ARM บริษัทผู้ออกแบบชิปจากอังกฤษ ผู้สร้างและพัฒนาสถาปัตยกรรมชิปเซตยุคบุกเบิกที่ถือเป็นหัวใจและมันสมองของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก ประกาศผลดำเนินการไตรมาสล่าสุดที่ดีเกินคาด หลังบิ๊กเทคแห่กันพัฒนา AI รองรับการใช้งานทั่วโลก ดันหุ้นบริษัทพุ่งขึ้นสูงถึง 48% อยู่ที่ 113.89 ดอลลาร์สหรัฐ และทำให้มูลค่าตลาดในปัจจุบันเพิ่มขึ้นทะลุ 116 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะเดียวกันยังดันให้หุ้น SoftBank ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุดโดยถือหุ้นอยู่ 90%ใน ARM นั้นเพิ่มขึ้น 11% ในการซื้อขายก่อนปิดบวกเมื่อวันพฤหัสบดี (8 ก.พ.) ที่ระดับสูงสุดในรอบเกือบสามปีนับตั้งแต่ปี 2564
สำหรับไตรมาสนี้ ARM ทำรายได้ไป 824 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อนหน้า กำไรสุทธิอยู่ที่ 87 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 29 เซนต์ต่อหุ้น ซึ่งเกินความคาดหวังของนักวิเคราะห์ โดยมีผลจากความต้องการใช้งาน AI ที่เพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้รายได้หลักมาจากค่าลิขสิทธิ์และใบอนุญาตการใช้งานสถาปัตยกรรมชิปที่เพิ่มขึ้น 11% ต่อปีเป็น 470 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมียอดการจัดส่งชิปถึง 7.7 พันล้านชิปในช่วงไตรมาสเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา โดยมีการระบุถึงลูกค้ารายใหญ่ที่กำลังลงทุนอย่างหนักใน AI ได้แก่ Google, Microsoft และ Nvidia ซึ่งกลายเป็นจุดแข็งของ ARM ซึ่งมีรูปแบบธุรกิจที่แตกต่างจากผู้เล่นรายอื่นในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
บริษัทระบุว่า การเพิ่มขึ้นของผลประกอบการครั้งนี้เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของตลาดสมาร์ทโฟน โดย 35% ของหน่วยในไตรมาสนี้เป็นการใช้งานสมาร์ทโฟน อุตสาหกรรมยานยนต์และการเติบโตของผู้ให้บริการคลาวด์ โดยส่วนแบ่งที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าในแต่ละไตรมาส คือ กลุ่มฮาร์ดแวร์ที่ออกแบบเพื่อเร่งปริมาณงาน AI โดยเฉพาะ
นอกจากนี้ บริษัทหลายแห่งยังให้ ARM ออกแบบ CPU ของตนเพื่อใช้สำหรับงานด้าน AI ซึ่งทำให้บริษัทสามารถเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใบอนุญาตที่สูงขึ้นสำหรับการออกแบบขั้นสูง และยังระบุว่า “แอปพลิเคชัน AI ที่มีความต้องการมากที่สุดในตอนนี้ล้วนแล้วแต่ทำงานอยู่บนการสถาปัตยกรรมชิปของ ARM” นอกจากนี้ยังได้การคาดการณ์ยอดขายถึง 850-900 ล้านดอลลาร์ และกำไรที่เพิ่มมากขึ้น 38% สำหรับไตรมาสปัจจุบันอีกด้วย
ด้าน SoftBank ที่ได้มีการแถลงการณ์ประจำปีประกาศถึงการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของกองทุน Vision Fund เนื่องจากการฟื้นตัวของมูลค่าของบริษัทเทคโนโลยี ได้รับกำไรจากการลงทุน 600.7 พันล้านเยน หรือราว 4.02 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2564
โดยก่อนหน้านี้กองทุนดังกล่าวขาดทุนสูงเป็นประวัติการณ์ประมาณ 6.2 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ 2 ปี 2566 ท่ามกลางราคาหุ้นเทคโนโลยีที่ตกต่ำและการเดิมพันทางธุรกิจบางส่วนในจีน รวมถึงผลขาดทุนสะสมที่สูงถึง 14 พันล้านดอลลาร์ จากการเดิมพันใน WeWork สตาร์ทอัพผู้ให้บริการให้เช่าพื้นที่สำนักงานที่กลายเป็นข่าวฉาวในช่วงที่ผ่านมา
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney