ดูเหมือนว่ากระแสการปลดคนตลอดช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมาจะยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ถูกจับตา เพราะการปลดคนในครั้งนี้มีความแตกต่างไปจากเดิม แม้เกิดการเลย์ออฟอย่างต่อเนื่องภายในสัปดาห์เดียวเกือบหมื่นตำแหน่ง แต่หุ้นในภาคเทคโนโลยีกลับพุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ทุกๆ เดือนมกราคม จะเป็นเดือนที่หลายฝ่ายต่างจับตาความเคลื่อนไหวของบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ออกมาประกาศผลดำเนินการ หรือการปรับลดหรือเพิ่มเติมธุรกิจในปีงบประมาณใหม่นี้อย่างไรบ้าง โดยเฉพาะการประกาศเลิกจ้างพนักงานบางส่วนออก ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการจัดสรรต้นทุนดำเนินการใหม่ๆ ตามวาระ
โดยเปิดมาเดือนแรก บริษัทเทคโนโลยีจากทั้งฝั่งจีนและสหรัฐฯ หลายแห่งก็ได้ประกาศปรับโครงสร้างไปตามๆ กัน นำโดยบิ๊กเทคทุกเจ้าไม่ว่าจะเป็น Amazon, Microsoft, Meta Google และเจ้าอื่นๆ ที่ยังประกาศปลดคนต่อเนื่อง จนกระทั่งสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ภายในสัปดาห์เดียวมีพนักงานถูกเลิกจ้างไปเกือบหมื่นตำแหน่ง
จากข้อมูลของเว็บไซต์ Layoffs.fyi เว็บไซต์ติดตามการเลย์ออฟของบริษัทเทคโนโลยี ระบุว่า ในเดือนมกราคมเพียงเดือนเดียวมีพนักงานที่ถูกเลิกจ้างจำนวนถึง 24,584 คน จากบริษัทเทคโนโลยี 93 แห่ง เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้วเกิดการเลิกจ้างสูงสุดถึง 90,000 ตำแหน่ง จากบริษัทเทคโนโลยี 277 แห่ง
แม้ตัวเลขเลย์ออฟจะยังดำเนินต่อไป แต่สิ่งที่สวนทางในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นั่นก็คือ การพุ่งขึ้นของขบวนหุ้นบิ๊กเทคในการซื้อขายทั่วไปครั้งล่าสุด จากอานิสงส์การใช้งาน AI ต่อเนื่องข้ามปี นำโดย Microsoft ขึ้นแท่นหุ้นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดใน Wall Street ถึงขั้นดันให้มูลค่าบริษัทแตะ 3 ล้านล้านดอลลาร์ 2 ครั้งภายในเดือนเดียว ด้าน Alphabet หรือบริษัทแม่ของ Google พุ่งขึ้นถึง 1.9% หรือ Meta ที่มีผลการดำเนินงานพุ่งสูงขึ้นเกือบ 200% จากปีที่แล้ว
ซึ่งเทรนด์การเติบโตในซีซั่นนี้ของภาคเทคโนโลยีได้รับความสนใจจากนักลงทุนที่ได้คาดหวังการรับผลกำไรที่ต่อเนื่องตลอดปี 67 จากการคาดการณ์ผลดำเนินการที่แข็งแกร่งต่อเนื่องติดกันสองไตรมาส ซึ่งดันให้มูลค่าบริษัทเทคโนโลยีสูงขึ้นเรื่อยๆ
โดยความแข็งแกร่งของตลาดในปีทีผ่านมา หลักๆ ได้รับแรงหนุนจาก “Magnificent 7” หรือ 7 หุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่ซึ่งจดทะเบียนในสหรัฐฯ ที่ครองแนวการลงทุน อย่าง Apple (AAPL), Amazon (AMZN), Alphabet (GOOGL), Nvidia (NVDA), Meta Platforms (META), Microsoft (MSFT) และ Tesla (TSLA) ที่ยกระดับผลตอบแทนทั้ง S&P 500 เพิ่มขึ้นมากกว่า 20% มีการซื้อขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ทั้งนี้สิ่งแตกต่างไปจากเดิม คือ ผลกระทบจากการเติบโตของเทคโนโลยี AI ในช่วงหนึ่งปีที่ผานมาได้รับการพิสูจน์ถึงศักยภาพและความสามารถในภาคธุรกิจทำให้ภาคธุรกิจมั่นใจมากขึ้นที่จะลงทุนเพิ่มในสิ่งๆ นี้ โดยในไตรมาสนี้บริษัทไม่เพียงแต่ลดต้นทุนการดำเนินงาน แต่บริษัทมีความต้องการเพิ่มประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีที่ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะ AI นั่นเอง
ผลกระทบของโมเดล AI ในวงกว้างกับการส่งผลกระทบต่อเรื่องการจ้างงาน เริ่มเป็นเรื่องที่สร้างความกังวลมากขึ้นอีกระดับ สอดคล้องกับการคาดการณ์ว่าการนำ AI มาใช้จะยิ่งนำไปสู่การลดจำนวนพนักงานในปีนี้ อีกทั้งการปลดคนจะยังดำเนินต่อไป เพื่อจัดสรรความสำคัญของภาคธุรกิจที่ชัดเจนในไดเรกชั่นมากยิ่งขึ้นจากปีก่อน
ดังที่เห็นจาก บริษัทเทคโนโลยีบางแห่งลดจำนวนพนักงานในบางส่วนของธุรกิจ เพื่อหันมาใช้เงินลงทุนอย่างหนักในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ AI หรือบางบริษัทลดจำนวนพนักงานในแผนกพัฒนาโปรดักต์บางอย่างที่เคยพัฒนามาก่อนหน้านี้ เพื่อมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโปรดักต์ด้าน AI
Tim Herbert ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยของ CompTIAo กล่าวว่า นักลงทุนมองแง่ดีสำหรับประกาศผลดำเนินการของบิ๊กเทคที่กำลังต่อคิวประกาศในช่วงต้นเดือน พร้อมทั้งแนวโน้มการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ฟื้นตัวในหลายภาคส่วน รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจโดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อที่เริ่มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ความหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
อ้างอิง CNBC
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney