ต้องยอมรับว่าตั้งแต่โลกนี้มี ChatGPT ถือกำเนิดขึ้น ก็ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของใครหลายๆ คนให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป รวมถึงภาคธุรกิจที่ต้องตื่นตัวอย่างรุนแรงกับการเข้ามาของ Generative AI ด้วย
และเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาข่าวช็อกโลก สำหรับคนในวงการเทคโนโลยีหนีไม่พ้น คณะกรรมการของ OpenAI ผู้พัฒนา ChatGPT ปลด Sam Altman ผู้เป็นซีอีโอชนิดที่เรียกว่าฟ้าผ่าแบบไม่ทันตั้งตัว ด้วยเหตุผลว่าไม่วางใจให้เขาบริหารบริษัทได้อีกต่อไป แต่หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงกลับมีข่าวถึงความไม่พอใจของเพื่อนร่วมงานในบริษัท และการเรียกร้องของนักลงทุนอย่าง Microsoft, Sequoia Capital, Tiger Global และ Thrive Capital ให้ Sam Altman กลับไปนั่งตำแหน่ง CEO อีกครั้ง
แต่คณะกรรมการของ OpenAI เองกลับไม่สนคำเรียกร้อง และได้เตรียมว่าจ้าง Emmett Shear อดีต CEO ของ Twitch ขึ้นบริหารแทนเป็นการถาวร ซึ่ง Sam Altman ก็ไม่ได้สะทกสะท้านอะไรมากมาย จนข่าวอัปเดตล่าสุดจากบัญชี X (Twitter) ของ Satya Nadella ประกาศว่าได้รับ Sam Altman และ Greg Brockman เข้าสู่ทีมวิจัย AI ของ Microsoft
จนเรียกได้ว่านี่คือยุคแห่งการแย่งชิง Talent ของจริงเลยก็ว่าได้ เพราะ Sam Altman คือหนึ่งในหัวหอกคนสำคัญในการพัฒนา ChatGPT เปลี่ยนโลก
ย้อนกลับไปที่ OpenAI เดิมเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ร่วมก่อตั้งโดย Elon Musk ได้เปิดตัวแชตบอตตัวดังอย่าง ChatGPT เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา สร้างเสียงฮือฮาให้กับความสามารถของเทคโนโลยี Generative AI ในทั่วโลก และกลายเป็นซอฟต์แวร์แอปพลิเคชันที่โตเร็วที่สุด พร้อมปลุกกระแสการลงทุนและใช้ประโยชน์จาก AI ในอุตสาหกรรมต่างๆ
จนแม้แต่ล่าสุดก่อนที่จะมีข่าวขับ Sam Altman ออกจากบริษัท เมื่อ 6 พฤศจิกายนที่ผ่านมาในงานประชุมนักพัฒนาที่จัดขึ้นโดย OpenAI ยังคงมีเสียงชื่นชม Sam Altman และมีการรายงานความสำเร็จของบริษัทที่เข้าถึงลูกค้ากว่า 2 ล้านคน ซึ่งรวมไปถึงบริษัทที่ติดอันดับ Fortune 500 มากกว่า 92%
ซึ่งผู้ลงทุนรายหลักก็คือ Microsoft ที่ได้ทุ่มเงินลงทุนมูลค่ากว่า 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ (หรือประมาณ 4.5 แสนล้านบาท) และทำให้ Sam Altman เป็นแกนหลักของการยกเครื่ององค์กรและแซงหน้าคู่แข่งอย่าง Google และ Amazon และเสริมแกร่งให้กับ Bing เสิร์ชเอนจินของ Microsoft พร้อมดันบริษัทเป็นผู้นำในด้านซอฟต์แวร์ที่กำลังมาแรง
แน่นอนว่าการลงทุนของ Microsoft ใน OpenAI ไม่เพียงแต่เอามาพัฒนา Bing เพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดเสิร์ชเอนจินที่ Google กำลังผูกขาดอยู่นั้น แต่มองอีกด้าน Microsoft กำลังต่อสู้ทั้งระบบนิเวศ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจคลาวด์
โดยย้อนกลับไปเมื่อปี 2019 Microsoft และ OpenAI เป็นพันธมิตรที่ทำงานกันอย่างใกล้ชิดมาอย่างยาวนาน โดย Microsoft เป็นผู้พัฒนาซุปเปอร์คอมพิวเตอร์เพื่อฝึกสอน AI ให้กับ OpenAI แถมช่วยนำผลิตภัณฑ์ของ OpenAI ออกสู่ตลาด (go to market) และยังนำโมเดล AI มาใช้กับผลิตภัณฑ์ตัวเองระยะหนึ่งแล้วก่อนหน้านี้
ดังนั้น Microsoft ไม่ได้หวังเพียงแย่งชิงสัดส่วนในตลาดบริการค้นหาข้อมูลจากเบอร์หนึ่งอย่าง Google แต่กำลังสร้างอาวุธใหม่ที่ครอบคลุมการให้บริการตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ การลงทุนในบริษัท OpenAI เป็นเหมือนการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว หรืออาจมากกว่านั้น แต่การลงทุนในการดึงตัว Sam Altman มาร่วมงาน ก็อาจทำให้ Microsoft แข็งแกร่งขึ้นไม่น้อยในยุคที่ถนนทุกสายมุ่งสู่ AI เช่นกัน
