“เปรี้ยว ชำแหละศพ แอ๋ม” คดีฆ่าหั่นศพสุดเหี้ยมเกรียมที่สังคมกำลังให้ความสนใจ สู่คดี “ฆ่าหั่นศพ” ในตำนานที่ถูกเล่าขานถึงความอำมหิตกันมาหลายชั่วคน

รักต้องฆ่า เสริม สาครราษฎร์ ฆาตกรอัจฉริยะ!

เสริม สาครราษฎร์ เด็กชายอายุ 15 ปี จากจังหวัดชลบุรี สามารถสอบเอ็นทรานซ์ เข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ เด็กยอดอัจฉริยะของประชาชนคนไทย ณ เวลานั้น และ 5 ปีต่อมา เขาสามารถสำเร็จการศึกษาได้เป็นวิศวกรรมศาสตรบัณฑิตสมใจ

จากนั้นไม่นาน ด้วยความเป็นเลิศทางสมอง คราวนี้เขาสอบติดคณะแพทยศาสตร์ ซึ่งกำลังได้เป็นทั้งวิศวกร และนายแพทย์ อันเป็นสองอาชีพที่น้อยคนนักจะสามารถทำได้ในคนๆ เดียว

ด้านชีวิตความรักของเสริมนั้น เขาคบหาดูใจกับ เจนจิรา พลอยองุ่นศรี แฟนสาววัย 22 ปี นักศึกษาแพทย์ปี 5 มหาวิทยาลัยเดียวกัน เส้นทางความรักของทั้งคู่ดูราบรื่นดี แต่ระยะหลังมักมีปัญหากระทบกระทั่งกับแฟนสาวเพราะความหึงหวงอยู่บ่อยครั้ง จนนำมาสู่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด...

...

สมคิด และสุดา พลอยองุ่นศรี เจ้าของร้านทองพรทวีชัย อ.สามพราน จ.นครปฐม ผู้เป็นพ่อและแม่ของเจนจิรา ได้เข้าแจ้งความต่อตำรวจ สน.พญาไท เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2541 ว่า บุตรสาวหายตัวไปพร้อมกับรถเก๋งโตโยต้า โคโรน่า สีเขียว ทะเบียน 8 ษ-8580 กรุงเทพมหานคร

สมคิด ผู้เป็นพ่อ บอกกับพนักงานสอบสวนว่า ตั้งแต่บุตรสาวเข้ามาศึกษาต่อที่คณะแพทยศาสตร์ได้พักอยู่กับยายที่ย่านฝั่งธนบุรี เป็นเด็กเรียบร้อย กลับตรงเวลา หากมีธุระที่ไหนจะแจ้งให้คนในครอบครัวทราบก่อน แต่เมื่อวันที่ 26 มกราคม กลับหายตัวไป ไม่มีใครสามารถติดต่อได้ จึงสงสัยว่า จะเกิดเหตุร้ายกับบุตรสาว และคนที่น่าสงสัยมากที่สุดคือเสริม สาครราษฎร์ เนื่องจากอยู่กับลูกสาวเป็นคนสุดท้าย ประกอบกับบุตรสาวไม่เคยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งหรือขัดแย้งกับใครมาก่อน

เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้เชิญตัวนายเสริม มาสอบปากคำ ชายหนุ่มยอมรับเพียงว่า ก่อนเจนจิราจะหายตัวไปได้พบกันจริงที่ห้างเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ แต่เกิดมีปากเสียงกัน จึงแยกย้ายกันกลับหลังรับประทานอาหารเย็นเสร็จ จากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจำต้องปล่อยตัวนายเสริมไป เพราะขาดพยานหลักฐาน แต่ได้จัดชุดสืบสวนตามประกบอยู่ไม่ห่าง โดยทราบว่านายเสริมเช่าห้องพัก ฝั่งธนบุรี พักอาศัยอยู่ และพบว่า รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู รุ่น 316 ทะเบียน ธ-1117 ชลบุรี ของนายเสริมมีร่องรอยเพิ่งผ่านการทำความสะอาดบริเวณช่องเก็บของท้ายรถมาได้หมาดๆ

หลังจากที่ เจนจิราหายตัวไป นายเสริมก็เก็บตัวเงียบอยู่แต่ภายในห้องพัก และมักจะแวะเวียนไปหาบิดามารดาของเจนจิราอยู่เป็นประจำ เพื่อสอบถามถึงความคืบหน้าของคดี

ต่อมาชุดสืบสวนได้เบาะแสจากเพื่อนสนิทของนายเสริมว่า วันที่ 27 มกราคม นายเสริมแวะไปหาที่บ้านพักย่านถนนจรัญสนิทวงศ์ และขอล้างรถยนต์นานนับชั่วโมง โดยเน้นทำความสะอาดที่ช่องเก็บของด้านหลังมากเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังมีเพื่อนบ้านของนายเสริมที่ จ.ชลบุรี ระบุว่า วันที่ 28 มกราคม นายเสริมกลับมาที่บ้านและนำสิ่งของบางอย่างมาเผาไฟ เมื่อสอบถามนายเสริม เขาก็มีท่าทีตกใจ

แม้ตำรวจจะมีหลักฐานมากพอ แต่นายเสริมยังให้การปฏิเสธ จนต้องนำตัวเข้าเครื่องจับเท็จก็ยังปากแข็ง กระทั่งจำนนต่อพยานหลักฐาน ยอมรับสารภาพจนหมดเปลือกว่า ลงมือสังหารแฟนสาวเพราะโกรธแค้นที่ปันใจให้ชายอื่น

นายเสริมอ้างว่า หลังจากพบกับแฟนสาวที่ห้างเวิลด์เทรดแล้ว มีปากเสียงทะเลาะวิวาทกันในรถยนต์ นายเสริมเกิดอารมณ์โมโหจึงบีบคอเจนจิราจนขาดใจตาย หลังจากนั้นจึงไปเปิดห้องพักในโรงแรมม่านรูด 99 ซอยรางน้ำ ลงมือชำแหละศพในอ่างอาบน้ำ แล้วทิ้งชิ้นส่วนศพลงในโถชักโครก

...

"ผมเค้นสอบปากคำนายเสริมอยู่นาน เขาจึงยอมบอกว่า จุดชำแหละศพคือห้องพักเลขที่ 604 พีเอสเฮาส์คอนโดมิเนียม เขาอ้างว่าพอยิงแฟนสาวตายแล้วก็เฉือนเนื้อทิ้งชักโครก ผมตรวจสอบมิเตอร์น้ำห้องพัก กลับไม่พบการใช้น้ำมากผิดปกติ เพราะหากชำแหละศพคนทิ้งชักโครกจริงต้องใช้น้ำในปริมาณมากพอสมควร สุดท้ายเขาจึงยอมบอกว่าชำแหละชิ้นเนื้อทิ้งชักโครกเพียงไม่กี่ชิ้น ที่เหลือนำใส่ถุงดำไปทิ้งบ่อเกรอะแทน ส่วนกระดูกนำไปทิ้งที่สะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง" พล.ต.ต.สฤษฎ์ชัย เอนกเวียง ผบก.วท.4 อดีต ผกก.สส.น.1 หนึ่งในทีมสืบสวนคดีฆาตกรรม "เจนจิรา พลอยองุ่นศรี" เปิดเผย

ตำรวจสรุปสำนวนส่งอัยการพิจารณาสั่งฟ้องนายเสริมในข้อหาฆ่าผู้อื่น โดยเจตนา ทำลายอำพรางซ่อนเร้นศพ พกพาอาวุธโดยไม่ได้รับอนุญาต และลักทรัพย์ เขาตั้งทนายสู้คดีทั้ง 3 ศาล แต่สุดท้ายแล้วศาลฎีกามีคำพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต! แต่ปัจจุบัน เสริม หรือเด็กอัจฉริยะคนนั้น ได้พ้นโทษเมื่อเดือนธันวาคม 2555 และปัจจุบันเปลี่ยนชื่อนามสกุลใหม่เป็นนายไชยา ตันทกานนท์ อายุ 37 ปี มาสมัครเป็นวิสามัญสมาชิกเนติฯ แต่ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ ไม่รับนายเสริม ด้วยเหตุผลว่าเคยมีคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญเป็นที่ทราบกันอยู่ทั่วไป ถือว่ามีมัวหมอง

...

แล่เนื้อด้วยความประณีต ผัวหมอฆ่าโหดเมียหมอ!

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 23 ก.พ.2544 นพ.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ ได้แจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.พญาไท ว่า พญ.ผัสพร ผู้เป็นภรรยาหายตัวไป

เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบพบว่า ก่อนที่ พญ.ผัสพร จะหายตัวไปนั้น มี นพ.วิสุทธิ์ ซึ่งเป็นผู้แจ้งความพา พญ.ผัสพร ไปรับประทานอาหารที่ร้านโออิชิ ในศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ โดยมีกล้องวงจรปิดจับภาพ นพ.วิสุทธิ์ เข้าประคองร่าง พญ.ผัสพร ออกจากร้านไป จากนั้นก็ไม่มีใครได้พบกับ พญ.ผัสพร อีกเลย

โดย นพ.วิสุทธิ์ได้ใช้ยานอนหลับผสมในอาหารและเครื่องดื่มให้ผู้ตายกินจนเกิดอาการง่วงนอน มึนงง แล้วประคอง พญ.ผัสพรออกจากห้องอาหารท่ามกลางสาธารณชน โดยหากไม่สังเกตให้ดีคงไม่มีใครคาดคิดว่า พญ.ผัสพร จะถูกวางยาและ นพ.วิสุทธิ์จะกล้าลงมือกลางร้านอาหารเช่นนี้

...

หลังจากนั้นเวลาประมาณ 16.00 น. ในวันเดียวกัน นพ.วิสุทธิ์เดินทางไปรับลูกสาวที่เรียนอยู่โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ กลับไปส่งบ้านพักย่านลาดพร้าว ก่อนจะไปซื้อถุงขยะขนาดใหญ่จำนวน 3 ห่อ พร้อมก้อนดับกลิ่น และกระดาษชำระที่ห้างโรบินสัน สาขาสีลม

นพ.วิสุทธิ์ได้หน่วงเหนี่ยวกักขัง พญ.ผัสพร ไว้ที่ห้องพักเลขที่ 318 อาคารวิทยนิเวศน์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนที่จะใช้ของแข็งมีคมเป็นอาวุธทำการประทุษร้ายร่างกาย พญ.ผัสพร จนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และใช้มีดผ่าตัดแล่ชิ้นเนื้อและอวัยวะต่างๆ จากศพ ก่อนนำไปทำลายศพหรือส่วนของศพ ขณะเดียวกัน ได้เปิดห้องพักเลขที่ 1631 โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัลพลาซา เพื่อยักย้ายซ่อนเร้นศพ นำชิ้นเนื้อ เนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ของศพไปลอบฝัง ลอบทิ้งในสถานที่ต่างๆ อันเป็นการซ่อนเร้นทำลายศพ เพื่อปิดบังการตายและเหตุแห่งการตาย

21 ก.พ. 2544 หมอวิสุทธิ์ได้ปลอมหนังสือขอลางานของ พญ.ผัสพร เพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเอกสารปลอมดังกล่าว พญ.ผัสพร ได้ทำขึ้นจริง และเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของบุคคลที่ใกล้ชิด พญ.ผัสพร ให้หลงเชื่อว่ายังมีชีวิตอยู่ แต่ที่ไม่ได้พบเห็น เพราะผู้ตายไปประกอบศาสนกิจปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ ฝึกจิตใจ

ภายหลังข่าวการหายตัวของ พญ.ผัสพรถูกเปิดเผยขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการสืบสวน จนนำไปสู่การเข้าตรวจค้นในห้องพักที่ 318 อาคารวิทยนิเวศน์ พบคราบโลหิตที่ผ้าม่านและพบชิ้นเนื้อในบ่อพักสิ่งปฏิกูลหนัก 330 กรัม และสืบทราบว่าจำเลยได้เปิดห้องที่โรงแรมโซฟิเทล ก่อนเข้าตรวจค้นพบชิ้นเนื้อมนุษย์ในบ่อพักสิ่งปฏิกูล จากการชันสูตรชิ้นเนื้อของเจ้าหน้าที่สถาบันนิติเวชที่อาคารวิทยนิเวศน์ พบว่าเป็นชิ้นเนื้อบริเวณลำตัว เป็นเศษของกะบังลม ผนังลำไส้ พังผืดไขมัน และยังพบชิ้นส่วนบริเวณต้นขาและแขน หนักประมาณ 3,330 กรัม ซึ่งชิ้นเนื้อดังกล่าวถูกแล่ด้วยของมีคมลักษณะประณีต เสียชีวิตมาประมาณ 3-4 สัปดาห์ ใกล้เคียงกับช่วงเวลาที่ผู้ตายหายตัวไป จึงเชื่อว่าเป็นเนื้อจากศพผู้ตาย ที่เกิดจากการฆาตกรรมอำพราง

ทั้งนี้ ยังพบพิรุธในจดหมายลางาน เนื่องจาก พญ.ผัสพร ไม่ชอบพิมพ์ดีดหรือใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ และได้รับคำยืนยันจากเจ้าหน้าที่รับพิมพ์งานในย่านดังกล่าว ระบุว่าหมอวิสุทธิ์ได้ว่าจ้างให้พิมพ์จดหมายและจ่าหน้าซองจดหมายรวม 2 ฉบับ ฉบับแรกส่งให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบุรฉัตรไชยากร อีกฉบับส่งให้บุตร โดยลงชื่อว่า พญ.ผัสพร
 
7 ต.ค. 46 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ประหารชีวิต นพ.วิสุทธิ์ โดยให้เหตุผลว่า “จำเลยเป็นผู้มีความรู้ความสามารถสูงย่อมจะใช้สติยั้งคิดในการแก้ปัญหาโดยไม่ใช้วิธีดังกล่าว และเมื่อจำเลยถูกจับกุมก็ยังไม่สำนึกผิด ให้การปฏิเสธต่อสู้คดีตลอดมา จึงไม่มีเหตุที่ศาลจะต้องปรานี เห็นควรลงโทษสถานหนัก พิพากษาประหารชีวิตจำเลยสถานเดียว”

อย่างไรก็ตาม ชีวิตในเรือนจำ นพ.วิสุทธิ์ ได้รับการอภัยโทษหลายครั้ง เนื่องจากปฏิบัติตัวดี เคยได้ทำเรื่องถึงกรมราชทัณฑ์ขอพักโทษ และกรมราชทัณฑ์ได้ส่งเรื่องให้กระทรวงยุติธรรมพิจารณา ซึ่งมีคณะกรรมการพิจารณาได้อนุมัติให้นพ.วิสุทธิ์ พักโทษได้ สุดท้ายมาถึงวันนี้จึงมีการปล่อยตัว นพ.วิสุทธิ์ ถูกจำคุกเป็นระยะเวลา 10 ปี 9 เดือน.