ผมเจอโหน่งอะเดย์ในวันที่มีข่าวลือ 'ขายวิญญาณให้กับซาตาน' ที่ชื่อว่าเงินกว่า 300 ล้าน กระแทกถาโถมมาอย่างมากมาย
'กล่าวหาว่า 'วงศ์ทนง' ขายอุดมการณ์ ทิ้งผู้ร่วมลงขัน ทรยศคนอ่านแลกเงิน 300 ล้าน' ซึ่งแม่งไม่ใช่เรื่องจริง...น้ำเสียง และแววตาเขาจริงจังหลังสิ้นประโยคนี้
หลังจากข่าวลือนี้ถูกพูดกันวงกว้าง เขาก็ออกมา LIVE themomentum ตอบทุกข้อกล่าวหา แม้จะชัดเจน แต่ก็ยังมีเสียงติฉินอีกว่า 'เป็นการถามเองตอบเอง' และสิ่งที่ยังไม่ชัดเจนอยู่หลายประเด็น
เอ็กซ์คลูซีฟไทยรัฐออนไลน์ มีโอกาสได้สัมภาษณ์ที่แรก วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ กรรมการผู้จัดการ บ. เดย์ โพเอทส์ จำกัด หรือโหน่งอะเดย์ ผู้ก่อตั้ง บรรณาธิการอำนวยการ นิตยสารอะเดย์ แฮมเบอร์เกอร์ เดอะโมเมนตัม
...
ถามหมดทุกเรื่องราว ตั้งแต่ดีลช็อกหัวใจผู้ร่วมลงขัน ทรยศคนอ่าน ขายวิญญาณให้กับซาตานกว่า 300 ล้าน โดยไม่แบ่งให้ผู้ร่วมลงขันเลยเหรอ ?? สุดท้ายคือคำถามใหญ่ และในนี้เขาตอบไว้อย่างชัดเจน พร้อมกับสูตรลับ 30-30-30-10 ละเอียดที่แรกว่าคืออะไร!!!!
เช่นเคย บทสัมภาษณ์ที่ไม่เชียร์ ไม่พิพากษา แต่เราจะถามคำถามที่อยู่ในใจทุกคนจนสิ้นข้อสงสัย กับวันที่โหน่งจะไม่มีคำว่าอะเดย์พ่วงท้ายอีกต่อไป ฉบับถอดทุกคำพูด พร้อมกับเสียงล่าสุดหลังเขาประกาศลาออก
Q : พูดถูกไหมว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นครั้งที่คุณถูกกล่าวหาหนักหนาสาหัสที่สุดในชีวิต
ถ้าเป็นเรื่องชีวิตและงาน น่าจะใช่ ไม่ได้หมายความว่าที่ผ่านมาผมไม่มีอะไรด่างพร้อย ผมก็ถูกวิจารณ์มาตลอดตั้งแต่อะเดย์ออกมาเล่มแรกว่า เป็นหนังสือสุขนิยม โลกสวย แต่ 16 ปีที่ผ่านมา อะเดย์ก็พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าไม่ได้เป็นไปตามข้อกล่าวหาที่ด่วนสรุปด้วยอคติ สำหรับครั้งนี้รายละเอียดต่างออกไป ประเด็นมันถูกขยายออกไปในวงกว้างด้วยข้อมูลที่ไม่ครบ ทำให้ผมถูกเข้าใจผิดอย่างมาก ซึ่งข้อมูลที่ว่าคลาดเคลื่อนนั้นมาจากบทความของเว็บไซต์ข่าวชื่อดังที่เขียนบทความโจมตีผมโดยวิธีตัดแปะข้อมูล ถ้าใครอ่านดีๆ แยกแยะเป็น จะรู้ว่ามันเป็นบทความที่ใช้ไม่ได้ ไร้คุณภาพ มโนไปเอง แรกๆ ผมก็คิดแบบนั้น แต่ปรากฏว่าบทความนี้กลายเป็นไวรัลที่ถูกแชร์และส่งต่อกันมากมาย เป็น 2-3 สัปดาห์ที่ผมเหมือนถูกพิพากษาว่าเป็นคนไม่ดี
Q : กล่าวหาว่า วงศ์ทนงขายอุดมการณ์ ทรยศคนอ่าน?
ขายอุดมการณ์ ทรยศคนอ่าน แลกเงิน 300 ล้าน ซึ่งแม่งไม่ใช่เรื่องจริง
Q : หนักชนิดคุณรู้สึกรู้สาจนต้องทวีตในทวิตเตอร์ว่าช่วงเวลาแบบนี้พิสูจน์ว่าคนไหนเป็นมิตร คนไหนไม่ใช่
ผมถูกคนส่วนหนึ่งในสังคมปักใจเชื่อว่าเป็นคนที่ทำเรื่องผิด ในยุคที่คนอ่านเร็วและเชื่ออะไรง่ายๆ ยุคที่เราชอบสรุปแบบนี้ ข้อดีก็มีนะ มันย่อยเรื่องยากๆ ให้เป็นเรื่องง่ายๆ แต่ผมว่ามันไม่ใช่ทุกเรื่อง ยิ่งการด่วนสรุปของคุณขาดข้อมูลที่ถูกต้องหรือไม่ครบ มันจะกลายเป็นการบิดเบือน ทำให้บุคคลคนนั้นเสียหาย ทำให้เข้าใจผิดต่อบุคคลคนนั้นได้เลย
กรณีนี้ผมถูกด่าแบบสาดเสียเทเสีย จากคนที่อาจจะไม่เคยรู้จักผมมาเลย หลายคนไม่เคยรู้จักอะเดย์ หรือรู้ว่า บริษัท เดย์โพเอทส์ ทำอะไรมาบ้าง อ่านเฮดไลน์แค่ว่า 'วงศ์ทนงขายอุดมการณ์ ลืมคนที่ร่วมลงขันมาแต่ต้น' ก็เชื่อแล้ว ข้อดีคือ 10 กว่าปีที่ผ่านมา มันมีคนอ่านที่เข้าใจพวกเรา มีคนที่เข้าใจตัวผม รู้ว่าผมทำในสิ่งที่มีคุณค่าอะไรบ้างให้กับสังคม ผมว่าเขาก็คงรู้สึกว่าต้องออกมาช่วยผมหน่อย ช่วยให้กำลังใจ ช่วยบอกความจริงให้สังคมรู้
