ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาในโลกเทคโนโลยีเต็มไปด้วยความท้าทายและการแข่งขันที่เข้มข้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราได้เห็นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีนหลายรายที่พยายามบุกตลาดสหรัฐฯ แต่ละยุคสมัยมีตัวละครสำคัญที่สร้างปรากฏการณ์และความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Huawei ในยุค 5G จนมาถึง TikTok ในยุคโซเชียลมีเดีย ที่แต่ละรายต้องเผชิญกับความท้าทายและอุปสรรคที่คล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะประเด็นด้านความมั่นคงของชาติที่สหรัฐฯ มักหยิบยกขึ้นมาเป็นข้อกังวลสำคัญ และล่าสุดกับ DeepSeek ในยุค AI ที่กำลังถกเถียงกันในหลายประเด็น
บทความนี้ Thairath Money จะพาไปย้อนดูกันว่า แต่ละยุคที่ผ่านมา มีบิ๊กเทคของจีนเจ้าใหญ่ที่เข้าไปเขย่าบัลลังก์ของตลาดสหรัฐฯ แล้วบ้าง และแต่ละครั้งสหรัฐฯ รับมือกับการแข่งขันนี้อย่างไร?
ก่อนจะเล่าเส้นทางในสหรัฐอเมริกา ต้องพาย้อนกลับไปปี 1987 ที่ Huawei เกิดขึ้นจากการก่อตั้งของ Ren Zhengfei (เหริน เจิ้งเฟย) อดีตวิศวกรกองทัพปลดแอกประชาชน (People’s Liberation) และบริษัทก็เติบโตขึ้นจนกลายเป็นผู้ให้บริการอุปกรณ์โทรคมนาคมรายใหญ่ของโลก ทำเงินได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
จน Huawei ที่มีอายุได้ 14 ปีก็เริ่มขยายไปสู่สหรัฐอเมริกาในปี 2001 โดยในช่วงแรกจะทำการตลาดในด้านอุปกรณ์เครือข่ายและโทรคมนาคม แม้ในช่วงแรกจะรุ่งเรือง ธุรกิจเติบโตได้ดี แต่ก็ต้องเผชิญกับปัญหา เพราะในปี 2003 บริษัท Cisco ผู้ผลิตเราเตอร์ได้ทำการฟ้อง Huawei ในข้อหาละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา โดยอ้างว่าซอร์สโค้ดของตนปรากฏอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ Huawei ต่อมาบริษัทได้ยกเลิกการฟ้องร้องในคดีความดังกล่าว
และต่อมาการจะขยับตัวของ Huawei ก็เริ่มทำได้ยากขึ้นเมื่อถูกโยงไปถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน แม้ในปี 2018 ทาง Huawei จะขึ้นแท่นเป็นผู้จำหน่ายสมาร์ทโฟนรายใหญ่อันดับ 2 แซงหน้า Apple แต่ด้วยข้อครหา ทำให้ต้องเสียพันธมิตรทางการค้าและธุรกิจไปหลายเจ้า ทั้ง AT&T, Google ตลอดจนถูกถอด Android ออกจากระบบปฏิบัติการของค่าย
ความตึงเครียดทางการเมืองต่อการดำเนินงานของ Huawei เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยทางหน่วยงานรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ ได้ทำการกดดัน เพราะกังวลว่า Huawei จะมีบทบาทในการพัฒนาเทคโนโลยี 5G และเป็นภัยคุกคามด้านกลยุทธ์ของสหรัฐฯ
จนกระทั่งในปี 2019 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งห้าม Huawei ทำธุรกิจในสหรัฐฯ ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ พร้อมอ้างว่า Huawei อาจเป็นเครื่องมือในการสอดแนมข้อมูลของประชาชนและรัฐบาลสหรัฐฯ และเพื่อป้องกันภัยคุกคามจากการสื่อสารโทรคมนาคมที่อาจส่งผลต่อความมั่นคงของชาติ จึงสั่งห้ามบริษัทโทรคมนาคมสหรัฐฯ ใช้อุปกรณ์จาก “ศัตรูต่างชาติ”
แทบจะไม่แตกต่างกับ Huawei เพราะประเด็นที่เรากำลังถกเถียงกันทุกวันนี้ว่าชะตากรรมของ TikTok จะเป็นอย่างไรต่อไป ก็มีจุดเริ่มต้นมาจาก “ปัญหาเรื่องความมั่นคงของชาติ” ในความสัมพันธ์แบบลิ้นกับฟันของสหรัฐอเมริกาและจีน
ย้อนกลับไป TikTok เปิดตัวออกมาในปี 2016 โดยบริษัท ByteDance จากจีนก็เร่งขยายออกนอกประเทศตัวเองอย่างหนัก ก่อนที่ปี 2017 จะเข้าซื้อกิจการของ Musical.ly และเริ่มเข้าสู่สหรัฐฯ ส่งผลให้ TikTok กลายเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วในหมู่วัยรุ่นจากเทรนด์คอนเทนต์ต่าง ๆ ที่เป็นไวรัล อาทิ การเต้นตามเพลงท่าที่กำลังฮิต หรือการตามรอยร้านอาหารที่เป็นกระแส
หลังจากนั้นไม่นาน TikTok ก็ได้รับความนิยมอย่างก้าวกระโดดจนฉุดไม่อยู่ทั้งในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ อีกมากมาย กลายเป็นแพลตฟอร์มจีนเจ้าแรกที่รุกตลาดตะวันตกอย่างจริงจัง และช่วงเวลาที่ทำให้ TikTok ประสบความสำเร็จมากที่สุดคือช่วงของการระบาดของโควิด-19 ในช่วงล็อกดาวน์ที่ทำให้ผู้คนหันมาทำกิจกรรมออนไลน์มากขึ้น จนโซเชียลมีเดียเจ้าอื่นต้องกระโดดมางับเทรนด์วิดีโอสั้น
แต่ความสำเร็จของ TikTok กลับตามมาด้วยข้อกังวลด้านความมั่นคงของชาติ จากข้อกฎหมายในจีนที่กำหนดให้บริษัทต้องส่งมอบข้อมูลที่รัฐบาลขอ ทำให้ในปี 2024 ทางรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ออกกฎหมายที่กดดันให้ ByteDance ต้องขายกิจการ TikTok ในสหรัฐฯ ให้กับบริษัทของสหรัฐฯ ภายในเส้นตายปี 2025 หากไม่ทำตามจะถูกแบนจากตลาดสหรัฐฯ ซึ่งก็เกิดขึ้นจริง ๆ เพราะในวันที่ 19 มกราคม 2025 ที่ผ่านมา TikTok ได้ระงับการใช้งานไปช่วงหนึ่ง ก่อนที่จะปลดให้ใช้ได้ตามปกติในไม่กี่ชั่วโมงต่อมา
ซึ่งเหตุผลที่ถูกแบนในสหรัฐฯ นั้นเป็นเพราะรัฐบาลในสมัยโจ ไบเดนเกิดจากความกังวลเรื่องความมั่นคงของชาติ เพราะ ByteDance อาจต้องเปิดเผยข้อมูลผู้ใช้ TikTok ในสหรัฐฯ ให้กับรัฐบาลจีน หากเกิดกรณีที่ทางจีนบังคับให้ทำ พร้อมกับระบุว่าการเสพติด TikTok เป็นเรื่องน่ากังวลเพราะมีเกี่ยวกับความปลอดภัยบนแอปฯ ต่อผู้เสพสื่อทั้งผู้ใหญ่ และผู้เยาว์
และจากคำสัญญาของประธานาธิบดีคนปัจจุบัน โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ได้ขยายเวลาให้ TikTok ได้เตรียมการและตัดสินใจกับชะตากรรมของตัวเองเป็นเวลา 75 วัน อย่างไรเราก็ต้องมารอติดตามกันต่อว่า TikTok จะยอมขายกิจการตัวเองเพื่อดำเนินงานต่อในสหรัฐอเมริกาไหม
เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ได้มีการเปิดตัวเครื่องมือ AI ตัวใหม่ที่สร้างผลกระทบอย่างมากต่อโลกเทคโนโลยีและตลาดสหรัฐฯ นั่นก็คือ การเข้ามาของ DeepSeek แชทบอท AI น้องใหม่จากประเทศจีนที่ใช้เวลาไม่นานก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว จนขึ้นเป็นแอปพลิเคชันฟรีที่มียอดดาวน์โหลดสูงสุดบน iOS ของสหรัฐอเมริกา แซงหน้า ChatGPT ของ OpenAI ได้ในเวลาอันสั้น
ประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาถกกันให้หนาหูคือเรื่องที่ DeepSeek มีนวัตกรรมที่คล้ายคลึงกับ ChatGPT แต่มีการใช้ต้นทุนในการพัฒนาที่ต่ำกว่ามาก ด้วยงบประมาณเพียง 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่เจ้าอื่นต้องใช้ทุนหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ความสำเร็จนี้ ส่งผลให้โลกผู้พัฒนา AI ต้องสั่นสะเทือนจากความเชื่อที่ว่า “งบประมาณที่เยอะ และชิปชั้นนำที่ดี จะช่วยสร้าง AI ที่แข็งแกร่ง” แต่ทาง DeepSeek กลับใช้งบน้อยกว่า และชิปที่ใช้เป็นรุ่นที่เป็นรองกว่าที่ผู้พัฒนาในสหรัฐอเมริกาใช้ จึงเกิดการตั้งคำถามว่าทุกวันนี้เงินลงทุนที่ใส่เข้าไปนั้นมันเหมาะสมแล้วจริงหรือไม่
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ผลกระทบจากการเปิดตัวของ DeepSeek ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงอย่างน่าใจหาย โดยเฉพาะหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐฯ อย่าง Nvidia ที่ต้องสูญเสียไปเกือบ 600,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในวันเดียว ส่งผลให้ร่วงจากตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ตกไปเป็นลำดับที่ 3 รองจาก Apple และ Microsoft ภายในชั่วข้ามคืน
แม้ว่า DeepSeek ผลกระทบต่อหุ้น และบั่นทอนความเชื่อมั่นเกี่ยวกับของดีที่ต้องมาพร้อมกับต้นทุนราคาแพง แต่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ให้ความเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้ว่าการพัฒนา AI ของจีนอาจเป็นภัยคุกคามสำหรับสหรัฐฯ แต่ก็เป็นแง่บวกที่อาจกระตุ้นให้สหรัฐฯ พัฒนานวัตกรรมในอุตสาหกรรมนี้มากขึ้นก็ได้
ด้านโดนัลด์ ทรัมป์ยังได้ออกมากล่าวด้วยว่า “ถ้าคุณสามารถทำมันได้ถูกลง ถ้าคุณสามารถทำมันได้น้อยลง แล้วได้ผลลัพธ์เท่าเดิม ผมคิดว่ามันคือสิ่งที่ดีสำหรับพวกเรานะ”
ซึ่งก็ยังต้องรอติดตามกันต่อไปว่า ท้ายที่สุดแล้วสหรัฐอเมริกาจะปรับตัวในเรื่องการพัฒนา AI อย่างไรต่อไป? จะหันมาพิจารณาเรื่องต้นทุนหรือไม่? หรือยุค AI นี้จะเกิดฟองสบู่ขึ้นจริง? หรือจะเอาอย่างไรต่อไปกับอนาคต DeepSeek ในบ้านตัวเอง?
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney
การเก็บรวบรวมข้อมูลนี้นำไปใช้เพื่อ กิจกรรมทางการตลาดโดย ยึดหลัก ปฏิบัติตามนโยบายคุ้มครองข้อมูล ส่วนบุคคล