ปัจจุบันแพลตฟอร์มสตรีมมิงได้กลายเป็นอีกหนึ่งสนามแข่งขันที่ดุเดือดในช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมา โดยหลังจากที่ บ็อบ อีเกอร์ (Bob Iger) ซีอีโอ Disney กลับมาบริหารงานในปีที่แล้วก็ได้รับภารกิจใหญ่ในการฟื้นคืนผลดำเนินการของบริษัทและทำให้ธุรกิจสตรีมมิงมีกำไร โดยการปรับกลยุทธ์ธุรกิจสารพัดให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งสุดหินหลายเจ้าอย่าง Netflix, HBO, และ Prime
ไม่ว่าจะเป็นขึ้นราคาบริการ การนำเสนอแพ็กเกจใช้งานปราศจากโฆษณา (Ad-free subscription) หรือการปราบปรามผู้ใช้ที่แชร์บัญชีและรหัสผ่าน อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่า Disney ยังเผชิญอุปสรรค ในช่วงสามเดือนแรกของปีนี้ Disney+ สูญเสียสมาชิกไป 4 ล้านคน มีตัวเลขขาดทุนอยู่ที่ 659 ล้านดอลลาร์
โดยหลังจากที่ Disney ประกาศเข้าซื้อหุ้น 33% ของ Comcast ในมูลค่า 8.61 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้ Disney เป็นเจ้าของ Hulu โดยสมบูรณ์ ก็ได้ประกาศแผนที่จะปิดให้บริการ Disney+ ในบางประเทศในเดือนธันวาคมปีนี้ทันที พร้อมกับแผนรวมเอาทั้งสองแพลตฟอร์มเข้าเป็นแอปพลิเคชันเดียว
ทั้งนี้แอปฯ Disney+/Hulu เวอร์ชันเบต้าจะเปิดตัวในเดือนธันวาคมปีนี้ และทั้งสองแอปฯ จะถูกแทนที่ด้วยอย่างถาวรในเดือนมีนาคมปีถัดไป
กลยุทธ์การรวม Disney+ และ Hulu เข้าด้วยในครั้งนี้ กันจะช่วยลดต้นทุนในการได้มาซึ่งลูกค้า ลดอัตราการบอกเลิกเป็นสมาชิก และทำให้ยอดการรับชมเพิ่มมากขึ้น และยังทำรายได้จากโฆษณามากขึ้น อย่างไรก็ตามยังไม่มีประกาศว่าหลังจากนี้จะดันให้ Hulu กลายเป็นสตรีมมิงเรือธงที่ให้บริการทั่วโลกต่อไปหรือไม่ แต่การควบรวมในครั้งนี้จะทำให้ Disney เป็นเจ้าของแพ็คเกจสตรีมมิงทางเลือก (Disney Bundle) ผสมผสานระหว่าง Disney+, Hulu และ ESPN+ ที่ครองคอนเทนต์เคเบิลทีวีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด