เอ่ยคำว่า ป่าหิมพานต์ แฟนานุแฟนคอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียล คงรู้จักชื่อนี้กันทุกคน ทว่าป่าแห่งนี้นั้นยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่น่าสนใจ ซึ่งวันนี้ผมจะพาท่านผู้อ่านไปท่องป่าในตำนาน เพื่อค้นหาความเป็นมา รวมทั้งทำความรู้จักกับเหล่าสิงสาราสัตว์ในป่าแห่งนี้กันให้มากขึ้นไปอีกครับ

เรื่องราวของป่าหิมพานต์นั้น มีปรากฏอยู่ในไตรภูมิกถา หรือเตภูมิกถา หรือไตรภูมิพระร่วง วรรณคดีทางพระพุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดของไทย โดยเป็นพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาธรรมราชาที่ 1 (พญาลิไท) พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรสุโขทัย ซึ่งทรงพระราชนิพนธ์ไว้เมื่อ พ.ศ.1888 โดยมี ที่มาจากคัมภีร์ในพุทธศาสนา เพื่อให้คนรู้จักความดี ความชั่ว และรู้จักผลกรรมจากสิ่งที่กระทำ ซึ่งส่งผลถึงคติความเชื่อของคนไทยเรามาจนทุกวันนี้

...

เนื้อหาของไตรภูมินั้น เป็นความเชื่อเรื่องภูมิจักรวาลในพระพุทธศาสนา โดยกล่าวถึง ดินแดนทั้งสาม คือ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ ซึ่งเป็นดินแดนที่สิ่งมีวิญญาณทั้งหลาย เช่น มนุษย์ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย และเทวดา ต้องเวียนว่ายตายเกิดเป็นวัฏจักรอันไม่รู้สิ้น หรือที่เรียกกันว่า “วัฏสงสาร” นั่นแหละครับ

ศูนย์กลางของจักรวาลในไตรภูมิกถานั้น คือเขาพระสุเมรุ ซึ่งรายล้อมด้วยทิวเขาทั้ง 7 และทะเล 7 ชั้น ที่เราคุ้นหูกันดีในชื่อมหานทีสีทันดร ในจักรวาลมีมหาทวีปทั้ง 4 คือ อุตตรกุรุทวีป ตั้งอยู่ทาง ตอนเหนือของภูเขาพระสุเมรุ ปุพพวิเทหะ ตั้งอยู่ทางตะวันออก ชมพูทวีป ตั้งอยู่ตอนใต้อปรโคยาน ตั้งอยู่ทางตะวันตก ในทวีปทั้ง 4 ที่กล่าวมานี้ยังแบ่งเป็นทวีปย่อยๆออกไปอีกมากมายเลยครับ

สำหรับชมพูทวีป อันเป็นดินแดนทางทิศใต้ของเขาพระสุเมรุ มีพื้นที่ขนาด 10,000 โยชน์ มนุษย์ที่อาศัยในดินแดนแห่งนี้ มีใบหน้ารูปไข่ ดินแดนของมนุษย์ที่อยู่บนชมพูทวีปแห่งนี้ เรียกว่า “มนุสสาภูมิ” ซึ่งก็คือพวกเรามนุษย์โลกนี้นี่เองล่ะครับ

พื้นที่ของชมพูทวีป แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 1.ที่อยู่ของมนุษย์ มีขนาด 3,000 โยชน์ 2.ป่าหิมพานต์ ขนาด 3,000 โยชน์ 3.ผืนน้ำ ขนาด 4,000 โยชน์

มนุษย์ในชมพูทวีป นอกจากมนุษย์ธรรมดาแล้ว ยังมีพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอัครสาวก พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ หรือแม้แต่พระจักรพรรดิราช ก็ล้วนแต่อยู่ ณ ดินแดนชมพูทวีปแห่งนี้ด้วย

เล่าให้เห็นภาพของจักรวาลตามคติความเชื่อโบราณมาเสียยาว ตอนนี้ก็ถึงเวลาเข้าป่าหิมพานต์กันแล้ว

หิมพานต์นั้น เป็นป่าลึกกว้างใหญ่ เป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขาสูงเสียดฟ้า ที่มียอดเขาสลับซับซ้อนถึง 84,000 ยอด ในผืนป่ากว้างไกลแสนสวยงามนั้นเป็นที่สิงสถิตของเหล่าเทพยดา และเป็นที่อยู่อาศัยของผู้ทรงคุณวิเศษต่างๆ มีทั้งนักบวช ฤาษี นักสิทธิ์ วิทยาธร และสิงสาราสัตว์อันแปลกประหลาดพิสดาร เป็นดินแดนที่อยู่ห่างไกลจากบ้านเมืองของมนุษย์เรายิ่งนัก ยากที่คนธรรมดาซึ่งไม่มีฤทธิ์อภิญญาจะย่างกรายไปถึงได้

...

ผืนป่าหิมพานต์มีสระน้ำใหญ่ 7 สระ โดยมีสระอโนดาตเป็นศูนย์ กลาง แวดล้อมด้วยภูเขา 5 เทือกเขา ภูเขาทั้ง 5 โน้มเข้าหากันคลุมสระอโนดาตไว้ น้ำในสระใสสะอาดบริสุทธิ์ดุจดั่งแก้วมณี สายน้ำจาก อโนดาตไหลแยกออกเป็นธารน้ำไปทั้ง 4 ทิศ ยังความอุดมสมบูรณ์ให้แก่สรรพชีวิตทั่วทั้งป่าหิมพานต์ และธารน้ำทางด้านทิศใต้นั้น ไหลลงสู่ดินแดนชมพูทวีป กลายเป็นแม่น้ำ 5 สาย ไหลลงไปหล่อเลี้ยงชีวิตมนุษย์ในนาม “ปัญจมหานที” อันเป็นสายน้ำที่ให้ความชุ่มฉ่ำแก่แผ่นดินถิ่นกำเนิดพระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีตอีกด้วย

ในป่านั้นยังมีสัตว์หิมพานต์ อันเป็นสัตว์ในจินตนาการ ซึ่งได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากเรื่องราวในคัมภีร์ทั้งหลาย โดยได้รับอิทธิพลทั้งจากศาสนาพราหมณ์ ฮินดู และพุทธปะปนกัน ซึ่งคติความเชื่อเรื่องสัตว์หิมพานต์นั้น บางท่านก็ว่ามีอยู่จริง บางท่านก็ว่าเป็นเพียงจินตนาการ ซึ่งตรงนี้ก็อยู่ที่วิจารณญาณของท่านผู้อ่านจะพิจารณากันครับ

กล่าวกันว่า สัตว์หิมพานต์ทั้งหลายนั้น มนุษย์ธรรมดาสามัญไม่อาจพบเห็นได้หากไร้วาสนา หรือบุญญาบารมีไม่เพียงพอ สัตว์เหล่านี้มีคุณวิเศษนานาประการ จึงมีการสร้างสรรค์ให้สัตว์หิมพานต์แปลกแตกต่างไปจากสัตว์ที่เห็นโดยธรรมชาติ เช่น มีการผสมผสานลักษณะของคนและสัตว์ หรือผสมผสานรูปลักษณ์ของสัตว์ต่างชนิดกัน เกิดเป็นสัตว์หิมพานต์ที่มีรูปร่างหน้าตาวิจิตรพิสดาร อีกทั้งบางครั้งก็มีอิทธิฤทธิ์มากไปกว่าสัตว์ธรรมดา เช่น ช้างหรือม้าที่มีปีกจะสามารถบินได้เช่นเดียวกับนก สัตว์บกที่มีหางเป็นปลาก็สามารถอาศัยอยู่ในน้ำได้

จิตรกรไทยตั้งแต่ครั้งโบราณได้สรรค์สร้างรูปสัตว์หิมพานต์ไว้มากมาย มีปรากฏให้เห็นได้จากหนังสือประติมากรรม และจิตรกรรมฝาผนังตามวัดวาอารามหลายๆแห่ง เช่น วัดคงคาราม จ.ราชบุรี วัดเขียน จ.อ่างทอง วัดหน่อพุทธางกูร จ.สุพรรณบุรี เป็นต้น แม้กระทั่งศิลปินในยุคปัจจุบันก็ยังสร้างผลงานที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสัตว์หิมพานต์กันอยู่เรื่อยมา มีทั้งที่ยึดถือตามรูปแบบแต่ครั้งโบราณและที่มีการสร้างสรรค์ไปตามจินตนาการและนำเสนอด้วยรูปแบบงานศิลปะสมัยใหม่

...

ป่าหิมพานต์นั้นเต็มไปด้วยสิ่งอัศจรรย์ แม้แต่ต้นไม้ก็ยังน่าทึ่ง อย่างต้นนารีผล หรือมักกะลีผล ซึ่งออกผลเป็นหญิงสาวแรกรุ่นรูปโฉมงดงาม ตามตำนานกล่าวว่า ท้าวสักกะเทวราชเนรมิตต้นไม้ที่มีผลเป็นหญิงสาวไว้รอบทิศที่พระเวสันดรและพระนางมัทรีไปบำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าหิมพานต์ เพื่อที่บรรดานักบวช นักสิทธิ์ วิทยาธร คนธรรพ์ทั้งหลายที่ผ่านทางมาจะได้มัวแต่หลงใหลอยู่กับมักกะลีผลจนเสื่อมฤทธิ์ ไม่อาจล่วงล้ำเข้าไปรบกวนถึงบริเวณอาศรมของพระนางมัทรีได้

ตัวอย่างของสัตว์ในป่าหิมพานต์ก็มีอาทิ เหมราอัสดร มีกายเป็นม้า หน้าเป็นหงส์ แต่บางครั้งถูกสร้างมาให้มีปากเหมือนจระเข้ คำว่า อัสดร นั้นเป็นชื่อ 1 ใน 4 ตระกูลม้า ที่พระพายเทวบุตรบันดาลให้เกิด แรกนั้นเหาะได้ แต่ได้หลงไปกินหญ้าในสวนสวรรค์ พระอิศวรจึงมีเทวโองการว่าอย่าเหาะได้สืบไป

อัสดรเหรา สัตว์ผสมตระกูลม้าและเหรา ซึ่งเป็นสัตว์ครึ่งนาคครึ่งจระเข้ เชื่อว่าสามารถอยู่ได้ทั้งบนบกและในน้ำ อัสดรเหราจึงมีหัวเป็นเหรา ขนลู่ไปด้านหน้า มีเขาแหลมบิดเป็นเกลียว ตาจระเข้ มีตัวเป็นม้า เท้าเป็นกีบแบบม้า

...

ไกรสรราชสีห์ เป็นสัตว์ทรงพลัง กายเป็นราชสีห์ มีขนขดเป็นวงก้นหอยสีขาว แผงคอ ริมฝีปากและเท้ามีสีแดงดั่งรัตนกัมพล ตั้งแต่หัวไปตลอดหลังมีลายแดงพาดรอบๆสะโพก มีพละกำลังมาก และมีอำนาจเหนือสัตว์ทั้งปวง เพราะราชสีห์คือสัญลักษณ์ของความมีพลังอำนาจ ความกตัญญู และการปกป้องภยันตรายต่างๆ

พวกที่เป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ในป่าหิมพานต์ก็มีอยู่ไม่น้อย เช่น กินรี (เพศหญิง) และกินนร (เพศชาย) มีร่างครึ่งบนเป็นมนุษย์และครึ่งล่างเป็นนก มีปีกบินได้ นางกินรีที่โด่งดังที่สุดก็เห็นจะเป็นนางมโนราห์ นางเอกจากวรรณคดีเรื่องพระสุธน-มโนราห์ ซึ่งแต่งขึ้นสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยดัด แปลงมาจากสุธนชาดก นางมโนราห์ถูกพรานบุญคล้องจับด้วยบ่วงนาคบาศขณะลงเล่นน้ำที่สระอโนดาต แล้วนำตัวไปถวายพระสุธน จนเกิดเรื่องราวตามมาภายหลังมากมาย ซึ่งตอนหนึ่งของเรื่อง พระสุธนผู้เป็นมนุษย์เดินดินต้องหาทางบุกเข้าป่าหิมพานต์ไปตามตัวนางมโนราห์กลับมาอยู่ร่วมกัน ถือเป็นวรรณกรรมความรักระดับตำนานที่ยังสืบทอดมาจนทุกวันนี้

มนต์เสน่ห์ของป่าหิมพานต์ยังเป็นแรงบันดาลใจให้มีการแสดงละครเวทีรูปโฉมใหม่ ในชื่อว่า Himmapan Avatar-หิมพานต์ อวตาร โดยออกแบบให้เป็นโชว์เหนือจินตนาการ ด้วยมุมมอง 360 องศา ผู้ชมจะตื่นตา ตื่นใจไปกับบรรยากาศของป่าหิมพานต์ที่โอบล้อมอยู่ทุกทิศทางเสมือนได้อยู่ในสถานที่จริง กับเรื่อง ราวการผจญภัยของเทพ และสัตว์ในป่าหิมพานต์ ดินแดนที่เชื่อมต่อระหว่างมนุษย์และสวรรค์ ซึ่งมีความสวยงามมหัศจรรย์เหนือจินตนาการ แต่ความงามนั้นถูกอสูรราหู เทพแห่งความมืดมิดเข้ามาทำลายและครอบครอง หิมพานต์จึงกลายเป็นดินแดนตกอยู่ใต้อำนาจของอสูรเป็นเวลาหลายร้อยปี ทุกชีวิตในหิมพานต์ต่างหวาดกลัวและรอคอยเวลาแห่งการปลดปล่อยตามคำทำนาย คือวันที่ “มณีรัตนะ” ผุดขึ้นจากกลางสระอโนดาตและหากผู้ใดได้ครอบครองก็จะสามารถมีชัยเหนืออสูรราหูได้...การแสดงนี้มีทั้งนักแสดงที่สวมบทบาทของเหล่าตัวละครจากป่าหิมพานต์ และสัตว์หิมพานต์ที่เคลื่อนไหวได้อย่างสมจริง พร้อมด้วยเทคโนโลยีมัลติมีเดีย ไม่ว่าจะเป็น การฉายภาพ 3 มิติ การออกแบบแสง สี และเสียงระดับโลก เป็นความบันเทิงจากเทคนิค 4D ที่อิงเรื่องราวจากคติความเชื่อโบราณได้อย่างน่าสนใจ โดยจะเริ่มเปิดการแสดงวันที่ 26 มีนาคมนี้ ที่ชั้น 4 ศูนย์การค้าโชว์ดีซี พระราม 9 ครับ

ป่าหิมพานต์จะมีจริงหรือไม่ คงยากที่จะตอบได้ แต่เพียงแค่ตำนานของป่าแห่งนี้ก็ก่อให้เกิดผลงานศิลปะในแขนงต่างๆขึ้นมาอย่างมากมายในประเทศของเรา ต้องขอบอกว่า หิมพานต์คือป่าแห่งแรงบันดาลใจ เป็นบ่อเกิดแห่งการรังสรรค์ความงดงามทางศิลปะขึ้นมาประดับโลกโดยแท้.

โดย : รายทาง
ทีมงานนิตยสารต่วย'ตูน