รถซีตรองรุ่นแทรคชั่นที่จะเข้าร่วมแข่งขันเส้นทางกัวลาลัมเปอร์–เชียงราย.
เมื่อ ได้ยินคำว่า Rally ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษ หมายถึงการแข่งขันรถยนต์ทางไกลที่มีผู้นิยมจัดเส้นทางแรลลี่ระยะทางไกลจาก ประเทศหนึ่งไปอีกประเทศหนึ่ง เพื่อดึงดูดการท่องเที่ยวด้วยรถยนต์

การจัดแรลลี่ได้มีการจัดขึ้นต่างกรรมต่างวาระในที่ต่างๆ ทั้งในยุโรปและเอเชีย จนกระทั่งสหประชาชาติเห็นความสำคัญในการจัดการแข่งขันแรลลี่ระหว่างประเทศ จึงได้ จัดแรลลี่ขึ้นในภูมิภาคเอเชีย เส้นทางเวียงจันทน์ถึงสิงคโปร์ เมื่อ พ.ศ.2512 มีบริษัทรถยนต์หลายบริษัทส่งตัวแทนเข้าร่วมแข่งขันทั้งยุโรปและเอเชีย
ใน การแข่งขันครั้งนั้นทาง บริษัทโฟล์คสวาเก้น ซึ่งมี หม่อมเจ้าปิยะรังสิต รังสิต ขอให้ ผมเป็นตัวแทนโฟล์คเข้าแข่งขัน ในฐานะที่เป็นคนชอบขับรถ มีประสบการณ์ในการขับรถและได้รับคำชมว่าเป็นคนขับรถที่มีฝีมือ ซ้ำยังทำหน้าที่ถวายการรับใช้ในการขับรถพระที่นั่งของ สมเด็จพระนางเจ้า รำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 เป็นประจำอยู่แล้ว

...
นอกจากนี้ ยังมีประสบการณ์จากการขับรถและเดินทางในยุโรปเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 20 ปี ผมเคยทำสถิติบันทึกไว้ว่า ผมเดินทางในยุโรปไม่ต่ำกว่า 10,000 กิโลเมตร โดยเฉพาะได้เคยขับรถถวายการรับใช้ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้า กัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ท่องเที่ยวในฤดูร้อนเป็นประจำ แต่ละวันขับรถเป็นระยะทางกว่า 500 กิโลไม่ต่ำกว่า 15 วัน แต่การไปท่องเที่ยวแบบนั้นเป็นการขับรถที่ราบเรียบ แวะชมสถานที่ท่องเที่ยว กินอาหารอร่อยๆ แวะพักโรงแรมเป็นการเดินทางที่มีความสุขตลอดระยะทาง ไม่ใช่การแข่งขันแรลลี่ที่มีกฎเกณฑ์ กำหนดเวลาจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งอย่างชัดเจน และเส้นทางการแข่งขันแรลลี่ก็มีความลำบากมากน้อยแตกต่างกันไป

เมื่อมีการทาบทามจากบริษัทโฟล์คสวาเก้นให้เข้าแข่งขันแรลลี่ ผมก็ตอบรับด้วยความยินดี เพราะว่าผู้ทาบทามเป็นญาติผู้พี่ ในการแข่งขันครั้งนั้นรถแต่ละคันจะมี Navigator และผู้ช่วยขับรวม 3 คน เส้นทางจากเวียงจันทน์ ไปสิ้นสุดสิงคโปร์ ระยะทางถ้าผมจำไม่ผิดก็ประมาณ 2,000 กิโลเมตร อย่าลืมว่าเมื่อปี 2512 เส้นทางคดเคี้ยวอ้อมไปอ้อมมา เป็นถนนลูกรังรถวิ่งผ่านไปฝุ่นฟุ้งกระจาย สะพานทอดข้ามลำน้ำ คู คลอง ยังเป็นสะพานไม้ชั่วคราวไม่ราบเรียบเหมือนเดี๋ยวนี้

