จากรายงานผลดำเนินการไตรมาสสี่สิ้นสุด ณ วันที่เดือนกันยายน ปี 2566 Apple มียอดขาย และกำไรสูงกว่าคาดการณ์ อย่างไรก็ตามยอดขายโดยรวมเติบโตน้อยลง โดยยอดขายไตรมาสสี่ลดลงติดต่อกันสี่ไตรมาส ถือเป็นครั้งแรกที่ Apple ประสบปัญหาดังกล่าว นับตั้งแต่ iPhone เปิดตัวในปี 2007
Apple มีรายรับรวมทั้งสิ้น 8.95 หมื่นล้านดอลลาร์ ลดลงมา 1% จากปีก่อน แบ่งเป็นรายได้จากผลิตภัณฑ์ 6.71 หมื่นล้านดอลลาร์ และรายได้จากบริการ 2.23 หมื่นล้านดอลลาร์ กำไรสุทธิ 2.30 หมื่นล้านดอลลาร์ กำไรต่อหุ้นคิดเป็น 1.46 ดอลลาร์ต่อหุ้น
สำหรับยอดขายกลุ่มฮาร์ดแวร์เมื่อเทียบปีก่อนหน้า iPhone 4.38 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2% Mac 7.61 พันล้านดอลลาร์ ลดลงกว่า 34% iPad 6.44 พันล้านดอลลาร์ ลดลงกว่า 10% Wearables Home & Accessories เช่น AirPods Apple watch 9.32 พันล้านดอลลาร์ ลดลงกว่า 2%
ส่วนรายได้จากการให้บริการของ Apple ทำได้ดีในไตรมาสนี้ ทุกหมวดบริการทะลุสถิติที่เคยทำมา ยอดโดยรวมเติบโตมากขึ้น 16% จากปีก่อนหน้า ประกอบด้วย โฆษณา การใช้งาน Safari เครื่องมือค้นหาเริ่มต้นบนเบราว์เซอร์ของ Apple ยอดขายจาก App Store บริกรสมัครสมาชิก iCloud, Apple Music, AppleCare รวมถึง บริการการชำระเงิน ซึ่งส่งสัญญาณการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
สำหรับปีนี้ Apple ยังต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านอุปทาน และอุปสรรคธุรกิจในตลาดจีนที่เป็นแหล่งรายได้อันดับสาม รองจากตลาดสหรัฐอเมริกา และยุโรป ไม่ว่าจะเป็นนโยบายสกัดกั้นทางเทคโนโลยีจากรัฐบาลจีนที่เข้มงวดขึ้นตามลำดับ เพื่อปิดกั้นการใช้งานผลิตภัณฑ์ของ Apple อีกทั้งยอดขายของ Huawei คู่แข่งที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม Apple ระบุว่า ความต้องการ iPhone ในตลาดจีนยังคงแข็งแกร่ง และยังมองในแง่ดีเกี่ยวกับตลาดจีน ในฐานะตลาดต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุด และยังคงเป็นศูนย์กลางการผลิตของ Apple แม้ว่าบริษัทจะย้ายการผลิตไปยังอินเดีย และที่อื่นๆ มากขึ้นก็ตาม
Apple คาดว่ารายได้รวมของบริษัทในไตรมาสเดือนธันวาคมจะใกล้เคียงกับปีที่แล้ว โดย Wall Street มีการคาดการณ์ว่ารายรับในช่วงเดียวกันของปีก่อนจะอยู่ที่ 1.17 แสนล้านดอลลาร์ โดยยอดขายสำหรับไตรมาสเดือนธันวาคมนี้ประมาณ 1.23 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นการเติบโตประมาณ 5% พร้อมตั้งเป้าว่าการเปิดตัว ชิป M3 ล่าสุดเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาจะสามารถดึงดูดผู้ใช้ Mac และเพิ่มยอดขายได้อีกครั้ง.