สัปดาห์ก่อน มีข่าวฮือฮากับการเปิดหน้าชนแบบเต็มๆ ของอธิบดีกรมพลศึกษาท่านปัจจุบัน นเร เหล่าวิชยา ที่ประกาศลาออกจากราชการ ซึ่งส่งข้อความทางไลน์ไปยังข้าราชการของกรมฯโดยยกเหตุไม่สามารถทนต่อการถูกแทรกแซงการบริหารงาน และไม่เคารพในเกียรติ ศักดิ์ศรี ที่ผู้บริหารควรมีต่อกันและกัน
ซึ่งมีการอ้างถึงกรณีที่ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ มีคำสั่งแต่งตั้งระดับ ผอ.สำนัก และ ผอ.สถาบันพัฒนาบุคลากรฯ โดยไม่มีการแจ้งให้อธิบดีกรมพลศึกษาทราบ และเปรียบเปรยตัวเองเหมือนเป็นโค้ชทีมพลศึกษา แต่ไม่สามารถวางตัวผู้เล่นที่เหมาะสมในตำแหน่งสำคัญได้ ก็คงไม่สามารถนำทีมไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายได้ จึงต้องพิจารณาตัวเอง
และต่อมา นายนเรก็ได้เข้าพบและหารือกับ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร ถึงเรื่องดังกว่าว ก็พูดชัดถึงคำสั่งที่ออกมา ไม่ได้ขัดต่อกฎหมาย เป็นการแต่งตั้งอย่างถูกต้อง เพียงแต่ไม่ใช่คนที่อธิบดีกรมพลศึกษาเป็นคนเลือกและเสนอชื่อเข้าไป ซึ่งก็ยืนยันถึงการลาออก ซึ่งจะมีผลเป็นทางการในวันที่ 1 มิ.ย.นี้
ด้านฝั่งของ ก.การท่องเที่ยวและกีฬาเองก็มีทาง ดร.ปัญญา หาญลำยวง ผู้ตรวจราชการกระทรวง และเป็นอดีตรองอธิบดีกรมพลศึกษา ออกมาแถลงชี้ให้เห็นว่าเป็นอำนาจของปลัดฯ สามารถทำได้ ซึ่งก็ราศีจับขึ้นมาทันที ดูเหมือนดวงจะพุ่งหลังวันที่ 1 มิ.ย.
ฝั่งของข้าราชการกรมพลศึกษาเอง ดูจะเงียบเฉย ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรนัก ทั้งๆที่ระดับหัวหน้าองค์กร ใช้วิธีลาออก ซึ่งนับว่ารุนแรง ในการแสดงการคัดค้านต่อคำสั่งที่ออกมา
สะท้อนได้ว่า เรื่องนี้ จุดไม่ติด!
กรมพลศึกษาเองในยามนี้ และก่อนหน้านี้ ก็เกิดความระส่ำกันอย่างหนัก ข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว ขาดขวัญกำลังใจในการทำงาน มีลาออกไปแล้วก็หลายคน และกำลังจะลาออกอีกมาก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลพวงมาจากการปรับโครงสร้าง อันเป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร รวมถึงการบริหารจัดการ และยังมีปฏิกิริยาจากบุคลิกภาพและพฤติกรรมการบังคับบัญชา มาเป็นองค์ประกอบ
...
เรื่องตรงนี้ต่างหาก จะเป็นปัญหาสำคัญที่จะขับเคลื่อนองค์กร มากกว่าการข้ามหน้าข้ามตา หรือมารยาทไหนๆ ด้วยผู้ปฏิบัติงาน ที่เป็นฟันเฟืองสำคัญ ถือเป็นหัวใจขององค์กร ที่ต้องได้รับการเอาใจใส่ เพื่อให้การทำงานเป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพ
สมควรที่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงทั้งรัฐมนตรี และปลัดกระทรวงฯ จะต้องใส่ใจ ทั้งในแง่ของจัดคนที่เหมาะสม และเข้าอกเข้าใจในเนื้องาน และปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยความใส่ใจ เข้าใจ และเอื้ออาทร
ใครจะเข้ามาเป็นอธิบดีกรมพลศึกษาในอนาคต ทั้งผู้ตั้งต้องเลือกสรร ทั้งผู้ถูกแต่งตั้ง ก็ต้องสร้างความเข้าใจ และดึงเอาความร่วมมือจากบุคลากรในองค์กรมาใช้ให้ได้
กรมพลศึกษาเคยเป็นองค์กรขับเคลื่อนด้านการกีฬาในวัยศึกษาที่สำคัญ มีศักดิ์ศรี มีความภาคภูมิมาช้านาน
อย่าปล่อยให้เป็นแค่อดีต ต้องพลิกฟื้นกลับมาให้ได้อีกครั้ง...
“เบี้ยหงาย”