ผู้ที่เข้าแข่งขันในคราวนั้นมีด้วยกันหลายชาติเป็นร้อยคัน ต่างก็นำรถมาตั้งต้นที่เวียงจันทน์ ขับมาจุดแรกที่สวนอัมพรได้พัก 1 คืน รุ่งเช้าขับลงไปชุมพรพักนิดหน่อย พอ 2 ทุ่มออกจากสี่แยกปฐมพร จ.ชุมพร ผ่าน ระนอง ทุ่งสง นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง หาดใหญ่ ถึงสะเดาตอน 6 โมงเช้า แต่ระยะทางที่หฤโหดเป็นจุดที่อันตรายที่สุด คือช่วงระหว่าง จ.ตรัง ถึง จ.พัทลุง บนเขาพับผ้า ซึ่งมีโค้งหักศอกตลอดเส้นทาง แต่จะต้องขับให้ได้ในเวลา 60 นาทีตามกฎเกณฑ์ต้องใช้ฝีมือและเทคนิคในการเลี้ยวโค้งแบบหักข้อศอกเป็นอันมาก การแข่งขันครั้งนั้น พระองค์เจ้าพีระพงศ์ ที่เรารู้จักกันในนาม "นักแข่งรถเจ้าดาราทอง" ประสบอุบัติเหตุชนเขาต้องออกจากการแข่งขัน รถที่เข้าแข่งขันหลายสิบคันประสบอุบัติเหตุจนทำให้ทีมงานของเบียร์สิงห์ถอน ตัว สำหรับ ผมขับจากชุมพรถึงสะเดาคนเดียวจนได้รับสมญาว่า "เฒ่าตีนผี" ผู้เข้าแข่งขันทุกคันต้องช่วยเหลือตัวเอง ไม่มีทีมซ่อมรถหรือช่วยระหว่างทาง รถของ นักแข่งประเทศลาว เจ้าคำปัน มาถึงสิงคโปร์หลังนักแข่งคนอื่น 3 วัน เจ้าคำปัน บอกว่า "มาบ่ฮอด ตีนข้อยแตกสี่ตีน" ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด คือ โตโยต้า ซึ่งมีปรีดา จุลมณฑล เป็นทีมขับ ได้รางวัลยอดเยี่ยม เป็นที่ฮือฮาของคนทั่วไปที่นักขี่จักรยานระดับชาติมาได้รางวัลยอดเยี่ยมแข่ง แรลลี่ครั้งนี้
...

ผมได้ทราบมาว่าจะมี การจัดแข่งขันแรลลี่ข้ามประเทศขึ้นอีกครั้งหนึ่งในเส้นทาง กัวลาลัมเปอร์–เชียงราย โดยใช้ชื่อการแข่งขันครั้งนี้ว่า "CITROEN RALLY TRACTIONS SANS FROTIERES FRANCE" เป็น แรลลี่ทัวร์ของคณะ TRACTIONS SANS FROTIERES FRANCE จากประเทศเบลเยียม สวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส เดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย เพื่อกระชับสัมพันธไมตรีและเรียนรู้วัฒนธรรมวิถี ชีวิตไทย พร้อมทำกิจกรรมสาธารณกุศล ไม่ใช่ เป็นการแข่งแรลลี่แบบที่ผมลงแข่งขัน
การ แข่งขันครั้งนี้สืบเนื่องมาจากปี 2552 คุณญาณ (Mr.Yann) และ คุณเจอราดีน (Mrs. Geradine) สองสามีภรรยาชาวฝรั่งเศส ขับรถยนต์ ตู้ซีตรองรุ่นฮาชีล (HACHILLE) หรือรุ่นหน้าหมูโบราณ (รุ่นปี ค.ศ.1947) เข้ามาท่องเที่ยวเมืองไทย โดยขับรถตระเวนไปตามจังหวัดต่างๆบันทึกภาพและเหตุการณ์ ที่ได้พบเห็นอย่างละเอียด ที่สำคัญ ทั้งสองได้มาพบกับ คุณเจษฎา เดชสกุลฤทธิ์ เจ้าของพิพิธภัณฑ์รถโบราณ เจษฎามิวเซียม ที่มีรถเก่าโบราณแบบและรุ่นต่างๆทั่วโลกกว่า 1,000 คัน ซึ่งผมเคยทำรายการครอบจักรวาลเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ แห่งนี้ให้ดูกันแล้ว
...

เมื่อกลับไปฝรั่งเศสสองสามีภรรยาเกิดความประทับใจ จึงนำเรื่องราวที่ได้พบเห็นในประเทศไทยเขียนลงนิตยสาร GAZOLINE และทำข่าวสารคดีท่องเที่ยวทั่วโลกในรายการโทรทัศน์ VOYAGE CHANEL ออกอากาศ 160 ประเทศทั่วโลก ทาง สมาคมรถยนต์ซีตรองแทรคชั่นไร้พรมแดน (CITROEN TRACTIONS SANS FROTIERES) จึงได้ป่าวประกาศไปถึงสมาชิกผู้รักรถโบราณชักชวนกันนำรถซีตรองรุ่นแทรคชั่น เดินทางท่องเที่ยวประเทศไทยและมาเลเซียโดยใช้เวลา 21 วัน และที่สำคัญที่สุดคือ มาดู ซิว่าคนไทยธรรมดาๆอย่างคุณเจษฎา ทำไมจึงมีพิพิธภัณฑ์สะสมรถโบราณที่หายากมากมายขนาดนี้ แถมยังให้เข้าชมฟรีด้วย อย่ากระนั้นเลยโปรแกรมการแข่งขันแรลลี่ครั้งนี้จึงเกิดขึ้น
เริ่มจาก เอารถซีตรองโบราณทั้งหมดลงเรือมาขึ้นที่กัวลาลัมเปอร์ และท่องเที่ยวในมาเลเซีย 8 วัน จากนั้นเข้ามาประเทศไทยทางด่านสะเดา พักค้างคืนจุดแรกที่ จ.ตรัง ผ่านชุมพรจนมาถึงหัวหินพัก 1 คืน จึงขับขึ้นมาจนถึงพิพิธภัณฑ์รถโบราณ เจษฎามิวเซียม อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ชมรถโบราณให้หายอยากแล้วเข้าที่พักที่โรงแรมสวนสามพราน เพื่อร่วมงานเลี้ยงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่อลังการตามแบบฉบับสวนสามพราน รุ่งขึ้นเดินทางขึ้นเหนือพัก นครสวรรค์ พิษณุโลก แห่งละ 1 คืน ขับต่อไปเที่ยวชมมรดกโลกที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย 1 คืน จากนั้นขึ้นไปค้างลำปางอีก 1 คืน และไปจบที่ จ.เชียงราย อยู่ท่องเที่ยวชมความงามของล้านนาทำกิจกรรมสาธารณกุศลรวม 3 คืน จึงล่องกลับมาพักที่พิษณุโลก 1 คืน เรื่อยมาจนถึงอยุธยาพักชมอุทยานประวัติศาสตร์สมัยอยุธยาอีก 1 คืน
...

รุ่งเช้าเป็นวันที่ 11 สิงหาคม 2553 ขบวนรถจะขับเข้ากรุงเทพฯ มาเยี่ยมคารวะ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล แล้วจะเอารถทั้งหมดไปจอดไว้ที่สนามเสือป่า คราวนี้ล่ะสนุกแน่ๆ สำหรับฝรั่งต่างชาติ เพราะคณะผู้เข้าแข่งขันแรลลี่ทุกคนจะไปทัวร์ที่ถนนข้าวสารที่เลื่องชื่อ ลือชา เพื่อชมวิถีชีวิตคนไทยและรับประทานอาหารเย็นที่นี่ พอตกค่ำก็จะนั่ง รถ London Bus ชมแสงสีไฟประดับประดางานเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนาง เจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และความงามยามราตรีของกรุงเทพฯ
รุ่ง เช้าเป็นวันที่ 12 สิงหาคม 2553 ขบวนรถทั้งหมดจะร่วมเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนาง เจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โดยจะขับรถเป็นขบวนไปตามถนนราชดำเนิน เลี้ยวเข้าเยี่ยมคารวะผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ณ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกบริเวณเสาชิงช้า กิจกรรมตอนบ่ายจะอยู่รอบๆเกาะรัตนโกสินทร์ ตกเย็นก็จะได้ดื่มด่ำรสชาติอาหารไทยกับบรรยากาศสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาบน เรือสำราญ
อีก 2 วันก็จะไปชม เมืองโบราณ วังสวน ผักกาด มาบุญครอง วัดยานนาวา พระบรมมหาราชวัง และร่วมงานเลี้ยงอำลาที่ หอประชุมกองทัพเรือ ในวันที่ 15 ส.ค.2553 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายในเมืองไทย เวลา 01.25 น. ก็ขึ้นเครื่องบินกลับ ส่วนรถก็ลงเรือที่ท่าเรือกรุงเทพฯ กลับไปเจอเจ้าของที่บ้าน
เท่าที่เล่ามานี้ก็อยากให้พวกเราชาวไทยที่ อยู่ ตามเส้นทางที่ขบวนแรลลี่ทัวร์คณะนี้แล่นผ่านไปช่วยกันต้อนรับและทักทาย ถ่ายรูปในฐานะเจ้าของบ้านก็ไม่ผิดกติกา ผมว่ากิจกรรมการแข่งขันแรลลี่ทัวร์แบบนี้ เมื่อฝรั่งเขากลับไปบ้านเขาแล้ว เขาจะได้ไปเล่าสู่กันฟังว่าประเทศไทยสวยงาม มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย เป็นการการันตีว่าบ้านเมืองของเราสงบสุขแล้ว
ต้องขอชมเชย คุณเจษฎา เดชสกุลฤทธิ์ และทีมงานที่เป็นเจ้าภาพดูแลคณะแรลลี่ทั้งหมด
ถ้าอยากรู้ว่ารถซีตรองรุ่นแทรคชั่นหน้าตาเป็นอย่างไร ก็ขอเชิญไปดูผมขับรถซีตรองแทรคชั่นร่วมกับคณะแรลลี่ได้ที่ถนนราชดำเนินนะครับ.
************
ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์