หากนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2565 จนถึงปัจจุบัน ณ เดือนมีนาคมปี 2566 บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั้ง 4 ราย ได้แก่ Amazon, Meta, Microsoft และ Google ประกาศเลย์ออฟพนักงานรวมกันทั้งสิ้นถึง 70,000 ราย จะเห็นว่า บิ๊กเทคยังคงเป็นผู้นำในการปลดและลดจำนวนพนักงานก่อนบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมไม่ต่างจากปีที่ผ่านมา
(18 ม.ค. 66) Microsoft ประกาศเลย์ออฟพนักงานจำนวน 10,000 คน หรือ 5% ของทั้งหมดที่อยู่ 2.2 แสนคน เพื่อจำกัดค่าใช้จ่ายในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ โดยการปรับลดครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อทีมพัฒนาโปรดักต์ HoloLens ทีม Microsoft Edge รวมถึงทีมการตลาดของบริษัท โดยส่วนหนึ่งเป็นผลอัตราการเติบโตของรายได้ธุรกิจซอฟต์แวร์และธุรกิจคลาวด์ หรือ Microsoft Azure ชะลอตัวลง พร้อมทั้งการเปลี่ยนแปลงพอร์ตโฟลิโอฮาร์ดแวร์ของบริษัทที่ต้องการให้ความสำคัญในเทคโนโลยีอย่าง AI รวมแล้วไตรมาสแรกของปีนี้ Microsoft มียอดการเลย์ออฟรวมทั้งสิ้น 10,000 คน
(20 ม.ค 66) Alphabet บริษัทแม่ของ Google ประกาศเลย์ออฟพนักงานจำนวน 12,000 คน หรือ 6% ของทั้งหมดที่มีอยู่ 1.9 แสนคน เพื่อจำกัดค่าใช้จ่ายในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำและผลกระทบที่ต่อเนื่องจากการปิดกั้นความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ที่กระทบยังธุรกิจโฆษณาออนไลน์ ซึ่งเป็นแหล่งรายได้และกำไรส่วนใหญ่ของบริษัทนั้นปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้บริษัทยังต้องการปรับโครงสร้างองค์กร เปลี่ยนทิศทางการโฟกัสการลงทุน โดยหันกลับมาโฟกัสที่ผลิตภัณฑ์และแกนเทคโนโลยีเพื่ออนาคตอย่าง AI เช่นเดียวกับ Microsoft รวมแล้วไตรมาสแรกของปีนี้ Google มียอดการเลย์ออฟรวมทั้งสิ้น 12,000 คน
(14 มี.ค. 66) Meta ประกาศเลย์ออฟพนักงานจำนวน 10,000 คน หรือ 13% ของทั้งหมดที่มีอยู่ 9 หมื่นคน พร้อมปิดกับรับสมัครงานในตำแหน่งที่เปิดรับสมัครอยู่อีก 5,000 ตำแหน่ง เพื่อรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจที่จะดำเนินต่อไปโดยครั้งนี้ Meta เผยว่า เตรียมลดค่าใช้จ่ายทั้งหมดของปี 66 ลงจาก 86 พันล้านดอลลาร์เป็น 92 พันล้านดอลลาร์ ต่อเนื่องจากการประกาศให้เป็นปีของ “Year of Efficiency” ที่จะมีการปรับโครงการสร้างและตัดโครงการที่ไม่ได้ผลหรือไม่มีความสำคัญออก ซึ่งการประกาศเลย์ออฟครั้งใหม่นี้ห่างจากครั้งที่ผ่านมาได้ไม่ถึง 5 เดือน (พ.ย. 65) โดยครั้งดังกล่าวมีการปรับลดพนักงานในจำนวน 11,000 คนหรือประมาณ 13% ของพนักงานในเดือนพฤศจิกายน 65 รวมแล้วไตรมาสแรกของปีนี้ Meta มียอดการเลย์ออฟรวมทั้งสิ้น 21,000 คน
(20 มี.ค. 66) Amazon ประกาศเลย์ออฟพนักงานจำนวน 9,000 คน หรือ 1.1% ของทั้งหมดที่มีอยู่ 1.54 ล้านคน เพื่อจำกัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มสภาพคล่องให้บริษัท รับมือช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ การปรับลดครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อหน่วยธุรกิจคลาวด์ AWS ถึงแม้จะเป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้มากที่สุดก็ตาม เป็นผลสืบเนื่องจากการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ที่ชะลอตัวลงในปีที่ผ่านมา โดยอัตราการเติบโตของรายได้ธุรกิจคลาวด์ลดลงเหลือไปกว่า 30% จากปีก่อนหน้า นอกจากนี้ยังกระทบไปยัง Twitch แพลตฟอร์มสตรีมมิงเกมในเครือ ธุรกิจโฆษณาและธุรกิจโซลูชันเทคฯ Amazon Stores and People, Experience, Technology (PXT) โดยการประกาศครั้งนี้ห่างจากการประกาศเลย์ออฟครั้งล่าสุดไม่ถึง 3 เดือน (ม.ค. 66) โดยครั้งดังกล่าวมีการปรับลดพนักงานในจำนวน 18,000 คน รวมแล้วไตรมาสแรกของปีนี้ Amazon มียอดการเลย์ออฟรวมทั้งสิ้น 27,000 คน
ทั้งนี้ Apple บิ๊กเทคอีกหนึ่งรายที่หลายฝ่ายยังจับตาอย่างต่อเนื่อง เพราะ เป็นเพียงบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ เดียวที่ยังไม่มีการประกาศเลย์ออฟตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงปีนี้ โดยมีการวิเคราะห์กันว่าเป็นผลจากการควบคุมการจ้างงาน รวมถึงค่าใช้จ่ายที่สมดุลในช่วงโควิดแพร่ระบาด ทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดสะสมอยู่ในระดับดี หลังประกาศผลประกอบการรายปี 2565 มูลค่าหุ้นบริษัทยังมีทิศทางบวกสม่ำเสมอ
อย่างไรก็ตามในปีนี้เศรษฐกิจมหภาคยังสร้างแรงกดดันต่อธุรกิจทั่วโลก บรรดาบริษัทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เช่น Pinterest, Yahoo, Salesforce, IBM, Dell, Paypal และ Zoom ที่เราคุ้นเคย ทยอยประกาศเลย์ออฟตั้งแต่ต้นปี จนถึงตอนนี้ในปี 66 มีการเลิกจ้างบริษัทเทคโนโลยี 671 แห่ง รวมทั้งสิ้นกว่า 1.8 แสนคน (ข้อมูล Trueup ณ วันที่ 22 มี.ค. 66) ดูเหมือนว่าการประกาศรัดเข็มขัดเพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย เพื่อปรับขนาดให้องค์กรดำเนินงานได้อย่างคล่องตัวมากขึ้นจะยังคงดำเนินต่อไปในปีนี้
อ้างอิง Techcrunch, Business Insider, Trueup