ซุนดาร์ พิชัย CEO ของ Alphabet Inc. บริษัทแม่ Google ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในผู้นำองค์กรที่ได้รับค่าตอบแทนดีที่สุดในสหรัฐอเมริกา สืบเนื่องจากรายงานหลักทรัพย์ครั้งล่าสุดที่ได้ระบุถึงผลตอบแทน เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (21 เม.ย) โดยระบุว่า ในปี 2565 พิชัยได้รับค่าตอบแทนถึง 226 ล้านดอลลาร์ หรือราว 7.7 พันล้านบาท ซึ่งในจำนวนนั้นประกอบไปด้วยเงินชดเชยสำหรับการรักษาความปลอดภัยส่วนตัวอีก 6 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 200 ล้านบาท
ประเด็นดังกล่าวถูกสื่อต่างประเทศวิพากษ์วิจารณ์ พร้อมเปรียบเทียบค่าแรงขั้นต่ำในรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ตั้งของสำนักงาน Alphabet ที่ 5.50 ดอลลาร์ ซึ่งต้องทำงานถึง 14.6 ล้านชั่วโมง หรือมากกว่า 7,000 ปี (โดยทำงาน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์และไม่มีวันหยุด) เพื่อให้ทันกับเงินเดือนปี 2565 ของพิชัย
โดยตัวเลขจากการศึกษาของสถาบันนโยบายเศรษฐกิจที่นำมาถูกอ้างอิง ระบุ ค่าจ้างสำหรับผู้บริหารระดับสูงพุ่งสูงขึ้น 1,460% ตั้งแต่ปี 1978 และมากกว่า 80% ของค่าจ้างจะสอดคล้องกับการถือครองหุ้นของบริษัท จนถึงขั้นนักวิเคราะห์โต้เถียงว่า “เศรษฐกิจจะไม่เสียหายหากซีอีโอได้รับค่าจ้างน้อยลงหรือถูกเก็บภาษีมากขึ้น”
ประเด็นค่าตอบแทน CEO เป็นหนึ่งในหัวข้อที่ละเอียดอ่อนของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ในบรรดา CEO บิ๊กเทคฯ เจ้าอื่น Tim Cook CEO ของ Apple ลดค่าจ้างของตัวเองลง 40% หลังจากได้รับคำวิจารณ์จากผู้ถือหุ้นที่มีรายได้ 100 ล้านดอลลาร์ในปี 2565 และ 2564 ซึ่งค่าตอบแทนส่วนใหญ่ในปี 2565 ของ Cook หรือประมาณ 75% ถูกผูกไว้กับหุ้นของบริษัท โดยครึ่งหนึ่งขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของราคาหุ้น
Alphabet เป็นหนึ่งในบิ๊กเทคฯ ที่เผชิญผลกระทบวิกฤติเศรษฐกิจ และต้องปลดพนักงานครั้งใหญ่มากกว่าหนึ่งรอบในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา ซึ่ง Alphabet เพิ่งประกาศปลดพนักงานไปถึง 12,000 ตำแหน่ง หรือ 6% ของจำนวนพนักงานทั่วโลก หลังจากดำเนินมาตรการปรับลำดับความสำคัญใหม่ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา
ค่าตอบแทนจำนวนดังกล่าวของพิชัยส่วนใหญ่มาจากการถือครองหุ้น ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 218 ล้านดอลลาร์ เรียกได้ว่ามีอัตรามากกว่าผู้บริหารระดับสูงคนอื่นๆ และยังมากกว่าผลตอบแทนพนักงานถึง 800 เท่า ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 2 แสนดอลลาร์เท่านั้น อีกทั้งเงินเดือนของพิชัยยังมีฐานคงที่ซึ่งเริ่มต้นในจำนวน 2 ล้านดอลลาร์ มาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสถัดมานี้ กำลังเข้าสู่ช่วงการรายงานสินทรัพย์และประกาศงบการเงินในไตรมาสแรกสู่สาธารณะ ซีอีโอและผู้บริหารระดับสูงจะถูกจับตามองมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการผ่านมรสุมที่หลายบริษัทในสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับคลื่นการเลย์ออฟขนานใหญ่ในปีที่ผ่านมา
อ้างอิง CNN