบริการทางการเงิน โลจิสติกส์ และความสามารถด้านการบริหารจัดการธุรกิจในตลาดต่างประเทศ ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่แบรนด์ต่างล้วนเร่งหากลยุทธ์ที่จะช่วยมุ่งเน้นสร้างการเติบโต และความแข็งแกร่งทางธุรกิจอย่างยั่งยืนทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
ไมเคิล ฉง กล่าวอีกว่า ในช่วงเวลาแห่งความท้าทายนี้ แบรนด์รถยนต์พลังงานใหม่สัญชาติจีนจำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงโครงสร้างภายในแทนการทำการตลาดที่เน้นราคา มุ่งเน้นความร่วมมือด้านการลงทุน เทคโนโลยี การทำการตลาด และห่วงโซ่อุปทาน เพื่อสร้างสวนอุตสาหกรรมในตลาดต่างประเทศร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาและปรับปรุงในด้านการวิจัย และการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า การผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพมาตรฐานโลก
รวมถึงการส่งเสริมการขายที่เป็นธรรมต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายเพื่อประโยชน์โดยรวมต่อทั้งอุตสาหกรรม นำไปสู่ประสบการณ์การใช้งานที่ดีเลิศของผู้บริโภค จนนำไปสู่ชื่อเสียงในระดับโลก และเพื่อเป็นการร่วมฝ่าฟันช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ การทำงานผ่านความร่วมมือกันของแบรนด์รถยนต์สัญชาติจีนที่ดำเนินธุรกิจในไทย คือหนึ่งกุญแจสำคัญสู่โซลูชันที่จะสร้างการเติบโตทางธุรกิจในไทยได้อย่างแข็งแกร่ง
โดยการลงทุนที่ครอบคลุมหลากหลายด้าน คือ หนึ่งในโซลูชันสำคัญ ทั้งการส่งเสริมการลงทุนผ่านผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมรวมถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการการใช้งานของกลุ่มเป้าหมายในอนาคตที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ในขณะที่การลงทุนด้านห่วงโซ่อุปทาน คือ การมุ่งเน้นลงทุนในอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ รวมไปถึงการผนึกกำลังด้านการลงทุนเพื่อการขยายตลาดในต่างประเทศ
...
ล่าสุด มีแบรนด์รถยนต์พลังงานใหม่สัญชาติจีน 6 แบรนด์ที่มีฐานการผลิตในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นสัญญาณบวกที่ชี้ชัดว่า ประเทศไทยมีศักยภาพสูง และเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคสำหรับการผลิตและส่งออกรถยนต์พวงมาลัยขวาไปยังตลาดโลก สะท้อนขีดความสามารถของทักษะแรงงานชาวไทย และยังส่งผลให้เศรษฐกิจ และสังคมไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน
ขณะเดียวกันอีกหนึ่งความสำคัญที่ช่วยเร่งสร้างการเติบโตทางธุรกิจในไทย คือ ความร่วมมือจากภาครัฐระหว่างประเทศไทยและประเทศจีนในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นโครงการ หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง หรือ Belt and Road Initiative หรือ BRI ซึ่งเป็นนโยบายความร่วมมือระดับโลกระหว่างจีนและนานาชาติ โดยให้ความสำคัญด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก และยุทธศาสตร์ ไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งจะเน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยด้วยนวัตกรรม นโยบายการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐทั้งสองเฟส หรือ EV 3.0 และ EV 3.5 ที่ผลักดันการเข้ามาลงทุนของบริษัทรถยนต์จากประเทศจีน
โดยในเฟสแรกมีรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนเข้าร่วมถึง 15 บริษัทจาก 13 แบรนด์ รวมไปถึงโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกของไทย หรือ Eastern Economic Corridor หรือ EEC ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย โดยการผสานโครงการเหล่านี้เข้าด้วยกัน นำไปสู่ความร่วมมือระหว่างห่วงโซ่อุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ของประเทศจีนและประเทศไทย ซึ่งไม่เพียงช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยและสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวเท่านั้น แต่ยังเป็นแรงขับเคลื่อนใหม่ในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของทั้งสองประเทศ รวมถึงการเติบโตที่มั่นคงของเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย
...