ถอดบทเรียน Skype พลาดตั้งแต่ตรงไหนถึงทำให้ Microsoft กลืนจนหมดตัว ?

Date Time: 4 มี.ค. 2568 09:50 น.

Summary

Skype ผู้บุกเบิกแอปวิดีโอคอลที่เคยได้รับความนิยมไปทั่วโลก เสื่อมความนิยมและกำลังยุติให้บริการในเดือนพฤษภาคมที่กำลังจะถึงนี้ เกิดอะไรขึ้นกับแพลตฟอร์มที่เคยครองตลาด Skype ทำพลาดตรงไหนหรือเพียงแต่ถูกคู่แข่งแซงหน้าไปเฉย ๆ Thairath Money พาไปสำรวจว่าเหตุใด Skype ถึงไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ในโลกดิจิทัลยุคปัจจุบันได้อีกต่อไป

วิดีโอคอลยุคบุกเบิกที่มาก่อนกาล

Skype เป็นที่รู้จักหลังช่วยให้ผู้ใช้โทรหากันผ่านอินเทอร์เน็ตแบบเห็นหน้าได้ที่ปฏิวัติวงการการโทรติดต่อหากันระหว่างบุคคลในขณะนั้น โดยในปัจจุบันเราอาจจะคุ้นเคยว่า Skype คือ ผู้บุกเบิกแอปวิดีโอคอลยุคแรก ๆ ที่มาก่อนกาล ก่อนที่จะมี Whatsapp, FaceTime, LINE, Microsoft Teams หรือ Zoom ที่เราใช้กันทุกวันนี้เสียอีก

Skype คือ ซอฟต์แวร์การสื่อสารที่ให้ผู้ใช้โทรออก ส่งข้อความวิดีโอ และแลกเปลี่ยนข้อความโต้ตอบแบบทันทีผ่านอินเทอร์เน็ต “Free Internet-Based Voice Calls” หรือ Voice over Internet Protocol (VoIP) ก่อตั้งขึ้นในลักเซมเบิร์กในปี 2003 (22 ปี) โดยสองหัวเรือใหญ่ Niklas Zennström และ Janus Friis สองนักพัฒนาจากสวีเดนและเดนมาร์ก

ทั้งสองทำงานร่วมกับทีมนักพัฒนาชาวเอสโตเนีย Ahti Heinla, Priit Kasesalu และ Jaan Tallinn ที่เคยทำงานในโครงการ Kazaa ซึ่งเป็นบริการแชร์ไฟล์แบบเพียร์ทูเพียร์มาก่อน (Peer-to-Peer File Sharing) ซึ่งเป็นแนวคิดที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างเทคโนโลยีของ Skype

Zennström และ Friis นำโค้ดบางส่วนจาก Kazaa มาใช้กับ Skype เวอร์ชันแรก ๆ ทำให้พวกเขาสามารถพัฒนาสถาปัตยกรรมเพียร์ทูเพียร์ได้ ซึ่งช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การสื่อสารด้วยเสียงและวิดีโอที่มีคุณภาพสูงและเชื่อถือได้มากขึ้น ขณะที่ต้นทุนต่ำลง แทนที่จะพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ส่วนกลางเหมือนเครือข่ายโทรคมนาคมแบบเดิม

ไม่นานความก้าวหน้าในเทคโนโลยี VoIP ของพวกเขาได้เปลี่ยนวิธีการสื่อสารออนไลน์ของผู้คนและเปิดโอกาสใหม่ ๆ สำหรับการทำงานร่วมกันทั่วโลก โดยหลังจากเปิดตัวรุ่นแรกสู่สาธารณะ Skype ก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเชื่อมต่อผู้คนทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับเพื่อนหรือประชุมกับเพื่อนร่วมงาน ทุกคนต่างก็ชื่นชอบแพลตฟอร์มนี้ นอกจากนี้ยังเป็นโซลูชันที่สมบูรณ์แบบสำหรับธุรกิจที่กำลังมองหาวิธีราคาถูกในการสื่อสารกับพนักงานและลูกค้า

Skype เป็นที่รู้จักในฐานะแพลตฟอร์มการประชุมทางวิดีโอที่ใช้งานง่าย อินเทอร์เฟซที่เป็นมิตร และปฏิวัติวงการด้วยการโทรด้วยเสียงและวิดีโอฟรีผ่านอุปกรณ์พีซีและแล็ปท็อป แทนที่การโทรติดต่อผ่านเครือข่ายมือถือที่มีราคาที่สูงกว่า

Skype มีผู้ใช้งาน 10,000 คนดาวน์โหลดแอปในวันแรก ภายใน 2 ปี มีผู้ใช้ที่ลงทะเบียนประมาณ 50 ล้าน และมียอดดาวน์โหลดกว่า 1 พันล้านครั้งในปี 2008 ในช่วงกลางทศวรรษปี 2000 เรียกได้ว่าผู้ใช้หลายล้านคนก็ไม่สามารถหยุดใช้ Skype ได้

ไม่ใช่ลูกรักของ eBay (2005-2009)

ความสำเร็จในช่วงแรกของ Skype มีอิทธิพลต่อนักลงทุน ในปี 2005 eBay เข้าซื้อกิจการ Skype ต่อด้วยเงินสดและหุ้นมูลค่าประมาณ 2.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในช่วงนั้น Skype เน้นขยายตลาดและการเข้าซื้อกิจการเพื่อพัฒนาบริการที่หลากหลาย เช่น Skypecasts บริการ Voice Conferencing ที่ให้ผู้เข้าร่วมได้มากถึงหนึ่งร้อยคน รวมถึงบริการสมัครสมาชิกโทรครั้งแรก (Calling Subscriptions) Skype To Go บริการจ่ายตามที่โทร รวมถึงขยายระบบปฏิบัติการที่ครอบคลุมตั้งแต่สมาร์ทโฟนไปจนถึงหน้าจอทีวี

ภายใต้ eBay Skype เติบโตขึ้นในแง่ของผู้ใช้ แต่บริษัทประสบปัญหาในการสร้างรายได้จาก Skype และล้มเหลวในการบูรณาการเข้ากับบริการต่าง ๆ ของบริษัท โดยในปี 2008 เกิดวิกฤตการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารอย่างต่อเนื่องส่งผลให้เกิดความตึงเครียดระหว่าง eBay และทีมผู้บริหารของ Skype ซึ่งส่งผลให้ผู้ก่อตั้ง Skype ลาออก

eBay ไม่ได้ทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อการเติบโตและขยายตัวของ Skype เช่นกัน โดยยังคงมุ่งเน้นไปที่อีคอมเมิร์ซและที่เลวร้ายไปกว่านั้น eBay ยังประกาศว่าได้ให้มูลค่าของ Skype สูงเกินไป ซึ่งนำไปสู่ความตึงเครียดระหว่างผู้ก่อตั้งและผู้บริหารระดับสูงของ eBay มากขึ้น เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ Friis และ Zennström ออกจากบริษัทใน ตามมาด้วยการที่ eBay ยุติการให้บริการ Skype

eBay เลือกที่จะขายหุ้น Skype 70% ให้กับกลุ่มนักลงทุนนำ Silver Lake และ Andreessen Horowitz โดยอ้างว่า Skype ไม่ได้สร้างรายได้ อีกทั้งยังไม่สามารถรักษาคุณภาพมาตรฐานขั้นต่ำตามที่คาดหวังได้ ข้อตกลงดังกล่าวช่วยให้ Skype ที่กำลังดิ้นรนฟื้นตัวและหันกลับมามุ่งเน้นที่การปรับปรุงบริการการสื่อสารด้วยเสียงและวิดีโอหลัก โดยขณะนั้น Skype มีมูลค่าประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมียอดผู้ใช้อยู่ที่ราว 500 ล้านคนในปี 2009

Skype ผ่านการระดมทุนเพิ่มเงินหลายครั้งกระทั่งตัดสินใจยื่นขอเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะในปี 2010 ก่อนที่จะเลื่อนกำหนดการออกไป โดยมีรายงานว่า Skype อาจพิจารณาที่จะขายกิจการของตัวเอง กระทั่งเดือนพฤษภาคม ปี 2011 “Microsoft” ก็ได้ประกาศเข้าซื้อกิจการ Skype ในราคา 8.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยจัดตั้งขึ้นเป็นแผนกย่อยของ Microsoft ซึ่งได้เข้าซื้อเทคโนโลยีทั้งหมดของ Skype

ไม่ใช่ลูกรักของ Microsoft (2011-2025)

Microsoft ที่ขาดบริการการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ตที่โดดเด่น การเข้าซื้อกิจการ Skype ทำให้สามารถแข่งขันกับ Google (Google Talk) และ Apple (FaceTime) ในตลาด VoIP และวิดีโอคอลที่กำลังเติบโต โดย Microsoft เริ่มต้นจากบูรณาการบริการ Skype เข้ากับผลิตภัณฑ์และระบบนิเวศของตนเอง รวม Skype เข้ากับระบบนิเวศของตน ทั้ง Windows, Microsoft Office และ Xbox

ทิศทางของ Microsoft คือ การเสริมแกร่งฟีเจอร์การสื่อสารสำหรับองค์กร โดยก่อนที่จะเข้าซื้อกิจการ Skype นั้น Microsoft มี Lync ซึ่งเป็นเครื่องมือการสื่อสารทางธุรกิจ Microsoft ตั้งเป้าที่จะครองตลาดการสื่อสารขององค์กรโดยการรวม Skype เข้ากับ Lync (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Skype for Business) รวมถึงยุติผลิตภัณฑ์ของตัวเอง เช่น บริการส่งข้อความโต้ตอบแบบทันที Windows Live Messenger เพื่อหันมาใช้ Skype แทนอีกด้วย

อย่างไรก็ตามปัญหาใหญ่ของการซื้อกิจการคือ Microsoft คือ การหันเหออกจากสิ่งที่ทำให้ Skype พิเศษอย่างเทคโนโลยี VoIP แทนที่จะทำเช่นนั้น Microsoft กลับเพิ่มฟีเจอร์ที่ไม่สอดคล้องกับตำแหน่งของ Skype ในฐานะเครื่องมือสื่อสารและการทำงานร่วมกัน

ช่วงปี 2017 เป็นต้นมา Microsoft ประกาศแผนที่จะปรับปรุง Skype ด้วยคุณสมบัติที่คล้ายกับ Snapchat โดยให้ผู้ใช้สามารถแชร์รูปถ่ายและไฟล์วิดีโอของตนได้ กระทั่งตัดสินใจย้ายบริการจากเพียร์ทูเพียร์เป็นระบบบนเซิร์ฟเวอร์ส่วนกลาง ทำให้สามารถจัดเก็บข้อความ/รูปภาพบนคลาวด์และจัดเก็บวิดีโอ/ไฟล์แนบ/ข้อความเสียง/บันทึกการโทรชั่วคราวเป็นเวลา 30 วันได้ นอกจากนี้ยังปรับเปลี่ยนอินเทอร์เฟซผู้ใช้ของแอปเพื่อให้การส่งข้อความแบบข้อความมีความโดดเด่นกว่าการโทรด้วยเสียง Skype

และที่สำคัญในปี 2017 Microsoft เปิดตัว “Teams” แอปพลิเคชันวิดีโอคอลที่เน้นการสื่อสารภายในองค์กรมากขึ้น ขณะที่ Skype มีไว้สำหรับการสื่อสารแบบ Point-to-Point Family ของและการติดต่อกันระหว่างประเทศ โดย Skype ในปี 2021 ประกาศว่ารองรับผู้เข้าร่วมได้ 100 คนต่อการโทรหนึ่งครั้ง ในขณะที่ Teams ประกาศว่ารองรับได้ 300 คนต่อการโทรหนึ่งครั้ง ฟีเจอร์ที่ทับซ้อนกับ Skype และการตลาดที่เน้นเจาะคนละกลุ่มถืออย่างสิ้นเชิงถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเสื่อมถอยของ Skype อย่างมีนัยสำคัญ

Lockdown-Remote Working และการแข่งขันที่ดุเดือด 

ในขณะที่ Microsoft พยายามดิ้นรนเพื่อค้นหาแนวทางที่เหมาะสมสำหรับ Skype ท่ามกลางคู่แข่งหลายราย กลายเป็นว่า Skype ช้าและซับซ้อนเกินไป ไม่สามารถอัปเดตได้ตามความคาดหวังของผู้ใช้ยุคใหม่ได้ทัน

หากจะบอกว่ายุคนี้ Microsoft ล้มเหลวในการเพิ่มคุณสมบัติใหม่ให้กับ Skype อีกทั้งทำให้จุดแข็งและแบรนด์หลักของ Skype หายไป ด้วยการทำให้ผลิตภัณฑ์มีขนาดใหญ่ขึ้น ส่งผลให้ผู้ใช้ต้องเผชิญกับปัญหาด้านประสิทธิภาพการทำงาน รวมถึงอินเทอร์เฟซผู้ใช้ที่สับสนมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ไม่เกินจริง

Whatsapp แพลตฟอร์มแชทและโทรออนไลน์มีผู้ใช้ถึง 1 พันล้านคน ภายในปี 2020 มีผู้ใช้ถึง 2 พันล้านคน ขณะที่ Skype เพิ่งแตะ 1 พันล้านคนในปี 2019 นอกจากนี้ Zoom อีกหนึ่งแพลตฟอร์มสื่อสารผ่านวิดีโอที่โดดเด่นในสิ่งที่ Skype เคยทำได้ดีมาก่อน ใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของ Skype ประสานผู้ใช้อย่างเรียบง่ายเพื่อให้ผู้ใช้สื่อสารด้วยการทำคุณภาพวิดีโอและเสียงที่ดีขึ้น

กระทั่งปี 2019 ที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 เกิดขึ้นทั่วโลก Skype สูญเสียผู้ใช้ให้กับคู่แข่งอย่างต่อเนื่อง การวางตำแหน่งตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบสำหรับการเติบโตในตลาดของเจ้าอื่นที่ให้ความสำคัญการประชุมทางวิดีโอ สามารถตอบโจทย์การทำงานระยะไกล ทำให้ Zoom รวมถึงแพลตฟอร์มอื่นอย่าง Whatsapp, Google Meet หรือ Teams ได้กลายเป็นตัวเลือกหลัก Skype ที่หายเงียบและไม่ได้รับการฟื้นคืนชีพ ไม่แปลกผู้คนบางส่วนลืมไปว่ายังมี Skype อยู่

ลาก่อน Skype

ผู้บุกเบิกด้านวิดีโอคอลและการสื่อสารออนไลน์ ณ ยุคหนึ่งและมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมต่อผู้คน ช่วยปูทางให้กับเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมอื่น ๆ ที่มาหลังจากนั้น จากเรื่องราวของ Skype ทิ้งบทเรียนสำคัญหลายอย่างเกี่ยวกับนวัตกรรม การแข่งขันและการปรับตัวในโลกของเทคโนโลยี 

  • การเป็นผู้บุกเบิกไม่เพียงพอ หากขาดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แม้ Skype จะเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มแรก ๆ ที่ปฏิวัติการสื่อสารออนไลน์ แต่การขาดนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องทำให้แพลตฟอร์มใหม่ เช่น Zoom และ Microsoft Teams สามารถแซงหน้าได้ หากไม่มีการพัฒนาให้สอดรับกับแนวโน้มของตลาด ภูมิทัศน์ของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ทั้งยุคสมาร์ทโฟนและการเกิดขึ้นของแพลตฟอร์มดิจิทัล 
  • เทคโนโลยีต้องตอบสนองต่อพฤติกรรมผู้ใช้ที่เปลี่ยนแปลง ปัจจุบัน ประสิทธิภาพในการทำงานและการสื่อสารไม่ได้ขึ้นอยู่กับวิดีโอคอลเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการผสานการทำงานที่ราบรื่นและเครื่องมือการทำงานร่วมกันที่พัฒนาไปไกลกว่าเดิม ดังนั้นผู้ใช้ต้องการมากกว่าการโทรผ่านวิดีโอ แต่ยังต้องการเครื่องมือทำงานร่วมกัน (Collaboration tools), ระบบแชทในตัว และการผสานรวมกับแอปพลิเคชันอื่น ๆ และมากไปกว่านั้นยังต้องใช้ง่ายอีกด้วย ซึ่ง Skype ไม่สามารถตอบโจทย์นี้ได้ดีเท่าคู่แข่ง
  • กลยุทธ์ของบริษัทแม่มีผลต่อทิศทางผลิตภัณฑ์ ทั้ง eBay และ Microsoft สะท้อนให้เห็นทิศทางจากบริษัทแม่ที่ส่งผลต่อบริษัทที่เข้าซื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจาก Microsoft ซื้อกิจการ Skype ในปี 2011 บริษัทเลือกให้ความสำคัญกับ Microsoft Teams แทน Skype ซึ่งส่งผลให้ Skype ค่อย ๆ ถูกลดบทบาทลง แม้ว่ากลยุทธ์ของ Microsoft จะช่วยให้ Skype เติบโตและมีฐานผู้ใช้เพิ่มขึ้นในช่วงแรก

เรื่องราวของ Skype เป็นเครื่องเตือนใจว่า การเป็นผู้ริเริ่มตลาดไม่ใช่หลักประกันของความสำเร็จในระยะยาว หากไม่สามารถปรับตัวให้ทันต่อความต้องการของผู้ใช้และการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

“เราได้เรียนรู้มากมายจาก Skype ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราได้นำไปใช้ใน Teams ขณะที่เราได้พัฒนาทีมต่างๆ ในช่วงเจ็ดถึงแปดปีที่ผ่านมา ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมแล้ว ลูกค้าของเราได้ใช้บริการที่เรียบง่ายขึ้นได้ และเราสามารถส่งมอบนวัตกรรมใหม่ๆ ได้เร็วขึ้นเพียงแค่มุ่งเน้นไปที่ Teams” Jeff Teper ประธานของแอปและแพลตฟอร์มการทำงานร่วมกันของ Microsoft 365 กล่าวในบทสัมภาษณ์กับ CNBC

ปัจจุบัน Microsoft ตัดสินใจที่จะยุติการให้บริการ Skype อย่างสมบูรณ์ภายในเดือนพฤษภาคม 2025 โดยเปลี่ยนผู้ใช้ไปใช้ Teams โดยผู้ใช้สามารถลงชื่อเข้าใช้ Teams ด้วยข้อมูลประจำตัว Skype โดยรายชื่อติดต่อและการแชทของ Skype จะถูกโอนย้ายไปยังบัญชีอื่นโดยอัตโนมัติ

อ้างอิงข้อมูลจาก Microsoft, CNBCBloomberg  BritannicaMarketwatch 

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -   


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