จากยักษ์ใหญ่ด้านชิป ผู้ผลิตโปรเซสเซอร์สำหรับพีซีและแล็ปท็อปรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ปัจจุบัน Intel ถูกลิสต์เป็นหนึ่งในหุ้นเทคโนโลยีที่มีผลงานแย่ที่สุดของ S&P 500 ในปีนี้ เมื่อแผนฟื้นคืนธุรกิจเป็นไปอย่างล่าช้าและยังไม่มีทีท่าว่า Intel จะก้าวทันยุค AI ในปัจจุบันจะสำเร็จเร็ววัน มากไปกว่านั้น Pat Gelsinger อดีตซีอีโอคนล่าสุดก็ได้ก้าวลงจากตำแหน่งเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา หลังความพยายามในการฟื้นคืนธุรกิจไม่มีความคืบหน้าดั่งหวัง
มูลค่าหุ้น Intel Corporation (INTC) ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายทศวรรษ 50 ปีหลังบริษัทเผชิญความท้าทายด้านต่าง ๆ ตั้งแต่การประกาศผลประกอบการไตรมาสสองของปี 2024 ซึ่งขาดทุนสุทธิหนักกว่า 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดของตลาดชิปของคู่แข่งรายใหญ่ Intel พยายามอย่างหนักในการจัดการปัญหาที่สะสมมาหลายสิบปี ทั้งการปรับโมเดลธุรกิจเพื่อแยกส่วนธุรกิจชิป การปรับโครงสร้างค่าใช้จ่ายใหม่เพื่อลดต้นทุน ต่อเนื่องด้วยการเลิกจ้างพนักงานกว่า 15,000 คนหรือราว 15% ซึ่งนับเป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 50 ปี
ปฏิเสธไม่ได้ว่า Intel กำลังตกอยู่ในช่วงยากลำบาก เพราะยังไม่สามารถทำเงินจากชิป AI ได้ในขณะนี้และดูเหมือนว่ายังเป็นการยากของ Intel ที่จะปิดช่องว่างด้านเทคโนโลยีที่ปรับตัวล่าช้าในช่วงกว่าทศวรรษจนถึงปัจจุบัน ท่ามกลางแรงกดดันจากคู่แข่งที่มีความโดดเด่นอย่าง Nvidia และ AMD ที่จะยิ่งสูญเสียส่วนแบ่งการตลาด
แม้ว่า Intel ยังไม่มีความเสี่ยงที่จะล้มละลาย เพราะบริษัทยังคงมีรายรับหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามเป็นความจริงที่ว่า Intel ไม่ใช่ผู้เล่นที่ครองตลาดในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อีกต่อไป
ปัจจุบันหุ้นของ Intel ลดลงเกือบ 60% ในปี 2024 ฉุดมูลค่าตลาดลดลงเหลือราว 8.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น มีขนาดเล็กกว่าบรรดาคู่แข่ง Nvidia, Qualcomm, Broadcom และ AMD ดูเหมือนว่าสถานการณ์ที่ดีที่สุดในตอนนี้สำหรับ Intel จะเป็นการรักษาส่วนแบ่งการตลาดเอาไว้ เนื่องจากยุคที่ Intel ครองตลาดได้ผ่านพ้นไปนานแล้ว...
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -