Thairath OnlineThairath PlusThairath SportThairath TVMIRROR
InvestmentPersonal FinanceEconomicsBusiness & MarketingTech & InnovationSustainabilityExperts PoolVideosPR News
ความฉลาดแบบ Apple ไม่ใช้ AI เพื่อโฆษณา แม้ ‘ช้า’ แต่ ‘ใช่’ เบื้องหลังความยิ่งใหญ่เจ้านวัตกรรมโลก

Tech & Innovation

Tech Companies

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

ความฉลาดแบบ Apple ไม่ใช้ AI เพื่อโฆษณา แม้ ‘ช้า’ แต่ ‘ใช่’ เบื้องหลังความยิ่งใหญ่เจ้านวัตกรรมโลก

Date Time: 20 มิ.ย. 2567 15:17 น.

Video

"SIRIVANNAVARI" เส้นทางพาแบรนด์ไทยไปเวทีโลก | Brand Story Exclusive EP.2

Summary

  • Apple เผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ Generative AI สั่นคลอน Apple ฐานะเจ้าแห่งนวัตกรรมโลก อีกทั้งยังมีต้องต่อสู้มากกว่าเรื่อง AI จนกระทั่งเปิดตัว Apple Intelligence ที่เป็นมากกว่าแค่เครื่องมือใหม่ แต่มันคือ ความฉลาดแบบ Apple ในบทความนี้เราจะพาไปประมวลเหตุการณ์ที่ผ่านมาและถอดกลยุทธ์การวางตัวเหนือชั้นของ Apple

Latest


Apple เผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ท่ามกลางคำถามเรื่องความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่ดูจะล้าหลังคู่แข่งอย่าง Microsoft และ Nvidia  อีกทั้งนักลงทุนยังต้องผิดหวังจากการปิดตัวลงของโครงการ Apple Car จนทำให้ต้องปรับหัวเรือใหม่มาที่รุกสนาม Generative AI ซึ่งช้ากว่าบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ อย่างมาก แต่แล้ว Apple ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งอีกครั้งด้วยการเปิดตัว "Apple Intelligence" เทคโนโลยี AI ในแบบฉบับของ Apple ที่สร้างความเชื่อกลับมาได้อีกครั้ง 

Generative AI สั่นคลอน Apple ฐานะเจ้าแห่งนวัตกรรมโลก

Apple บริษัทเทคโนโลยีผู้อยู่เบื้องหลังนวัตกรรมเปลี่ยนโลกมาอย่างยาวนาน ขึ้นแท่นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในโลก มาตั้งแต่ปี 2011 ซึ่งเป็นธุรกิจเทคโนโลยีที่แซงหน้า Exxon Mobil บริษัทพลังงานมูลค่ามากที่สุดในโลกขณะนั้น ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญว่า โลกหลังจากนี้คือ “ยุคของธุรกิจเทคโนโลยี” โดยแท้จริง 

ที่ผ่านมาตลอดระยะมากกว่า 10 ปี สถานะของ Apple แทบจะไม่สั่นคลอนในฐานะผู้นำนวัตกรรมเลย แต่แล้วมันก็ได้ถูกสั่นคลอน เมื่อทั้งโลกได้รู้จักกับ Generative AI และเทคโนโลยีใหม่นี้เองที่ได้ทำให้ Microsoft ผงาดขึ้นมาอีกครั้ง จากการเป็นสปอนเซอร์หลักให้กับ OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT ที่ทำให้ผู้คนทั้งโลกแตกตื่นกับการเข้ามาของ AI ที่อาจเปลี่ยนชีวิต วิธีคิด และการทำงานไปตลอกกาล 

นอกจากนี้ Generative AI ไม่เพียงแต่พลิกเกมให้กับ Microsoft เท่านั้น แต่ยังมี Nvidia ผู้ผลิตชิปประมวลผล เติบโตอย่างรวดเร็ว จนล่าสุดได้ขึ้นแท่นบริษัทที่มูลค่ามากที่สุดในโลกไปเป็นที่เรียบร้อย เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน ที่ผ่านมา จากการที่นักลงทุนและถนนทุกสายทั่วโลกต่างมุ่งหน้าสู่ AI และสิ่งที่ Nvidia ทำนั้น คือ หัวใจของมัน

จากเรื่อง Generative AI ที่ได้เอ่ยถึงไปนั้น หากย้อนกลับมาที่ Apple เรากลับไม่เห็นการประกาศพัฒนาการใดๆ ของบริษัทที่จะโหนกระแสไปกับมันเลย ดังนั้นชื่อของ Apple ในฐานะเจ้านวัตกรรมจึงถูกสั่นคลอนด้วยชื่อของบริษัทเทคโนโลยีอื่นแทน โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาราคาหุ้นของ Apple กลับเติบโตขึ้นเพียงแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ Microsoft และ Nvidia นั้นกลับเติบโตก้าวกระโดด และสร้างผลตอบแทนอย่างมหาศาลให้กับนักลงทุน 

อุปสรรคที่มากกว่าเรื่อง AI ที่ Apple ต้องต่อสู้

มิหนำซ้ำ Apple ยังต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งเรื่องยอดขายที่ลดลงอย่างรุนแรง จากการถูกกีดกันการใช้งานผลิตภัณฑ์โดยรัฐบาลจีน การช่วงชิงพื้นที่ของคู่แข่งคนสำคัญอย่าง Huawei ส่งผลให้จุดยืนของ Apple ในตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่สุดนั้นกำลังเต็มไปด้วยอุปสรรค 

นอกจากนี้เปิดปีมาต้องจำใจประกาศความล้มเหลวของ Apple Car อุตส่าห์ทุ่มแรงกายแรงใจ และทุนทรัพย์ไปเป็น 10 ปี โดยโปรเจกต์สุดลึกลับนี้ต้องปิดฉากลง เมื่อวันที่ 28 ก.พ. ที่ผ่านมา

เมื่อความทะเยอทะยานกว่าหลายปีสิ้นสุดลงแล้ว Apple ได้เปลี่ยนความสนใจจากยานยนต์ไฟฟ้าที่เคยมองว่าอาจจะสร้างผลประโยชน์มหาศาลให้กับธุรกิจไปรุกสนาม Generative AI แต่กว่าที่จะรู้ตัวว่ากำลังตามคู่แข่งไม่ทันนั้นก็เริ่มสาย เพราะเทคโนโลยีไปไวมาก ทำให้ถ้าเกิดจะต้องพัฒนาเองเกรงว่าจะไม่ทันใช้ เพราะคู่แข่งอย่าง Samsung ก็เปิดตัว Galaxy AI ไปก่อน แถมได้รับการตอบรับที่ดีมาก

ดังนั้นตั้งแต่ Apple หันหัวเรือใหม่มาที่ Generative AI ทาง ทิม คุก ผู้เป็นซีอีโอเดินสายเจรจาผู้พัฒนา AI หลักๆ เพื่อนำเทคโนโลยีมาใช้แทนการพัฒนาเอง แต่จริงๆ แล้วต้องบอกว่า Apple ไม่ได้ตกขบวนนี้ไปเสียทีเดียว เพราะเดิมทีผลิตภัณฑ์หลายอย่างขับเคลื่อนด้วย AI-Powered มาหลายปีแล้ว แต่ Apple มักจะเลี่ยงคำว่า AI เพื่อการโฆษณาต่างหาก 

ความกดดันจากนักลงทุนถาโถมสู่ Apple ที่ถูกจับตาอย่างในงาน WWDC24 ว่าครั้งนี้จะเห็น AI จาก Apple หรือไม่ การมี AI แบบไม่ตะโกนของ Apple นั้น ถ้าเทียบกับความก้าวหน้า อย่าง Siri กับเหล่าแชตบอต AI ที่ Microsoft  OpenAI และ Anthropic ผลักดันออกมานั้นถือว่าตามหลังมาก และในสมรภูมินี้แม้ว่า Apple จะทำชิปใช้เอง แต่มันก็ไม่ได้เป็นแบบ Nvidia ที่ขายชิปทรงพลังให้กับบริษัทคลาวด์ที่ให้บริการ AI ทั่วโลก 

Apple Intelligence มากกว่าแค่เครื่องมือใหม่ แต่มันคือ ความฉลาดแบบ Apple 

และแล้ว WWDC24 ก็ถือว่านักลงทุนไม่ผิดหวัง ถึงเวลาของ Generative AI สักที ซึ่งไม่ใช่ Artificial Intelligence แต่เป็น “Apple Intelligence” เครื่องมือใหม่ที่จะมาเป็นส่วนหนึ่งบนระบบปฏิบัติการของ Apple ซึ่งจะต่างจากค่ายอื่นๆ ตรงที่ Apple จะเน้นไปที่เรื่องของ ความเป็นส่วนตัว (Privacy) และ การปรับแต่งส่วนบุคคล (Personalization) 

นอกจากนี้ยังมีไปจับมือกับ OpenAI เปิดตัว ChatGPT บน Siri ที่จะถามความยินยอมของผู้ใช้ก่อน และไม่จำเป็นที่จะต้อง Log in เพื่อเข้าใช้งาน ChatGPT พร้อมยืนยันว่าจะไม่มีการเก็บหรือบันทึกข้อมูลใดๆ เพื่อยังคงรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ไว้ได้มากที่สุด ซึ่งดีลนี้เป็นการทำข้อตกลงอย่างชาญฉลาด เพราะ Apple ไม่ได้จ่ายเงิน เพราะแลกกับการที่ OpenAI จะสามารถผลักดันแบรนด์และเทคโนโลยีของ OpenAI ไปยังอุปกรณ์หลายร้อยล้านเครื่อง ซึ่งมีมูลค่าเท่าเทียมหรือมากกว่าเงินที่ต้องจ่ายเสียอีก

แถมอาจจะได้ค่าคอมฯ เพิ่ม หากผู้ใช้มีการเลือก Apple เองยังจะได้ค่าคอมมิชชันเพิ่ม หากผู้ใช้ถูกใจและจ่ายเงินให้ OpenAI ผ่าน อุปกรณ์ของ Apple 

