ปี 2567 เป็นอีกปีแห่งความสำเร็จของแกร็บ ประเทศไทย หลังจากที่ได้รับการจัดอันดับเป็นแบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 จาก Kantar โดยการขับเคลื่อนธุรกิจผ่านการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัล พร้อมการขยายบริการอย่างต่อเนื่องในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ หรือการขยายบริการทางการเงินเพื่อช่วยสนับสนุนพาร์ทเนอร์และผู้ใช้บริการ ผ่านการใช้ Data และ Customer Insight ในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ พร้อมเดินหน้าก้าวสู่ปี 2568 ด้วยกลยุทธ์ "S.M.A.R.T" ที่จะยกระดับความยั่งยืนและการขยายตลาดให้ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า
ปี 2567 เป็นอีกปีแห่งความสำเร็จของแกร็บ ประเทศไทย หลังจากที่ได้รับการจัดอันดับเป็นแบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 จาก Kantar โดยการขับเคลื่อนธุรกิจผ่านการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัล พร้อมการขยายบริการอย่างต่อเนื่องในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ หรือการขยายบริการทางการเงินเพื่อช่วยสนับสนุนพาร์ทเนอร์และผู้ใช้บริการ ผ่านการใช้ Data และ Customer Insight ในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ พร้อมเดินหน้าก้าวสู่ปี 2568 ด้วยกลยุทธ์ "S.M.A.R.T" ที่จะยกระดับความยั่งยืนและการขยายตลาดให้ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า
นางสาวจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย เปิดเผยว่า "ปี 2567 เป็นอีกหนึ่งปีที่ยอดเยี่ยมของแกร็บ ประเทศไทย ที่ยังคงครองความเป็นแบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ของไทย จากการจัดอันดับโดย Kantar ปัจจุบัน Grab เปิดให้บริการใน 8 ประเทศ ครอบคลุมมากกว่า 800 เมือง มีผู้ใช้บริการรายเดือนกว่า 41 ล้านคน (Monthly Transactional User)
ปีที่ผ่านมา แกร็บได้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวไทย โดยเป็นพันธมิตรกับท่าอากาศยานไทย (AOT) เปิดให้บริการจุดรับ-ส่งในสนามบินหลัก 4 แห่ง ได้แก่ สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต และเชียงใหม่ และร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยเฉพาะการส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดเมืองรอง ส่งผลให้ยอดใช้บริการเรียกรถในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโตขึ้นถึง 138% และการเติบโตของการเรียกรถโดยรวมกว่า 90%
"เรายังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีและนำเสนอนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปและแก้ปัญหา (pain point) ในชีวิตประจำวันของคนในอีโคซิสเต็ม" นางสาวจันต์สุดากล่าว
ทั้งนี้ Data + Customer Insight ทำให้ Grab สามารถออกบริการใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา โดยใช้ข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคและความต้องการของตลาดมาวิเคราะห์และพัฒนาบริการที่ตรงใจผู้ใช้
โดยนวัตกรรมที่ได้รับความนิยมในปีที่ผ่านมา ได้แก่
นอกจากนี้ Grab ประสบความสำเร็จอย่างมากในการนำเสนอทางเลือกบริการราคาประหยัด ผ่านการเปิดตัว
นอกจากตลาดผู้บริโภคทั่วไปแล้ว Grab ยังเดินหน้าขยายธุรกิจในกลุ่มลูกค้าองค์กร (B2B) โดยมุ่งพัฒนาทั้ง GrabAds ที่เป็นการปรับจากการขายโฆษณาเป็นโซลูชันการตลาดแบบสร้างสรรค์ (Creative Marketing Solutions) อีกทั้งยังมี Grab For Business ขยายกลุ่มเป้าหมายไปยังหลากหลายอุตสาหกรรม ส่งผลให้ฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นถึง 80%
อีกหนึ่งธุรกิจที่เติบโตโดดเด่นคือ Grab Finance หน่วยธุรกิจด้านการเงินที่สนับสนุนพาร์ทเนอร์ร้านค้าและผู้ให้บริการบนแพลตฟอร์ม ประกอบด้วย
GrabPay ระบบชำระเงินแบบไร้เงินสด Grab การเงิน บริการสินเชื่อที่ตอบโจทย์ธุรกิจทุกขนาด ทั้ง Nano Loan วงเงินสูงสุด 100,000 บาท P-Loan วงเงินสูงสุด 1,000,000 บาท และ Juristic Loan - วงเงินสูงสุด 10,000,000 บาท
จุดเด่นของ Grab การเงิน คือการใช้ AI และ Big Data วิเคราะห์พฤติกรรมผู้กู้จากข้อมูลธุรกรรมจริงบนแพลตฟอร์ม ทำให้ไม่ต้องใช้เอกสารสเตทเม้นท์ และสามารถควบคุมอัตราหนี้เสีย (NPL) ที่เพียง 2.5% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ราว 3%
ทั้งนี้ Grab มีความร่วมมือกับ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ในการให้บริการทางการเงิน เพื่อขยายโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อและโซลูชันทางการเงินสำหรับพาร์ทเนอร์ร้านค้าและผู้ให้บริการบนแพลตฟอร์มของ Grab
นอกจากนี้ยังมี Grab ประกัน ที่ได้ร่วมมือกับ ชับบ์สามัคคีประกันภัย พัฒนา "ประกันค้าขายหายห่วง" สำหรับพาร์ทเนอร์ร้านค้า ซึ่งให้ความคุ้มครองจากอุบัติภัยหรือภัยธรรมชาติ เช่น ไฟไหม้หรือน้ำท่วม ด้วยวงเงินคุ้มครองสูงสุด 5 ล้านบาท
สำหรับในปี 2568 แกร็บ ประเทศไทย ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้วิสัยทัศน์ "Lead with Purpose" โดยมุ่งสร้างความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันและตอกย้ำบทบาทของแกร็บในฐานะผู้นำซูเปอร์แอปเพื่อยกระดับมาตรฐานของธุรกิจการเดินทางและเดลิเวอรี ควบคู่ไปกับการสานต่อพันธกิจ GrabForGood ที่มุ่งใช้เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับคนไทย
นางสาวจันต์สุดากล่าวว่า ในปี 2568 แกร็บจะมุ่งเน้นไปที่ 5 แนวทางหลักภายใต้กลยุทธ์ "S.M.A.R.T" ซึ่งประกอบด้วย
S: Sustainability - มุ่งสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ
M: Market Expansion - ขยายบริการให้เข้าถึงคนทุกเจเนอเรชัน
A: Affordability - นำเสนอทางเลือกบริการในราคาที่เข้าถึงได้
R: Retention - รักษาฐานลูกค้าและมัดใจคนขับ-พาร์ทเนอร์ร้านค้า
T: Tech & Innovation - พัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี
"ตลอดระยะเวลาเกือบ 12 ปีของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย แกร็บได้สร้างมูลค่าเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยสูงถึง 1.79 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 1% ของ GDP ประเทศไทย แกร็บภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนไทย และมีส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล พร้อมสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคมไทยอย่างเป็นรูปธรรม โดยรายได้ปีที่ผ่านมา Food & Mobility เป็นกำลังหลักของการเติบโตของธุรกิจ เนื่องจากการท่องเที่ยวกำลังมาแรง ส่วนในปีนี้มองว่าสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว แต่ตลาดฟู้ดเดลิเวอร์ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจาก Momentum Work ระบุว่าฟู้ดเดลิเวอรี่ในไทยมีมูลค่ากว่า 1.4 แสนล้าน ซึ่งแกร็ปมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับหนึ่งอยู่ที่ 46% ขณะที่ยอดใช้จ่ายต่อหัวของผู้ใช้บริการอยู่ที่ราว 200 กว่าบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่ทรงตัว” นางสาวจันต์สุดา กล่าวทิ้งท้าย