ผมก็ได้เห็นว่า พอเกิดสถานการณ์หนึ่งขึ้นมา มันจะแยกให้เราชัดว่า 'คนไหนหวังดี คนไหนหวังร้าย ใครคือเพื่อน ใครไม่ใช่' ปัจจุบันเป็นช่วงเวลาที่ผมได้รับกำลังใจเยอะมากที่สุดในชีวิต ปกติผมเป็นคนที่ไม่ค่อยต้องการกำลังใจนะ เป็นคนที่ชอบให้กำลังใจคนอื่นมากกว่า ผมรู้สึกว่าผ่านอะไรมาเยอะ ผ่านดี ผ่านร้าย ได้เรียนรู้ชีวิตมาประมาณหนึ่ง ก็ช่วยแนะนำให้น้องๆ ได้บ้าง ผมชอบให้กำลังใจคน คิดว่ามันเป็นสิ่งง่ายๆ ที่ให้กันได้ แต่ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะต้องการกำลังใจ
ช่วงต้นผมรู้สึกโดดเดี่ยวมาก แต่พอข้อมูลถูกเปิดเผยมากขึ้น ความจริงบางด้านที่ถูกเผยแพร่ออกมา หลังจากที่ผม LIVE ในเดอะโมเมนตัม แกะออกมาเป็นบทสัมภาษณ์คำต่อคำ มีคนอ่านหลายหมื่น (อ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็ม) ทำให้คนเข้าใจความจริงอีกด้านหนึ่งที่เขาไม่เคยรู้ หรือว่าเข้าใจผิดมาก่อน กระแสเลยตีกลับมาเข้าใจเรา ให้กำลังใจเราสู้ ทุกวันนี้ผมเพิ่งรู้ลึกซึ้งว่า กำลังใจ เป็นสิ่งสำคัญ
...
Q : มหากาพย์เรื่องนี้เกิดขึ้นจากข่าวว่าบริษัทคุณขายหุ้นได้เงินมหาศาลแล้วไม่แบ่งให้ผู้ร่วมลงขัน?
ผมเห็นข่าวนี้จากทวิตเตอร์สำนักข่าวแห่งหนึ่งก่อนปีใหม่ว่า บริษัทเราได้ขายหุ้นให้กับบริษัทมหาชนบริษัทหนึ่ง ด้วยตัวเลขที่สูงถึง 308 ล้านบาท ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องหุ้น เรื่องตลาดหลักทรัพย์ ผมก็แปลกใจ เพราะไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน
Q : สาบานว่าไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน
ผมไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน รู้ครั้งแรกวันที่ 27-28 ธันวาคมที่ผ่านมา
Q : ไม่เคยรู้เลย สาบานให้มีอันเป็นไป?
สาบาน ชื่อบริษัทนี้ก็ได้ยินครั้งนั้นครั้งแรก พอรู้ข่าวผมก็โทรหาผู้ถือหุ้นใหญ่ คำตอบที่ผมได้คือ 'ไม่มีอะไร เป็นดีลทางธุรกิจ เดี๋ยวเราก็ได้เงินมาทำงาน โหน่งก็มีอิสระทำงานเหมือนเดิม'
ผมฟังแล้วโอเค รับทราบ ก็คิดว่าไม่มีอะไร เพราะที่ผ่านมา บริษัท เดย์ โพเอทส์ ไม่ใช่ไม่เคยเปลี่ยนผู้ร่วมทุน บริษัท ทราฟฟิก คอร์นเนอร์ ก็เคยพยายามขายหุ้นเราให้บริษัทหนึ่ง แต่คราวนั้นผมรับรู้ คือช่วงนั้นผมทำธุรกิจล้มเหลว ตัวการสำคัญคือ 'อะเดย์วีคลี่' นิตยสารข่าวรายสัปดาห์ที่ทำมาปีเดียวต้องปิดตัวไป ส่งผลให้บริษัทเสียหายหลายสิบล้าน ตอนนั้นฐานะการเงินของบริษัทไม่ค่อยดีเท่าไร ผู้ถือหุ้นใหญ่ให้เหตุผลว่าเราจำเป็นจะต้องมีผู้ถือหุ้นรายใหม่ ผมก็เข้าใจได้ ผิดกับเรื่องนี้ที่ผมไม่ได้รับรู้มาก่อน
...
หลังจากนั้น ข่าวจากสำนักข่าวแห่งหนึ่งก็ทยอยเปิดเผยข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับความเชื่อมโยงในการขายหุ้น ซึ่งอธิบายที่มาที่ไปลำบาก ผมอ่านแล้วเริ่มรู้สึกไม่ดี ไม่ค่อยสบายใจ กระทั่งถึงจุดหนึ่งที่เริ่มมีข่าวออกมาว่า ผมรู้เห็นเป็นใจกับดีลนี้ และมีสื่อที่ว่าเขียนบทความออกมา 'วงศ์ทนงอะเดย์ขายอุดมการณ์ 300 ล้าน ทอดทิ้งผู้ร่วมลงขัน' ผมรู้สึกว่ามันผิดเพี้ยนละ มันไม่ใช่ความจริงละ ช่วงนั้นสื่อต่างๆ ติดต่อขอสัมภาษณ์ แต่ผมก็ปฏิเสธไป เพราะว่าผมไม่รู้จะให้ข้อมูลอะไร เพราะผมไม่รู้เรื่องดีลนี้ เลยตัดสินใจเขียนไดเรกแมสเสจถึงสำนักข่าวที่ว่า บอกความจริงว่า 'ผมไม่เคยรับรู้ดีลนี้มาก่อน และผมไม่เห็นด้วยกับดีลนี้ กระบวนการที่ทำให้เกิดดีลนี้มันตอบคำถามสังคมไม่ได้ สุดท้ายก็ยืนยันว่าผมไม่เห็นด้วยกับดีลนี้ ไม่เอาดีลนี้ ผมจะพยายามล้มดีลนี้'
...
Q : ถ้าล้มไม่ได้ ก็จะลาออก!
ตอนนั้นยังไม่ได้บอกเงื่อนไขนี้ แค่บอกว่าจะล้มดีลนี้ให้ได้เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ สำนักข่าวนั้นก็แคปเจอร์ไดเรกแมสเสจผมไปลง พอมันเผยแพร่ออกไปแล้ว คนที่ด่วนสรุปว่าผมผิดแน่ๆ หรือรู้เห็นเป็นใจ ก็ได้รู้อีกแง่มุมหนึ่งว่าผมไม่รู้ ผมไม่เกี่ยวข้องกับดีลนี้ และสุดท้ายผมไม่เอาดีลนี้ ซึ่งเป็นความคิดความรู้สึกจริงๆ ของผม
Q : นี่คือสิ่งที่ผู้คนรู้สึกร่วมโดยเฉพาะคำว่า ได้เงินแล้วทิ้งผู้ร่วมลงขัน 459 คน
อะเดย์ เกิดจากเมื่อ 16 ปีที่แล้ว ชวนคนอ่านมาร่วมลงขันทำนิตยสารในฝัน ผมเอาไปเสนอนายทุนก็ไม่มีใครเอา ก่อนหน้านี้ผมทำงานนิตยสารเล่มนั้นเล่มนี้ก็มีแฟนหนังสือที่ติดตามอยู่บ้าง และผมชอบเก็บข้อมูลผู้อ่าน พวกจดหมาย ใบสมัครสมาชิก เก็บไว้เป็นถุง ตอนนั้นจึงชวนคนอ่านร่วมลงขันทำหนังสือกันดีกว่า ยุคนั้นยังไม่มีคำว่า 'Crowdfunding' เลย ผมแค่คิดซื่อๆ ง่ายๆ ว่า ขายหุ้นละ 1,000 บาท 1,000 หุ้น คำนวณว่าอยากได้ 1 ล้าน ก็ประกาศออกไป ผ่านไป 3 เดือนมีคนส่งเงินมาให้ 1 ล้าน ทำให้เราได้ออกอะเดย์เล่มแรกในปี 2543
จากนั้นพวกเราก็ทำการระดมทุนอีก เพราะเงิน 1 ล้าน คุณทำสื่อสิ่งพิมพ์คุณก็รู้ว่าทำได้ไม่กี่เล่ม ธุรกิจนิตยสารกว่าจะ Break Even บางคนพูดว่า 3-5 ปีด้วยซ้ำกว่าคนจะรู้จัก กว่าเอเจนซี่ โฆษณาจะแพลนแอดให้ ก็ได้มาอีก 1.5 ล้านบาท รวมเป็นเงินลงขันของผู้ร่วมลงขันทั้งสิ้นจำนวน 459 คน ราว 2 ล้าน 5 แสนบาท เงื่อนไขการลงขันเราบอกไปหมดว่า ผู้ร่วมลงขันจะได้รับรู้ว่าเรากำลังทำอะไร ทิศทางเราไปทางไหน เราจะรีพอร์ตให้ทราบเป็นระยะ และถ้าผลประกอบการมีกำไร เราจะเอามาแบ่งสันปันส่วน ปันผลในอัตราที่เราชื่อว่ายุติธรรม เรามีสิทธิพิเศษให้กับผู้ร่วมลงขัน คุณสามารถเป็นสมาชิกนิตยสารอะเดย์ และสิ่งพิมพ์ในเครือที่อาจจะเกิดขึ้นในบริษัทของเราในอัตราลดครึ่งราคาตลอดชีวิต
3 ปีแรกเราไม่มีกำไร ธุรกิจนิตยสารมันคือเงินหมุน ได้เงินมาก็ไปจ่ายค่าพิมพ์ ผมและทีมงานไม่เคยขึ้นเงินเดือนตัวเองตลอด 3 ปี ไม่เคยมีโบนัส ผมลดเงินเดือนตัวเองด้วยซ้ำเพื่อให้เหลือเงินพอทำงาน เราก็บอกผู้ร่วมลงขันไปว่ายังไม่สามารถปันผลนะ พอมาในปีที่ 4 บริษัทเริ่มดีขึ้น ผมก็มีความฝันว่าอยากทำนิตยสารข่าวรายสัปดาห์ ให้เหมือนนิวส์วีค เหมือนไทม์สเมืองไทย นั่นคือ 'อะเดย์วีคลี่' แต่คิดแล้วไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเองเพราะมันต้องใช้เงินมหาศาล เราก็หาผู้ร่วมลงทุน ผมไปคุยกับหลายเจ้า ก็บังเอิญได้รู้จักผู้บริหารทราฟฟิกคอร์นเนอร์ในสมัยนั้น เลยเกิดเป็นดีลตั้งบริษัทขึ้นมาชื่อว่า เดย์ โพเอทส์ บริษัทแรกของเราชื่อ เดย์อาฟเตอร์เดย์ คนที่ถือหุ้นใหญ่มี 3 คน ผม นิติพัฒน์ สุขสวย และ ภาสกร ประมูลวงศ์ บริษัทนี้ตั้งขึ้นก่อนที่เราจะระดมทุนครบ
นั่นเป็นคำอธิบายข้อสงสัยที่มีคนถามว่า ทำไมไม่ให้ผู้ร่วมลงขันมาถือหุ้นในบริษัทนี้ จดทะเบียนบริษัทเลย เหตุผลคือ บริษัทตั้งขึ้นก่อน และในด้านกฎหมาย ที่ปรึกษากฎหมายแนะนำว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาคน 459 คนมาถือหุ้นในบริษัทนี้ แค่ตามเอกสารแต่ละคนให้ครบก็ไม่สามารถแล้ว ซึ่งตอนทราฟฟิกฯ เข้ามา เราก็บอกเขาว่าเรามี 459 ผู้ร่วมลงขันนะ เขาก็เข้าใจ บอกถ้าอย่างนั้นแยกเป็นสองบริษัท ให้ เดย์ โพเอทส์ ทำงาน แล้วเอาผลประกอบการมาดูแลคนร่วมลงขัน ผมก็แจ้งผู้ร่วมลงขันไปทุกอย่าง
Q : บอกด้วยวิธีการไหน
เขียนจดหมายและส่งอีเมล ผมสื่อสารกับผู้ร่วมลงขันอยู่เสมอ แต่ละปีจะนั่งเขียนจดหมายยาวๆ เล่าให้ฟังว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ถ้าเป็นคนที่ทอดทิ้ง ไม่ใส่ใจ มันจะไม่มานั่งเขียนจดหมาย 3-4 หน้าเกือบทุกปีหรอก พอเราร่วมกับทราฟฟิกฯ เราก็ได้เงินมา เงินส่วนใหญ่ไปลงทุนด้านสร้างออฟฟิศ ลงอุปกรณ์ จ้างพนักงาน ส่วนเงินก้อนหนึ่ง 2 ล้าน 5 แสนบาท เราก็กันมาปันผลให้กับคนที่ร่วมลงขัน 459 คน ทันที เพราะเราอยากปันผลมาก ผมก็ปันผลครั้งแรกให้ 100% จากเงินที่ทุกคนลงมาเลย เพราะอยากให้ทุกคนดีใจว่า ลงทุนกับบริษัทนี้ไม่ผิดหวัง เงินที่ท่านให้เรา เราคืนให้หมดก่อนเลยจะได้สบายใจว่าไม่สูญเปล่า ต่อไปก็สามารถเก็บกินได้ตลอดชีวิต ผมก็เขียนจดหมายไป
Q : ยืนยันว่าเขียน
ยืนยันครับ ทุกคนได้รับก็ดีใจ หลังจากนั้นพอทำอะเดย์วีคลี่ไม่ได้อย่างฝัน ล้มเหลวในด้านธุรกิจ ขาดทุนเยอะมาก ผมจึงตัดสินใจปิดมันหลังจากทำมา 1 ปี ขณะนั้นสถานการณ์การเงินย่ำแย่ ติดหนี้โรงพิมพ์ ทยอยใช้หลายปีกว่าจะหมด นี่เป็นเหตุผลที่ปีต่อๆ มาเราไม่มีเงินปันผล แต่ผมก็เขียนรายงานถึงผู้ร่วมลงขัน เล่าสถานการณ์ให้ฟัง และถึงไม่มีเงินปันผล ผมก็ส่งกระเป๋าอะเดย์ไปให้ บางปีส่งหนังสือไปให้ ส่งนิตยสารไปให้ อยากให้เขาเห็นว่าเราเจตนาดี เราไม่ทอดทิ้งผู้ร่วมลงขัน
สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาคือ เราติดต่อผู้ร่วมลงขันส่วนหนึ่งไม่ได้ เวลาผ่านไปบางคนย้ายที่อยู่ บางคนเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ เปลี่ยนอีเมล บางคนเปลี่ยนชื่อ จดหมายที่ส่งกลับไปถูกตีกลับมา 20-30% ตลอด ผมเองก็พยายามตามหาผู้ร่วมลงขัน ประกาศผ่านนิตยสารในเครืออยู่ตลอด แต่พอเราไม่สามารถติดต่อพวกเขาได้เราก็ไม่รู้จะปันผลยังไง เริ่มมีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้เงินปันผล ส่วนคนที่ได้ปันผลครบทุกครั้งมีเยอะกว่ามาก เป็นคนส่วนใหญ่ที่เราติดต่อได้ เพราะไม่เคยเปลี่ยนชื่อ ที่อยู่ อีเมล ที่ผ่านมาไม่มีปัญหา คนเข้าใจ จนกระทั่งมีเรื่องอะเดย์ขายหุ้นได้เงิน 308 ล้าน คนที่ลงขันจำนวนหนึ่งที่เราติดต่อไม่ได้ เริ่มรู้สึกว่าอยู่ดีๆ เอาหุ้นเราไปขายได้เงิน 308 ล้าน ไม่เห็นบอกเราเลย ซึ่งมันไม่ใช่ความจริง ผมไม่ได้เป็นคนทำดีลนี้ ผมไม่รู้เรื่องดีลนี้
Q : แล้วพวกเขา ผู้ร่วมลงขันมีสิทธิ์ได้เงินไหม
ถ้าดีลนี้มันกิดจากผม ผมรับรู้ พวกเขาต้องได้ เพราะว่าหุ้น 2.5 ล้านบาท กลายเป็น 308 ล้าน เราต้องตอบแทน แต่ดีลนี้มันไม่มี ไม่ได้เกิดจากผมและผมไม่เอาไง
Q : พูดถูกไหม ถ้าดีลนี้มาจากคุณราคาหุ้นขึ้นแบบนี้ ได้เงินมหาศาลแบบนี้ พวกที่ร่วมลงขัน 459 คนต้องได้เงินด้วย
ผมยกตัวอย่าง ตอนที่ผมดีลกับทราฟฟิกคอร์นเนอร์ที่ผมปัน 100% เราได้เงินลงทุนจากทราฟฟิก ซึ่งจริงๆ การปัน 100% ไม่ค่อยมีในโลกนะ ผมจะขยักเงินปันผลก็ได้ แต่เราชัดเจนว่าพอเราได้เงินมาลงทุนแล้ว เราก็จะให้คนที่ลงขันกับเราตั้งแต่ต้นเต็มที่เลย ฉะนั้นถ้าผมเป็นคนทำดีลนี้ ผมไม่ละเลยที่จะตอบแทนผู้ร่วมลงขันอยู่แล้ว
แต่ดีลนี้ไม่ได้เกิดจากผม บางคนโกรธ ถามมาว่าขายหุ้นไม่บอกเขาเลย ก็ผมไม่ได้เป็นคนขายไง ผมก็เพิ่งรู้จากข่าวว่าผมมีหุ้นในเดย์โพเอทส์ 1 หุ้นเท่านั้น ในจำนวนกี่ล้านหุ้นไม่รู้ ซึ่งถามว่าหุ้นผมหายไปตอนไหน ใครเอาไป ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะจำได้ว่าก่อนหน้านี้ผมมีหุ้นในบริษัท 10% พอเหลือ 1 หุ้นมันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย มันมีเป็นพิธีไปแบบนั้น การถือหุ้น 1 หุ้น มันอธิบายได้ว่า ผมไม่ต้องได้รับแจ้งจากกรรมการว่าต้องเข้ามาประชุม ผมไม่ต้องเซ็นเอกสารสักฉบับเพื่อขายหุ้น เพราะผมไม่มีความหมาย การถือหุ้นแค่ 1 หุ้น คือหลักฐานที่เป็นรูปธรรมว่าผมไม่รู้เรื่องดีลนี้
Q : ผมย้ำอีกที หุ้นถ้ามันขายจริง พวกเขามีสิทธิ์ที่ต้องได้เงิน
ได้อยู่แล้ว ถ้าบริษัทเราดีขึ้น ดีก็ดีไปด้วยกัน แต่ถ้าแย่ ซึ่งก็มีหลายปีที่ขาดทุน เราก็รับความแย่ไว้กับตัวเองซะด้วยซ้ำ นึกถึงตอนที่ผมเล่าว่าบริษัทเราย่ำแย่มาหลายปี ถ้าจะประมาณ 16 ปี เราแย่อยู่สัก 5-6 ปี พนักงานไม่ได้โบนัส เงินเดือนไม่ขึ้น แต่เราใช้วิธีอดทน ค่อยๆ ทำงานไป เพราะฉะนั้นในภาวะที่เราขาดทุน เราไม่ได้ไปเอาอะไรกับผู้ร่วมลงขันเลย แต่วันไหนที่เราสบาย เราแทคแคร์อยู่แล้ว สิบกว่าปีที่ผ่านมาผมปันผลไป 6 ครั้ง ครั้งแรก 100% อีก 5 ครั้งปันผล 10% จากเงินที่ลงทุน ผมคิดว่าเราตอบแทนผู้ร่วมลงขันได้ไม่น้อยเลย
Q : อยากจะบอกอะไรกับพวกเขาผู้ร่วมลงขันที่ยังไม่เข้าใจบ้าง
อยากย้ำให้เข้าใจว่า ดีลนี้ไม่ได้เกิดจากผม และผมเห็นว่าดีลนี้ไม่ใช่เป็นดีลที่บริษัทผมสมควรไปร่วมด้วย เพราะว่าลักษณะของดีลมันคลุมเครือ มันตอบคำถามที่สังคมตั้งข้อสงสัยได้ไม่ชัดเจน เรื่องนี้สำคัญ เพราะบริษัทผมเป็นบริษัททำสื่อ สื่อบางตัวเป็นสื่อข่าวอย่าง a day BULLETIN หรือเดอะโมเมนตัม เริ่มต้นถ้าคุณทำสื่อแล้วคุณไปเกี่ยวพันกับเรื่องที่ตอบคำถามสังคมไม่ได้ ผมคิดว่าคุณหมดความน่าเชื่อถือทางสังคมทันที แล้วก็มันจะส่งผลร้ายมากๆ ในระยะยาว ผมก็ยืนยันว่าผมไม่เอา ผมไม่ต้องการดีลนี้'
Q : ทางออกเรื่องนี้ก็คือ
ถ้ามีดีลนี้ผมจะลาออก
Q : ย้ำอีกทีถ้าดีลนี้เกิดขึ้นคุณจะลาออก
ผมออก ผมบากหน้าอยู่ต่อไปไม่ได้หรอก ผมไม่ใช่คนแบบนั้น ผมว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่คนเราจะต้องมีจุดยืน คนเราถ้าไม่มีจุดยืนมั่นคงแน่ชัด แม่งจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร
Q : เอาลูกน้องออกไปด้วยไหม
ผมยังไม่ได้คุยกับน้องทุกคนเลย การเตี๊ยมกัน พยักหน้ากันแล้วยกทีมออก ผมว่ามันดู Aggressive ไป มันไม่เหมือนคนที่เป็นพี่เป็นน้องเขาทำกัน ที่ผ่านมา ผมกับผู้ถือหุ้นใหญ่ เราทำงานกันแบบเป็นพี่เป็นน้องกัน ตลอดเวลาที่ร่วมงานกันเขาก็ช่วยเหลือดูแลพวกเราเยอะ คนทำงานอยากลงทุนทำอะไรก็ใส่เงินส่วนตัวลงให้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมต้องขอบคุณ ผมเลยคิดว่าถ้าผมยกทีมออกมันไมค่อยน่ารักเท่าไร ที่รู้ๆ คือคนแรกและคนเดียวที่ออกแน่ๆ คือผม อย่างน้อยก็ตอบคำถามสังคม ย้ำยืนยันกับผู้คนได้ว่า เรื่องดีลขายบริษัท 300 ล้านนี้ ผมไม่รู้ ไม่เห็นด้วย และไม่เอาด้วย
Q : หลังจากนี้ทิศทางของสื่อในมือคุณจะเป็นอย่างไร
มรสุมที่หนักหนาผ่านไปแล้ว เมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่แล้วผมถูกโจมตีหนัก ทำให้คนเข้าใจผิดเยอะมาก ซึ่งโดยส่วนตัวผมก็รู้สึกแย่เหมือนกันนะ นี่พูดแบบไม่ต้องไว้ฟอร์ม ผมนอนไม่หลับ ผมคิดมาก เราไม่ได้ทำ ไม่รู้เรื่อง แต่เราต้องมารับในเรื่องที่เราไม่ได้เป็นคนทำ ถ้าแยกเรื่องนี้เป็น 2 เรื่อง เรื่องขายหุ้น ให้ผมพูด 100 ครั้งผมก็พูดแบบนี้ เพราะมันคือความจริงว่าผมไม่รู้เรื่อง ผมไม่เห็นด้วย และผมไม่เอา การที่ผมมี 1 หุ้น เป็นหลักฐานที่ชี้ชัดว่าผมไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเงิน 300 ล้านบาท บ้าบออะไรนี่เลยแม้แต่บาทเดียว
อีกด้านหนึ่ง เรื่องการทอดทิ้งผู้ร่วมลงขัน ผมก็ยืนยันอย่างบทสัมภาษณ์ในโมเมนตัมว่า ไม่จริง ผมใส่ใจผู้ร่วมลงขันมากๆ ซะด้วยซ้ำ ถ้าคุณได้เห็นจดหมายแต่ละฉบับที่ผมเขียนถึงผู้ร่วมลงขัน คุณจะรู้ว่าผมรายงานให้ผู้ลงขันรู้ตลอดว่าเรากำลังทำอะไร แม้กระทั่งตอนนี้ บริษัทรับพนักงานตาบอดเข้ามาทำงานนะครับ ตอนนี้เราย้ายมาอยู่เอกมัย ซ.10 ผมก็เล่าให้ฟัง ผมก็ถามว่าถ้าผมเป็นคนที่ละเลย ทอดทิ้ง ทำไมผมต้องมานั่งเขียนจดหมายยาวๆ แบบนี้ส่งถึงผู้ร่วมลงขันเกือบทุกปี แต่เหตุผลที่บางคนอาจจะไม่ได้รับข่าวหรือขาดการติดต่อ ก็เพราะเราติดต่อไม่ได้ และไม่ใช่ผมไม่มีความพยายามติดต่อ ผมทำพรินต์แอดลงอะเดย์ ลง a day BULLETIN ผมตามหาผู้ร่วมลงขันผ่านทางทวิตเตอร์ของผม ก็ได้รับการติดต่อกลับมาจำนวนหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ครบ ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องจริง
16 ปีที่ผ่านมา ตัด 3 ปีแรกที่อะเดย์เพิ่งเริ่มต้น มันไม่มีทางมีกำไรได้ แต่ 13 ปีถัดมา เราปันผลไปแล้ว 6 ครั้ง ครั้งที่ 1 ปัน 100% ลงมาเท่าไรได้ไปเท่านั้น อีก 5 ครั้ง ปันครั้งละ 10% นั่นหมายความว่าเราแทบจะปันผลปีเว้นปี
Q : ที่พูดนี่คือมีหลักฐานหมด
มีหลักฐานหมด คนที่ได้รับการปันผลทุกครั้งมีมากที่สุด แต่พวกเขาไม่ค่อยพูดเลยไม่เป็นข่าว
Q : พูดเหมือนคุณน้อยใจ
ผมรู้สึกเสียใจนิดหนึ่ง ผมก็ต้องกลับมาทบทวนทีมงานของผมที่ดูแลเรื่องนี้ว่า ทำไมเราถึงทำให้คนเข้าใจผิดขนาดนี้ เราพลาดตรงไหนวะ แต่เจตนารมณ์ที่เล่ามาทั้งหมด ผมต้องการย้ำว่า ผมไม่มีความคิดที่จะทอดทิ้งผู้ร่วมลงขันเลย ตรงกันข้าม ผมบอกกับตัวเองและทีมงานว่า ผู้ร่วมลงขันอะเดย์ตั้งแต่เริ่มต้น เราต้องดูแลคนเหล่านี้ คุณนึกดูคนที่ไม่รู้จักกันเท่าไร ไว้ใจให้เงินเรามาลงขันทำนิตยสารเล่มหนึ่ง มันเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่และลึกซึ้งมาก ผมไม่มีทางทิ้งคนเหล่านี้หรอก
Q : วันนี้ย้ำอีกที ในมุมคุณ คุณคิดว่าสิ่งที่ผู้ร่วมลงขันเข้าใจผิดคุณคือเรื่องอะไรบ้าง และทางออกของพวกเขาคืออะไร
อย่างแรกเลย เขาเข้าใจว่าเราขายหุ้นได้เงิน 300 ล้าน โดยผมเป็นคนรู้เห็น ตัดสินใจ แล้วก็เกิดคำถามว่าแล้วพวกฉันล่ะ จะได้อะไรหรือเปล่า ซึ่งผมก็ได้บอกความจริงไปแล้วว่าผมไม่รู้ ไม่เอา ผมจะลาออกถ้ามีดีลนี้เกิดขึ้น 2. ทำไมถึงไม่ได้รับการติดต่อช่วงที่ผานมา ผมก็ตอบว่า ไม่ใช่ผมไม่พยายาม เรามีความพยายามตามหาผู้ร่วมลงขันตลอดระยะ 10กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง
ช่วง 2 ครั้งหลังสุดในการปันผล เนื่องจากว่ามีคนที่เราตามไม่ได้อยู่พอสมควร เงินจำนวนนี้มันก็ไม่สามารถเอาไปใช้อะไรได้ ผมก็มีความคิดเสนอไปว่าใครที่ยังติดต่อไม่ได้ ขอเอาเงินปันผลมาฝากไว้ในอะเดย์ฟาวน์เดชั่น เป็นมูลนิธิ เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ทำงานเพื่อสังคมที่ผมก่อตั้งเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ที่ผ่านมา เราก็มีผลงานมากมายที่ช่วยเหลือสังคม โดยเฉพาะการทำให้คนรุ่นใหม่หันมาทำงานจิตอาสา ผมอยากแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าเงินผู้ร่วมลงขันอยู่ในนี้นะ ไม่ได้หายไปไหน ไม่ได้ถูกฮุบไป แค่ฝากไว้ แล้วในอะเดย์ฟาวน์เดชั่นเขาก็มีเงินกองทุนของเขาอยู่แล้ว ถ้าใครรู้ตัวหรือว่าเราเพิ่งติดต่อกันได้ ฉันยังไม่ได้เงินปันผล ผมสามารถเบิกเงินที่เก็บไว้ในอะเดย์ฟาวน์เดชั่นปันผลไปให้ทันที
จดหมายปันผล 2 ปีล่าสุด ผมก็บอกว่าเนื่องจากการปันผล 2 ปีหลัง เราตามหาผู้ร่วมลงขันจำนวนหนึ่งไม่ได้ ผมจึงเสนอทางเลือกให้ 1. ถ้าใครมีจุดประสงค์อยากจะบริจาคให้ อะเดย์ฟาวน์เดชั่น ไปทำงานเพื่อสังคม ก็แจ้งกับเรามา เพราะหลายคนบอกปันผล 100, 200 บาท ไม่อยากรับ และ 2. ถ้าติดต่อไปแล้วยังไม่ได้รับการตอบรับมาในเวลาเท่านี้ เราขออนุญาตเอาเงินไปฝากไว้ในอะเดย์ฟาวน์เดชั่น
Q : พวกเขาก็ถามว่ามีสิทธิ์อะไรเอาเงินของเขาไปใส่ในอะเดย์ฟาวน์เดชั่น
ผมไม่อยากถือเงินนี้ไว้ ไม่อยากให้คนครหา ก็แสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการขอเอาเงินไปฝากไว้ในอะเดย์ฟาวน์เดชั่น เพราะว่าถ้าอยู่ในนั้นมันเบิกถอนอะไรมันต้องมีหลักฐาน มันตรวจสอบได้ แต่ยืนยันว่าถ้าเราติดต่อกันได้ คนลงขันที่ยังไม่ได้รับเงินปันผลมีสิทธิ์ได้รับเงินแน่นอน ผมนี่โคตรอยากจะปันผลให้เลย ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม
Q : เงินก้อนนี้เท่าไร
ผมจำไม่ได้แน่ชัด น่าจะเป็นแสน เป็นเงินที่เราปันผล 2 ครั้งล่าสุดของผู้ร่วมลงขันที่เราไม่สามารถติดต่อได้ เงินจำนวนนี้ไม่ได้ไปไหน ยังอยู่ครบดี และพร้อมจะปันผลให้ทุกคน ซึ่งหลังจากข่าวนี้ก็น่าดีใจที่มีคนร่วมลงขันติดต่อกลับมาประมาณหนึ่ง และเราก็ทำเรื่องโอนเงินปันผลไปให้แล้ว
Q : กรณีที่คุณลาออกกรณีดีลนี้สำเร็จ ผู้ร่วมลงขัน จำนวน 459 ราย จะทำอย่างไรกับพวกเขา
พอเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ผมคุยกับคุณนิติพัฒน์ (ผู้ร่วมก่อตั้งอะเดย์) ว่าน่าจะถึงเวลาที่เราจะออกไปทำกันเอง กลับไปเป็นอิสระชนเหมือนตอนเริ่มต้นอะเดย์ เพราะที่ผ่านมา เราพยายามจะอยู่ให้ได้ในธุรกิจนี้ การทำสื่อดีๆ แล้วอยู่ให้ได้ด้วยมันยากมากนะในประเทศนี้ มันต้องรักษาสมดุลเรื่องธุรกิจ และอุดมการณ์ที่จะทำสื่อให้ดีให้กับสังคม ที่ผ่านมา เราก็พยายามรักษาสมดุลที่ว่า พยายามประนีประนอมเรื่องธุรกิจการเงิน ขณะเดียวกันก็ต้องยืนยันอุดมการณ์และความคิดของเรา เจตนารมณ์ในการทำอาชีพนี้ของพวกเรา ไม่มีอะไรมากไปกว่าเราอยากเป็นสื่อมวลชน ที่ทำหน้าที่สื่อที่ดีให้กับสังคม ให้กับคนในประเทศนี้ แล้วก็อยู่ให้ได้นานๆ ในอาชีพที่เรารักจะทำ ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการไป Joint venture มีผู้ร่วมทุนเข้ามาใหม่ เราไม่ได้ตั้งใจอยากรวยเลย เราอยากทำงานต่อไป
Q : ไม่ได้อยากรวย
ผมยืนยัน ผมไม่ได้บอกว่าผมจนหรอก แต่ผมไม่ได้รวยอย่างที่คุณคิด คุณเชื่อไหมว่า 2 ปีที่แล้ว ผมเพิ่งผ่อนบ้านราคาไม่ถึง 3 ล้านหมดไป ผ่อนเกือบ 20 ปี คุณเข้าใจใช่ไหม ถ้าผมมีเงินมหาศาลผมโปะเงินซื้อบ้าน 10 ล้าน ยังได้ แต่นี่ผมผ่อนบ้านทุกเดือน เดือนละ 17,000 บาท รถที่ใช้อยู่ก็รถบริษัทไม่ใช่รถผม ผมไม่มีหุ้นเป็นลอตในบริษัท ผมมี 1 หุ้น ผมไม่เคยได้รับเงินปันผลจากการถือหุ้น ผมได้แค่เงินเดือนต่อเดือน โบนัสมีบ้างไม่มีบ้าง ผมไม่สนใจเล่นหุ้น ไม่ชอบ ไม่ใช่ทางของผม ผมออมเงินส่วนใหญ่ในธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. ผมชอบใช้น้อยๆ ใช้แล้วรู้ว่าใช้ได้เท่าไรก็ใช้เท่านั้น
แต่ผมไม่ได้พูดว่าผมจนหรอกนะ เทียบกันแล้วผมคงมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าคนจำนวนมาก แต่ผมเล่าให้คุณเห็นว่าเหตุผลสำคัญที่ผมมาทำอาชีพนี้ ผมไม่ได้อยากรวยเป็นเศรษฐี แต่ผมเพียงอยากทำสื่อดีๆ ให้กับสังคม และทำบริษัทที่พอจะดูแลคนทำงานให้มีคุณภาพชีวิตที่พอใช้ได้ นี่ก็สะท้อนไปว่า ผมไม่อยากได้เงิน 300 ล้านนั่นแม้แต่นิดเดียว ทั้งๆ ที่บางคนบอกหลับหูหลับตาไปก็ได้
Q : หลับหูหลับตาไปก็ได้เงินสบายๆ
เดี๋ยวเขาคงจะแบ่งเศษๆ มาให้ แต่ผมไม่เอา ผมรู้สึกว่าถ้าเงินนั้นได้มาแบบสังคมตั้งคำถาม ผมไม่เอาหรอก ซึ่งเหตุการณ์นี้ก็ดีนะ มันทำให้ได้ทบทวนว่าที่ผ่านมามันใช่ชีวิตแบบที่เราต้องการไหม คำตอบก็คือน่าจะถึงเวลาที่เราจะออกมา กลับมาเป็นคนทำงานอิสระเล็กๆ ในแบบของเรา ผมจึงมีความคิดอยากซื้อบริษัทคืนจากผู้ถือหุ้นใหญ่ ตอนนี้ก็รอเวลาที่จะพูดคุย เป็นความตั้งใจที่อยากทำ
อีกเหตุผลหนึ่งคือ ผมอยากดูแลผู้ร่วมลงขันให้ชัดเจนมากกว่าที่ผ่านมา ด้วยการจัดสรรโครงสร้างของหุ้นใหม่ ที่ผ่านมา โครงสร้างหุ้นไม่ชัดเจนเพราไม่ได้อยู่ในมือเรา ผมเลยคิดว่าการตั้งบริษัทใหม่เป็นโอกาสดีที่ผมจะไปจัดโครงสร้างผู้ถือหุ้นให้ชัดเจน ผมจะเอาผู้ร่วมลงขัน 459 คน มาถือหุ้นบริษัท 10% เป็นความตั้งใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมคิดว่าผมได้ตัดสินใจแล้วว่าเราจะกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง
Q : คุณมีความเป็นศิลปิน หรือนักธุรกิจมากกว่ากัน
ผมมีความเป็นนักธุรกิจน้อยมาก แต่ผมก็รู้อยู่เสมอว่าสิ่งที่เราทำมันคือคอมเมอร์เชียลอาร์ต คุณต้องดูแลสมดุลมันให้ดี เพื่อที่จะดำรงอยู่ได้นานๆ อย่างมั่นคง ผมไม่มีอคติกับธุรกิจหรอก แต่ผมรู้ตัวว่าธาตุแท้แล้วผมเป็นบรรณาธิการ เป็นนักเขียน เป็นคนทำสื่อสร้างสรรค์ DNA ผมเป็นแบบนั้น
Q : สุดท้ายจริงๆ เรื่องนี้มันสอนอะไรคุณบ้าง
ถึงแม้ผมไม่ได้เป็นคนดีอะไรมากมาย แต่สิ่งหนึ่งในชีวิตที่ผมจะไม่ทำเลยคือ การโกงคน นึกออกมั้ยครับ ผมไม่มีวันทำอะไรที่มันชั่วร้ายอย่างนี้แน่นอน ผมว่าเป็นความผิดที่แม่งร้ายแรงมากเลย ยิ่งคุณทำงานสื่อมวลชน แล้วไปโดนข้อหาหรือเรื่องแบบนี้นะ แม่งเป็นความผิดที่มหันต์สำหรับผมเลย ผมรังเกียจด้วยซ้ำ
Q: สิ่งสุดท้ายที่จะทำในชีวิต ก็คือทรยศคนดู??
ผมคิดว่า 10-20 ปี ที่ผมอยู่ในวงการนี้นะครับ ผมได้พิสูจน์ตัวเองมาพอสมควรแล้วนะ ว่าผมแม่งเป็นคนใช้ได้นะ ผมไม่ได้เป็นคนเลวร้ายนะ ผมและบริษัทผม และคนทำงานของผมเราสร้างสรรค์สื่อที่ดีๆ ออกมามากมายให้กับผู้คน แล้วก็สังคม ผมไม่เคยมาประกาศตัวเลยนะว่าอุดมการณ์ของผมมีอะไรบ้าง สูงส่งยังไง แทบไม่เคยเลย ผมบอกว่าอุดมการณ์ของพวกเรามันเรียบง่ายมาก ก็คือเป็นสื่อมวลชนที่ทำหน้าที่สร้างสรรค์สื่อที่ดีให้กับผู้คนและสังคมในประเทศนี้ แค่นั้นเอง ซึ่งผมว่าแม่งเป็นอุดมการณ์ที่ซื่อตรง แล้วก็เรียบง่ายที่สุดแล้วที่คนทำสื่อกลุ่มนึงจะทำให้กับสังคม
ไม่ต้องมาบอกว่าเราต้องมีจริยธรรม มีจรรยาบรรณ หรือแม้กระทั่งมีอุดมการณ์สูงส่ง ผมว่ามันเป็นเรื่องไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศ คุณดูจากสิ่งที่เราทำก็พอ
Q : หลังประกาศว่าลาออกคุณรู้สึกยังไง
ตอนแรกคิดว่าไม่รู้สึกอะไร เพราะก็เตรียมใจไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่พอถึงเวลาทวีตข้อความว่าลาออกในทวิตเตอร์ ก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน ความรู้สึกมันปะปนกันระหว่าง สบายใจ โล่งใจ ในที่สุดเราก็ได้เคลียร์ข้อกล่าวหาแล้ว กับรู้สึกเสียใจ สะเทือนใจ คงเพราะ 16 ปีที่ทำอะเดย์มันผูกพันทั้งกับตัวหนังสือ คนอ่าน แล้วก็น้องๆ ที่ทำมาด้วยกัน ทวีตข้อความเสร็จก็นั่งน้ำตาไหลอยู่พักหนึ่ง
Q : ไม่มี โหน่งอะเดย์ สิ่งที่สร้างมากับมือ 16 ปี อีกต่อไปแล้ว
16 ปีที่ผ่านมา อะเดย์ มีความหมายกับชีวิตผมมากเหลือเกิน ถึงวันนี้ก็ได้รับรู้รสชาติความจริงว่า การต้องลาออกจากสิ่งที่เราสร้างมากับมือ มันเจ็บปวดอย่างนี้นี่เอง
Q : จากนี้เอายังไง ตัวเอง ผู้ถือหุ้น และลูกน้อง
ผมเป็นคนชอบทำงาน ผมคิดว่าคุณค่าของคนคนหนึ่งดูได้จากสิ่งที่เขาทำ ผมรู้ว่างานที่ผมถนัด มีทักษะ เชี่ยวชาญ มีความรู้ความเข้าใจ และชอบทำคืองานสื่อสารมวลชน ระหว่างนี้ผมก็กำลังจัดตั้งบริษัทผลิตคอนเทนต์เล็กๆ ขึ้นมา สำหรับคนทำงานผมก็ได้พูดคุยกับพวกเขาแล้ว เบื้องต้น ผมให้อิสระทุกคนในการตัดสินใจว่าจะอยู่ทำงานกับที่เดิม เพราะเชื่อว่าเขาก็คงดำเนินการผลิตสื่อที่ทำอยู่ต่อไป หรือจะออกมาผจญภัยกับผมก็เลือกเอา ไม่บังคับจิตใจกัน แต่ที่แน่นอนคือผมได้จัดการให้พนักงานทุกคนมีงานทำ มีเงินเดือนต่อเนื่อง ไม่มีใครต้องตกงานแม้แต่คนเดียว
สำหรับผู้ร่วมลงขันอะเดย์ทั้ง 459 คน ถึงลาออกแล้วผมก็จะดูแลต่อ ไม่ทอดทิ้ง ผมจะพาทั้งหมดมาอยู่กับบริษัทใหม่ ให้ 459 คนถือหุ้นบริษัท 10% โดยไม่ต้องลงเงิน แต่ละคนมีมูลค่าหุ้นละ 1,000 บาทเท่าเดิมกับที่เคยลงไว้ เพราะพวกเราก็ออกมาตัวเปล่า เท่ากับว่าเรามาเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่ไปด้วยกัน