สำหรับ Azure ซึ่งจำเป็นต้องใช้ในการขยายระบบเพื่อรองรับศักยภาพของ AI นั้นมีส่วนเร่งการเติบโตของธุรกิจคลาวด์เป็นที่แน่นอน โดยจะได้รับอานิสงส์จากการยกระดับความสามารถการให้บริการของ Microsoft เพราะกระบวนการประมวลข้อมูลมหาศาลนั้นตามมาด้วยการอัปเกรดคลังข้อมูล (Database) มหาศาล และแน่นอนว่าการนำเสนอบริการที่เจาะกลุ่มลูกค้าองค์กรนั้นสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำได้อย่างรวดเร็ว (อ่านวิเคราะห์ต่อที่ AI ตัวเปลี่ยนเกมธุรกิจ)
หากลองสังเกตจากผลประกอบการที่ผ่านมาของ Microsoft โดยเฉพาะในไตรมาสล่าสุดได้สะท้อนความชัดเจนให้เห็นจากการที่หน่วยธุรกิจคลาวด์ของ Microsoft ซึ่งประกอบไปด้วย Azure, SQL Server, Windows Server, Visual Studio, Nuance, GitHub และการบริการลูกค้าองค์กร ทำรายได้ 2.42 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 19% และหากมองที่ Azure ซึ่งมีการเติบโตที่โดดเด่นเป็นพิเศษ รายได้จากส่วนนี้เพิ่มขึ้นกว่า 29%
นอกจากนี้ Microsoft ยังได้รับอานิสงส์จากการที่ลูกค้าพากันไปใช้เครื่องมือ AI รุ่นใหม่ในระบบคลาวด์ ที่ได้รับการพัฒนาด้วยซอฟต์แวร์จาก OpenAI ส่งผลบริการ Azure OpenAI มีลูกค้า 18,000 ราย เพิ่มขึ้นจาก 11,000 รายในเดือนกรกฎาคม และกว่า 3% ของการเติบโตของ Azure นั้น มีความเกี่ยวข้องกับ AI อย่างมีนัยสำคัญ
ตัดกลับมาที่เรื่องราวศึกภายในบ้านของ OpenAI เห็นทีสาเหตุอาจเป็นเรื่องของแนวคิดในการดำเนินธุรกิจที่แตกต่างกัน จึงทำให้ต้องแยกทาง เพราะการเติบโตอย่างรวดเร็วของ OpenAI กลับกลายเป็นจุดที่ทำให้บอร์ดบริหารเกิดข้อกังขากับ Altman และแนวคิดการเป็นบริษัท AI เชิงพาณิชย์ รวมถึงนักพัฒนาที่กังวลว่าการขยายตัวของบริษัทอาจอยู่เหนือการควบคุมและอาจถึงขั้นเป็นภัยได้ จึงได้ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมาในบริษัท
โดย Sam Altman และ Greg Brockman ผู้เป็นประธานของบริษัทที่ลาออกตามกันมา ระบุว่า OpenAI กำลังขยายธุรกิจโดยไม่จำเป็นโดยทุกครั้งที่ผู้ใช้ถาม ChatGPT ด้วยคำถามที่ต้องใช้การประมวลผลขนาดใหญ่จะมีค่าใช้จ่ายสูงจนทำให้บริษัทประสบปัญหาในการตอบสนองความต้องการของผู้ใช้
ขณะที่ในมุมมองของ Sam Altman การหาเงินให้ได้มากขึ้นรวมไปถึงแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมยังคงเป็นสิ่งสำคัญ แต่สมาชิกบอร์ดบางคนยังคงกังวลถึงความปลอดภัยของ AI ซึ่ง Sam Altman ได้แย้งว่าข้อกังวลดังกล่าวนั้นสามารถจัดการได้ และประโยชน์จากการทำให้ AI เข้าถึงได้ในวงกว้างนั้นมีมากกว่าความเสี่ยง
แต่ Sam Altman กลับถูกปลดฟ้าผ่า พร้อมแถลงการณ์จากบอร์ดบริหารที่บอกเป็นนัยว่าเขาไม่น่าไว้ใจโดยระบุถึงปัญหาในการสื่อสาร
นอกจากนี้ยังเป็นการปลดโดยไม่ผ่านการหารือกับทาง Microsoft ส่งผลให้ Satya Nadella ซีอีโอบริษัทผู้ลงทุนหลักเกิดความไม่พอใจอย่างมาก
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจากแหล่งข่าวของสื่อข่าวต่างประเทศระบุว่า Sam Altman กำลังวางแผนเปิดบริษัทใหม่ที่อาจเป็นคู่แข่งกับ OpenAI ขณะที่นักลงทุนบางรายกำลังพิจารณาขายหุ้น OpenAI ทิ้ง ซึ่งจะทำให้บริษัทเปิดระดมทุนเพิ่มเติมได้ยากขึ้น พร้อมกันนี้แหล่งข่าวได้คาดการณ์ว่าหาก Altman ไม่กลับมารับตำแหน่งซีอีโอจะส่งผลให้วิศวกรจำนวนมากพากันลาออกจากบริษัท
เช่นเดียวกับนักวิจัย OpenAI บางรายที่ได้ลาออกจากบริษัทหลังการเปลี่ยนผ่านซีอีโอคนใหม่ แต่ยังคงไม่ชัดเจนว่าทีมงานที่ลาออกไปจะเข้าร่วมบริษัท AI ของ Altman หรือไม่ โดย Altman และ Jony Ive อดีตหัวหน้าฝ่ายออกแบบของ Apple กำลังหารือเกี่ยวกับการพัฒนาอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ AI ตัวใหม่ รวมถึงได้พูดคุยกับทั้ง SoftBank, กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของซาอุฯ (PIF), Mubadala Investment Company และนักลงทุนรายอื่นเพื่อหาเงินหลายหมื่นล้านสำหรับการดำเนินการของบริษัทใหม่อีกด้วย
อ้างอิง
Bloomberg, CNBC, Reuters, OpenAI, Microsoft