ขณะที่ความพึงพอใจของนักลงทุน วันแรกที่เปิดตัว Apple Intelligence นั้นหุ้นร่วงเล็กน้อย แต่พอวันต่อมา ต้องบอกว่าอานุภาพแห่ง AI จริงๆ ราคาหุ้น Apple ทำ All time High จนทำให้ Apple ทวงคืนบัลลังก์บริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่ามากที่สุดได้อีกครั้ง 

เพราะนักวิเคราะห์มองว่า Apple Intelligence จะดึงดูดให้ผู้คนซื้ออุปกรณ์ของ Apple เพิ่มขึ้นเพื่ออัปเกรดอุปกรณ์ของตนเอง และมากไปกว่านั้นจะยิ่งเร่ง “วงจรการเปลี่ยนอุปกรณ์” ใหม่เร็วขึ้นกว่าเดิมเช่นกัน 

4 กลยุทธ์วางตัวเหนือชั้นของ Apple 

ศึกรอบด้านที่ Apple เจอก่อนหน้านี้ที่ได้เล่าไปนั้น ไม่ใช่ครั้งแรกที่ดูเหมือนจะกลายเป็นบริษัทที่ล้าหลังในเรื่องเทคโนโลยี เพราะเมื่อช่วงปี 2000 Apple ก็เคยเจอสถานการณ์แบบนี้แล้วเช่นกัน แต่ก็สามารถพลิกเกมจนขึ้นมาเป็น Game Changer แห่งยุคได้ และนี่คือ 4 กลยุทธ์สำคัญ ที่ทำให้ Apple ยังคงเป็น Apple อยู่วันยังค่ำ!

1. มุ่งไปที่ตลาดใหม่ๆ ที่กำลังเติบโต

Apple พัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับตลาดเกิดใหม่ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งในปี 1976 สิ่งเหล่านี้คือ การสร้างนวัตกรรม เพราะตอนนั้นโน้ตบุ๊กยังเป็นตลาดใหม่ Apple โฟกัสที่ตลาดใหม่ที่มีการแข่งขันน้อย เวลา Apple พัฒนาอะไร มักไม่ใช่รายแรกที่ทำ แต่แทบจะเป็นรายแรกที่ทำได้ “ใช้” จนผลิตภัณฑ์นั้นกลายเป็นกระแสหลัก

ตัวอย่างเช่น iPod มันไม่ใช่เครื่องเล่น mp3 พกพาเครื่องแรก แต่เป็นเครื่องแรกที่ออกแบบมาอย่างชาญฉลาดและมีการตลาดที่ดี

ขณะที่ Macbook เราก็ไม่ได้เรียกว่า Laptop ส่วน iPhone ก็ไม่ได้เรียกสมาร์ทโฟน iPad ก็ไม่ใช่ Tablet ทั้งหมดนี้ Apple ครองตลาดเหล่านี้ที่ปัจจุบันพัฒนาอย่างดีและมีกำไรสูง จนกระทั่งมาถึง AI ที่ไม่ใช่ Artificial Intelligence แต่เป็น Apple Intelligence

2. สร้างรายได้ประจำ

ความมั่งคั่งของ Apple นั้น ไม่ได้มาจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ครั้งใหญ่ครั้งเดียว แต่มาจากแหล่งรายได้ที่ทำกำไรทุกเดือน ซึ่งต้องบอกว่าเรื่องนี้ไม่มีใครเก่งไปกว่า Apple แล้วตั้งแต่ iTunes ในปี 2001, App Store ในปี 2008 และการขายแพ็กเกจ iCloud ทำให้ Apple ทำเงินเป็นกอบเป็นกำต่อปี  

3. ยึดมั่นในจุดยืนความแพง

Apple ไม่เคยเสนอผลิตภัณฑ์ราคาถูก เหมือนกับที่คู่แข่งพยายามทำด้วยการมอบคุณค่าที่ดีที่สุด ในราคาที่ถูกที่สุด แต่ Apple ยังคงวางตำแหน่งเหนือกว่า เพราะเป้าหมายคือการทำให้ผลิตภัณฑ์ของพวกเขาถูกมองว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ดังนั้นการมีสินค้า Apple เป็นการแสดงถึงฐานะทางการเงินที่ดีพอจะซื้ออุปกรณ์ไอทีราคาสูงได้

4. สร้างแบรนด์อย่างมีศิลปะ 

แบรนด์ Apple ถูกพัฒนาอย่างมีศิลปะมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง สโลแกนเดิมอย่าง "Think Different" ไม่ได้ขายเพียงแค่คอมพิวเตอร์ แต่ขาย Culture ด้วย ทั้งเรื่องของการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ผลิตภัณฑ์ Apple ทุกชิ้นมีรูปลักษณ์เฉพาะตัวที่หรูหรา เรียบง่าย และมีสไตล์ จนกลายเป็นบริษัทที่น่าชื่นชมที่สุดในโลกหลายปีซ้อน

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney


อ้างอิง bloomberg, CNBC , bloomberg2 ,reuters ,CNN , CNBC2 , incomediary 




Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการไทยรัฐออนไลน์