ทุนใหญ่ผนึกกำลัง ดัน Nocnoc แพลตฟอร์มเฟอร์นิเจอร์ออนไลน์ของคนไทย ขึ้นเบอร์ 1 อาเซียน

บริษัท บริษัทปูนซิเมนต์ไทยจำกัด (มหาชน) หรือ SCG ร่วมกับ บริษัท มัสบี จำกัด บริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่มบริษัทเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ และกลุ่มบริษัทไทยเบฟเวอเรอ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นฝ่ายละ 50% รวมมูลค่ากว่า 3,900 ล้านบาท เพื่อผลักดัน Nocnoc แพลตฟอร์มเฟอร์นิเจอร์ออนไลน์ไทยที่ก่อตั้งภายใต้บริษัทเบ็ตเทอร์บี มาร์เก็ตเพลส จำกัด (Better Be) ให้ขึ้นสู่ เบอร์ 1 ในธุรกิจ Home and Living Destination Platform ในตลาดอาเซียนภายใน 5 ปีนี้ 

ชลลักษณ์ มหาสุวีระชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบ็ตเตอร์บี มาร์เก็ตเพลส จำกัด หรือ NocNoc กล่าวว่า NocNoc เป็นตัวกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ที่เปิดกว้างให้ผู้ขาย แบรนด์ และพันธมิตรทุกรายสามารถนำเสนอสินค้าบนแพลตฟอร์มได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว ขณะที่ผู้บริโภคเข้าถึงตัวเลือกสินค้าและบริการในกลุ่มบ้านและที่อยู่อาศัย (Home and Living) หลากหลาย ครบวงจร นอกจากนี้โดยช่วงที่ผ่านมาได้เร่งนำเทคโนโลยี AI Personalization หรือ NocNoc GPT ผู้ช่วยในการแต่งบ้าน ใช้ระบบ AI วิเคราะห์และออกแบบบ้านในสไตล์ที่ใช่เพื่อคนแต่งบ้านโดยเฉพาะ 

สำหรับการร่วมทุนครั้งนี้ เชื่อว่า NocNoc จะมียอดขายบนแพลตฟอร์มเติบโต 2.5 เท่า จากปีที่ผ่านมา โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าเป็นเบอร์1 ด้าน Home and Living Destination Platform ในตลาดอาเซียนภายในปี 2571 ปัจจุบันมีผู้เข้ามาใช้บริการเฉลี่ยมากกว่า 3 ล้านรายต่อเดือน ทั้งกลุ่มลูกค้า B2C และ B2B สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา NocNoc มียอดขายรวมบนแพลตฟอร์มกว่า 10,000 ล้านบาท ในช่วงระยะเวลา 4 ปีที่เปิดให้บริการ 

นิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี เปิดเผยว่า การร่วมทุนใน Nocnoc ในครั้งนี้ SCG และ มัส บี จะถือหุ้นฝ่ายละ 50% ซึ่งจะเป็นการนำศักยภาพของทั้งสองบริษัทที่มีเครือข่ายระบบโลจิสติกส์ ทั้งการขนส่ง คลังสินค้า รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ ศูนย์การค้า และโรงแรมที่ครอบคลุมทั่วประเทศ เสริมแกร่งให้กับ Nocnoc 

โฆษิต สุขสิงห์ กรรมการผู้มีอำนาจของมัสบี และรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ผู้บริหารสูงสุดกลุ่มดิจิทัลและเทคโนโลยี บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทิศทางการเติบโตของมาร์เก็ตเพลสแพลตฟอร์มเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยในปี 2566 ทางศูนย์วิจัยกสิกร ได้ประเมินว่ามูลค่าตลาด B2C E-Commerce น่าจะมีอัตราการขยายตัวในอัตรา 4-6% หรือคิดเป็นมูลค่าตลาดประมาณ 606,000-618,000 ล้านบาท โดยเฉพาะในธุรกิจเกี่ยวกับการตกแต่งบ้านและการอยู่อาศัยที่มีช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า Home and Living Platform และระบบการจัดส่งสินค้า หรือโลจิสติกส์ที่สามารถกระจายสินค้าถึงมือผู้บริโภคได้โดยตรง