สำหรับการซื้อขายทั่วไปในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อวันพุธ (24 ม.ค. 67) ที่ผ่านมา หุ้นบริษัท Microsoft พุ่งขึ้น 1.7% หรือประมาณ 406 ดอลลาร์ต่อหุ้นระหว่างการซื้อขาย ดันให้มูลค่าบริษัทแตะ 3 ล้านล้านดอลลาร์อีกครั้งภายในเดือนเดียว ทั้งนี้หุ้นปิดลบ 0.9% ทำให้มูลค่าบริษัทกลับมาอยู่ที่ 2.99 ล้านล้านดอลลาร์
โดยก่อนหน้านี้ Microsoft หุ้นบริษัทเพิ่มขึ้นสูง 2% ระหว่างการซื้อขาย จากการซื้อขายคราวก่อนในช่วงต้นเดือนมกราคม ทำให้มูลค่าบริษัทแตะ 2.9 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ Microsoft มีมูลค่าบริษัทสูงกว่า Apple ในฐานะบริษัทมูลค่าสูงสุดในโลก
การเพิ่มขึ้นแนวบวกครั้งนี้สะท้อนความเชื่อมั่นนักลงทุนต่อศักยภาพการเติบโตอย่างรวดเร็วของ Microsoft ผ่านการลงทุนในบริษัท OpenAI ซึ่งได้กลายเป็นจุดแข็งสำคัญที่ทำให้แตกต่างจากบิ๊กเทคเจ้าอื่นๆ ที่หันลงทุนใน AI อย่าง Meta และ Apple
การผสาน Generative AI เข้ากับบริการของตนเอง Microsoft ยังได้รับการตอบรับจากอานิสงส์ของดีมานด์การใช้งาน AI ควบคู่ไปกับการประมวลผลแบบคลาวด์ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั่วโลก ดันรายได้และกำไรของบริษัทเป็นอย่างดีตั้งแต่การประกาศผลดำเนินงานในปี 2566 เป็นต้นมา โดยมีการคาดการณ์ว่า รายได้ในปีงบประมาณ 2567 จะเพิ่มขึ้น 15% ซึ่งเร็วกว่าภาคเทคโนโลยีโดยรวม และจะยังสนับสนุนแนวโน้มการเติบโตในระยะยาวของ Microsoft อีกด้วย
ด้าน Alphabet หรือบริษัทแม่ของ Google พุ่งขึ้นถึง 1.9% หรือประมาณ 150 ดอลลาร์ต่อหุ้นในการซื้อขายระหว่างวัน ก่อนปรับลดลงมาที่ 148.70 ดอลลาร์ต่อหุ้น แซงระดับสูงสุดจากคราวก่อนในปี 2564 โดยปัจจุบันมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 1.87 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นบิ๊กเทคที่มีมูลค่าเป็นอันดับสามรองจาก Apple และ Microsoft
ทั้งนี้การตอบโต้ของ Google ที่ได้เปิดตัวโมเดล ‘Gemini’ ในเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา โดยบริษัทระบุว่า โมเดลดังกล่าวจะเข้ามาสนับสนุนแชตบอต Bard และมีความสามารถเหนือกว่า GPT-4 ของ OpenAI พร้อมเผยแผนการนำ AI รวมเข้ากับผลิตภัณฑ์และบริการได้ส่งผลให้นักวิเคราะห์มองแง่ดี
อีกหนึ่งรายที่น่าสนใจอย่าง Meta ที่มีผลการดำเนินงานพุ่งสูงขึ้นเกือบ 200% จากปีที่แล้ว หลังจากหุ้นของบริษัทดิ่งลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปีในช่วง 2565 สำหรับการซื้อขายในครั้ง หุ้นของ Meta พุ่งสูงสุด 1.5% หรืออยู่ที่ประมาณ 396 ดอลลาร์ต่อหุ้นในระหว่างการซื้อขาย ทำให้ปัจจุบันมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 1 ล้านล้านดอลลาร์
เรียกได้ว่าสะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนอีกครั้ง หลังความพยายามปรับปรุงโครงสร้างธุรกิจและเสริมความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งในสนามเทคโนโลยีใหม่สะท้อนด้วยตัวเลขปี 66 ที่ฟื้นคืนกลับมาด้วยอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ดีที่สุดในรอบ 2 ปี
สำหรับเทรนด์การเติบโตในซีซั่นนี้ของภาคเทคโนโลยีจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนที่ได้คาดหวังการรับผลกำไรที่ต่อเนื่องตลอดปี 67 จากการคาดการณ์ผลดำเนินการที่แข็งแกร่งต่อเนื่องติดกันสองไตรมาส ซึ่งดันให้มูลค่าบริษัทเทคโนโลยีสูงขึ้นเรื่อยๆ
ด้านสำนักข่าวต่างประเทศอย่าง CNN ได้เปรียบเทียบมูลค่าการเติบโตของบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้กับมูลค่าการเติบโตของ GDP ที่แสดงให้เห็นว่า การพุ่งขึ้นของมูลค่าบิ๊กเทคในปีนี้สูงกว่าบางประเทศในยุโรปอย่าง ฝรั่งเศส ที่มีมูลค่า GDP ล่าสุดอยู่ที่ 2.9 ล้านล้านดอลลาร์ และปฏิเสธไม่ได้อีกว่าสูงกว่ามูลค่า GDP ของหลายๆ ประเทศภูมิภาคเอเชียด้วยเช่นกัน (ไทยอยู่ที่ 5.7 พันล้านดอลลาร์ เวียดนาม 4.4 พันล้านดอลลาร์ หรือสิงคโปร์ 5.1 พันล้านดอลลาร์)
อ้างอิง Bloomberg1 ,Bloomberg2 , CNBC
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney