ทิม คุก สร้างเสียงฮือฮาอีกครั้งกับงานอีเวนต์เปิดตัวโปรดักต์ครั้งล่าสุด โดยไฮไลต์ภายในงานที่เหล่าแฟนคลับและแวดวงเทคโนโลยีรอคอย อย่างไรก็ตามการนำเสนอใครั้งนี้ไม่ได้มีนวัตกรรมการผลิตใหม่ๆ มากพอที่จะสร้างความตื่นเต้นให้นักลงทุนมากนัก โดยหลังจากเปิดตัวหุ้น Apple ปิดตัวลง 1.7% อยู่ที่ 176.30 ดอลลาร์
หุ้น Apple ปรับตัวลดลงไปกว่า 6% ในช่วงห้าวันที่ผ่านมาก่อนงานอีเวนท์ และเฉลี่ยลดลง 4.5% ในเดือนกันยายนนี้ สืบเนื่องจากผลกระทบจากการประกาศยอดขาย iPhone ที่ลดลงครั้งล่าสุดในไตรมาสที่ผ่านมา และการสั่งพนักงานของหน่วยงานรัฐบาลจีนห้ามใช้ iPhone ที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้คาดการณ์ได้ถึงสัดส่วนยอดขายที่จะลดลง ขณะเดียวกันผู้ที่ได้ปะรโยชน์ คือ Huawei ที่หวังจะยึดส่วนแบ่งการตลาดคืนด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟน Mate 60 ซึ่งมีราคาที่สามารถแข่งขันได้เมื่อเทียบกับอุปกรณ์ของ Apple
สำหรับผลิตภัณฑ์ไฮไลต์ในครั้งนี้ ได้แก่ iPhone 15 ที่เปลี่ยนวัสดุตัวเครื่องจากอะลูมิเนียมมาเป็น ‘ไทเทเนียม’ พร้อมด้วยสีใหม่ Titanium White, Natural Titanium, Titanium Blue, Titanium Black ซึ่งไม่ได้ปรับขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า โดย iPhone 15 ราคาเริ่มต้น 32,900 บาท iPhone 15 Plus ราคาเริ่มต้น 37,900 บาท iPhone 15 Pro ราคาเริ่มต้น 41,900 บาท และ iPhone 15 Pro Max ราคาเริ่มต้น 48,900 บาทที่เป็นรุ่นเดียวที่ราคาขึ้นมา 100 ดอลลาร์
การปรับปรุงประสิทธิภาพของกล้องถ่ายภาพหลัก 48MP ให้รูปภาพและวิดีโอที่มีค่าเริ่มต้นความละเอียดสูงเป็นพิเศษแบบใหม่ที่ 24MP เซนเซอร์แบบ Quad Pixel และมี Focus Pixels ตัวเลือกเทเลโฟโต้ 2 เท่าเพิ่มการซูมคุณภาพออปติคัลได้ถึง 3 ระดับ ได้แก่ 0.5 เท่า, 1 เท่า และ 2 เท่า นอกจากนี้ ความพิเศษของกล้อง iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max สามารถถ่าย ‘โหมด Spatial Video’ เพื่อต่อยอดไปยังการนำเสนอบนแว่น Vision Pro ในอนาคตอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีชิปประมวลผล A17 Pro ที่ผลิตและพัฒนาโดย Apple สำหรับ iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เปิดตัวออกมา ได้แก่ AirPods Pro 2 และ Apple Watch Series 9, Ultra 2 ที่ยืนยันอย่างเป็นทางการว่าเป็นผลิตภัณฑ์แรกของที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนของ Apple หลังทุ่มเทด้านการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทั่วโลก และฟีเจอร์ 'Double Tap' สั่งงานด้วยนิ้วมือ รวมถึงระบบปฏิบัติการ IOS17 และการประกาศอย่างเป็นทางการ เรื่องการเปลี่ยนช่องชาร์จใหม่ในรอบ 11 ปี มาเป็นแบบ USB-C แทนที่พอร์ต Lightning แบบถาวรหลังมีกระแสมาสักระยะแล้ว โดยการเปลี่ยนช่องชาร์จในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการชาร์ตแบตเตอรี่และการถ่ายโอนข้อมูลที่รวดเร็วขึ้น และที่สำคัญคือสามารถใช้สายชาร์จเดียวร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของ Apple รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ไม่ใช่ของ Apple ได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน